กิน-เที่ยว-ถ่ายรูป-รีวิว

Travel Review ท่องเที่ยว

ความสุขหาได้ง่ายๆเริ่มจากสิ่งที่อยู่รอบตัว

ทริปสันหนอกวัว 3 วัน 3 คืน

กลับไปสู่ป่าเขาอีกครั้งตามคำเรียกร้องของจิตวิญญาณ เสียงลมและแสงแดดกำลังต้องการตัว ทริปนี้ผมไป “สันหนอกหวัว”

21 กิโลเมตรแรกในรอบ 3 ปี

อย่างที่ทราบกันดีว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาโลกของเราประสบกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือ “โควิด” ทุกกิจกรรมที่ทำนอกบ้านต้องหยุดและเปลี่ยนมาทำในบ้านแทน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอน การทำงาน หรือแม้แต่การออกกำลังกาย อย่างอื่นพอทำในบ้านได้ครับ แต่สำหรับผมการออกกำลังกายต้องทำนอกบ้านเท่านั้น เพราะการออกกำลังกายของผมนั่นคือ “วิ่ง” นั่นเองถึงทำให้ผมมีข้ออ้างสำหรับการไม่ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องตั้ง 3 ปี!! สำหรับคนที่วิ่งบ่อยๆ จะรู้เลยว่า ถ้าหยุดวิ่งนานๆ การกลับมาวิ่งใหม่มันเท่ากับการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ความฟิตของร่างกายแทบไม่มี ความสนุกในการวิ่งที่เคยสัมผัสจะหายไป เราต้องเริ่มหัดวิ่งใหม่ตั้งแต่ระยะ 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร และจะผ่าน 10 กิโลเมตรแบบยากลำบากมาก การจะวิ่งด้วยตัวเองในระยะ 21 กิโลเมตรนั้นคงทำไม่ได้แน่ คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มหางานวิ่งที่กำลังเริ่มกลับมาคึกคักใหม่..ผมไปเจองาน UTMUthaiThaniMarathon หลังจากสมัครก็เริ่มซ้อมวิ่งครับ เหมือนเริ่มวิ่งใหม่ ครั้งแรกได้ 5 กิโลเมตร วิ่งด้วยระยะนี้ 2-3 วันก่อนแล้วค่อยขยับไปกิโลเมตรที่ 10 เริ่มวิ่ง 10 กิโลเมตรแบบสบายๆได้ แต่แล้ว..ดันไปติดโควิด ทำให้การซ้อมที่กำลังต่อเนื่องต้องหยุดไปถึง 10 วัน หลังจากหายโควิดมีเวลาซ้อมแค่ 10 วันอีกต่างหาก งานนี้จึงซ้อมได้แค่ 10 กิโลเมตรก่อนงานวิ่งแค่ 5 วัน วันงาน งานนี้ฉายเดี่ยวอีกเช่นเคยครับ ผมจองห้องพักไว้ใกล้จุดสตาร์ทซึ่งก็คือสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ห่างแค่ 3 กิโลเมตร หลังจากไปรับบิบเสร็จเรียบร้อยก็เช็คอินเข้าที่พัก งานนี้ปล่อยตัวตอนตี 4.30 ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงจุดปล่อยตัวในเวลาตี 4 หลังจากอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็น เตรียมเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับพรุ่งนี้ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 3.40 เสร็จแล้วเข้านอน ค่ำคืนนี้ฝนตกหนักมาก ถึงจะหลับๆตื่นๆ และฝันว่าตัวเองออกไปวิ่งแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้หลับบ้าง ก่อนนาฬิกาจะปลุก 5 นาที ผมลุกจากที่นอนเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวไม่นานก็พาตัวเองออกจากห้องพักไปยังจุดสตาร์ท ปล่อยตัว ตี 4.30 เมื่อสิ้นสุดสัญญาณปล่อยตัว นักวิ่งพันกว่าคนรวมระยะ 21 และ 42 ก็ทะยานออกจากเส้นสตาร์ท ขาแรงที่อยู่แนวหน้าทั้งหลายตะบึ่งวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มีราวกับว่าจะวิ่งแค่ 400 เมตร แน่นอนสำหรับนักวิ่งขาแรงแล้ว 21 หรือ…

Solo Camping | กางเต็นท์คนเดียว

เป็นครั้งแรกของผมสำหรับการออกเที่ยวคนเดียว และโดยเฉพาะการเที่ยวแบบแคมป์หรือกางเต็นท์นอน เป็นความอยากที่เก็บไว้มานานแล้ว เมื่อมีโอกาสจึงขอลองสักครั้ง และครั้งนี้ผมเลือกที่นี่ครับ Lakeview Cafe กาญจนบุรี หลังจากดูรีวิจากที่คนอื่นเขาเคยมาแล้ว ภาพภูเขาที่สะท้อนกับทะเลสาปเหมือนภาพวาดดึงดูดใจราวกับมีเสียงเรียกร้องให้ผมมาเยือนทุกค่ำคืน ในที่สุดผมก็มาตามคำเรียกร้อง และก็ไม่ผิดหวังเลย ภาพในหัวที่คิดกับสถานที่จริงไม่แตกต่างกันเลย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีไม่กี่ครั้งที่ความคาดหวังจะกลายเป็นความผิดหวังเมื่อเจอของจริง ที่เป็นเช่นนั้น เพราะคนส่วนใหญ่นำเสนอแต่มุมที่สวยงามและถ่ายภาพเฉพาะมุมที่สวยที่สุดเท่านั้น แต่ที่นี่ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมรับรองได้ กับราคาค่ากางเต็นท์คืนละ 300 บาท มีจุดให้ต่อไฟ มีห้องน้ำแยกชายหญิง ผมว่าคุ้มค่ามากครับ ทริปนี้ผมใช้เต็นท์ขนาดเล็กที่พกพาง่ายและเบาอย่าง naturehike หลังจากทำอาหารเย็นอย่างง่ายๆ กินเสร็จแล้ว ก็นั่งชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน แม้จะเริ่มย่างเข้าฤดูร้อน แต่พอหลังตะวันตกดินอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งก่อนเข้านอนในเวลา 5 ทุ่ม ผมเช็คสภาพอากาศอยู่ที่ 18 องศา นอนหลับสบาย การได้ใช้ชีวิตคนเดียวแบบเงียบๆ ทำให้ใจผมสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอบตัวได้ยินเพียงเสียงสรรพสัตว์ ไม่มีเสียงรถราและผู้คน ค่ำคืนนี้มีแต่เราผู้เดียว ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าช้าโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น ลองไปเที่ยวแบบนี้ดูสักครั้งนะครับ แล้วจะพบว่าตัวเราที่เรารู้จัก อาจไม่ใช่ตัวเราที่เราเป็นก็ได้.

เที่ยวถ้ำธารลอด อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ กาญจนบุรี

หลังจากกักตัวอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่โควิดระบาดรอบ 2 รอบ 3 มาเป็นแรมเดือน..ก็ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2564 เป็นต้นมา จนถึงเดือนกันยายนี้ ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนไกลเลย เต็มที่ก็แค่เซเว่นหน้าหมู่บ้าน อาการคิดถึงธรรมชาติ การเดินทางกำเริบเป็นระยะ จนกระทั่งรัฐบาลสั่งคลายล็อกเปิดจุดท่องเที่ยวบางแห่งได้ เราจึงเริ่มมองหาที่เที่ยวบ้าง และที่นี่คือที่แรกที่เราออกเที่ยว หลังการคลายล็อก ถ้ำธารลอด อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ ถ้ำธารลอดแบ่งเป็น ถ้ำธารลอดใหญ่และถ้ำธารลอดเล็ก ถ้ำธารลอดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ ถ้ำธารลอดใหญ่มีลักษณะคล้ายสะพานหินธรรมชาติ มีความกว้าง 60 เมตร ตัวถ้ำด้านล่างยาว 60 เมตร กว้าง 40 เมตร และสูง 40 เมตร บนเพดานถ้ำมีโพรงขนาดใหญ่ที่แสงแดดส่องลอดเข้ามาในถ้ำได้ ทำให้ภายในถ้ำสว่างและมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำ ที่ฟากหนึ่งของผนังถ้ำมีภาพเขียนสีรูปพญานาค ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของพญานาค นอกจากนี้แล้วยังมีหลักฐานปรากฏว่าบริเวณนี้เป็นที่ฝังศพของมนุษย์โบราณ จากการค้นพบโครงกระดูกเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนำไปจัดไว้ให้ชมที่พิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณ โครงการพระราชดำริห้วยองคต อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ทริปนี้ออกเดินทางกัน 3 คนครับ (ก่อนหน้านี้มี 5 แต่ติดธุระมาได้แค่นี้) ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าก็ถึงยังจุดหมายปลายทาง จัดการกางเต็นท์ที่พักเรียบร้อย ทานข้าวเที่ยงเสร็จก็เตรียมตัวเดินเท้าท่องเที่ยวธรรมชาติ เสน่ห์ของที่นี่คือนอกจากมีที่บริการจุดกางเต๊นท์ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำครบครันแล้ว ยังมีกิจกรรมเดินป่าขนาดกำลังน่ารักให้เราเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติอีกด้วย จุดเริ่มต้นการเดินเริ่มจากถ้ำธารลอดเล็ก ภายในถ้ำกว้างขวางมืดแต่มีไฟติดตามจุดพอให้เห็นทางเดินได้ ภายในถ้ำมีสายน้ำไหลผ่าน และพอผ่านจุดนี้ไปก็จะเข้าสู่การเดินป่า เป็นป่าที่มีทางเดินสะดวกครับ เด็กเล็กตั้งแต่ 10 ขวบขึ้นไปสามารถเดินได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง เพราะมีบางจุดที่มีความเสี่ยง ทางเดินจะเป็นทางเรียบ และค่อยๆชันขึ้นเรื่อยๆ แต่มีบันไดให้เดิน ไม่ลำบากมาก ตลอดทางก็จะมีน้ำตกเป็นระยะให้ได้ถ่ายภาพ หรือลงไปเล่นได้ตามใจชอบ บรรยากาศดีมาก ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆก็จะถึงจุดที่เรียกว่าถ้ำธารลอดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงมีลักษณะคล้ายถ้ำพระยานคร แต่โปร่งกว่า มาถึงจุดนี้ถ้ามีเวลาก็สามารถเดินทางต่อไปอีกนิดหนึ่งจะถึงวัด (ขออภัยที่จำชื่อวัดไม่ได้) เราใช้เวลาในการเดินชมธรรมชาติไปและกลับประมาณ 4 ชั่วโมง กลับถึงเต็นท์ก็ได้เวลาสำหรับอาหารเย็นแล้ว ค่ำคืนนี้มีฝนพร่ำๆ พอให้นอนสบาย นอนฟังเสียงฝนคละเคล้ากับเสียงน้ำตกไกลๆได้บรรยากาศการมาพักผ่อน เช้าวันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าครับ ประมาณตีห้าครึ่ง ตั้งใจจะวิ่งออกกำลังกายไปที่น้ำตกสไลเดอร์ เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอุทยานห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร วิ่งไปกลับก็จะได้ระยะ 10 กิโลเมตรพอดี ระยะทางที่ค่อนข้างเป็นเนินซะส่วนใหญ่ ประกอบกับความฟิตก็ไม่ได้มีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทำการให้วิ่งในวันนี้เหนื่อยเป็นพิเศษ…

เที่ยวหาดสามพระยา ประจวบคีรีขันธ์

ต้อนรับปีใหม่ด้วยการพาหมาม่อนไปเที่ยวทะเล ~ ถือว่าเป็นทริปเอาใจหมา เพราะก่อนหน้านี้หนีไปเที่ยวเหนือซะหลายวัน ทริปนี้เลยถือโอกาสพาหมาไปเอาบรรยากาศทะเล ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยพาไปหนหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นไปหาดเจ้าสำราญนอนบ้าน ครั้งนี้ไม่เหมือนก่อนเพราะม่อนจะนอนเต็นททททททท์ หาข้อมูลอยู่นานพอสมควรว่าที่ไหนบ้างเขาต้อนรับน้องหมาและที่สำคัญคนต้องไม่เยอะวุ่นวายเกินไป เพราะหมาอาจจะตื่นคนได้ ที่สำคัญเกรงใจคนอื่นเขา (โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบหมา) จนได้ข้อมูลมาว่า หาดสามพระยา สามารถพาหมามาพักแรมได้ แต่กระนั้นก็ได้เผื่อแผนสองไว้แล้วว่า ถ้าที่สุดเจ้าหน้าที่เปลี่ยนกฏกระทันหันไม่ยอมให้หมาเข้าพัก ก็จะลอง walkin ตามรีสอร์ทหรือเลวร้ายที่สุดก็แค่ขับรถกลับบ้านเท่านั้นเอง.. แต่โชคดีที่นี่ต้อนรับหมา.. หาดสามพระยา หาดสามพระยา ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวย และยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่นี่จะเป็นบริเวณของหาดทรายที่สวยงาม ร่มรื่น และเงียบสงบ ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร จากเชิงเขาสูงไปจดปากคลองเขาแดง ที่สำคัญคือมีทิวสนขนานไปกับชายทะเลเป็นทิวแถว คอยให้ความร่มรื่น ทำให้ไม่ร้อนจนเกินไป.. อากาศช่วงปีใหม่นี้ถือว่าเย็นสบายมาก มีลมเบาๆ กลางคืนอากาศหนาวจับใจ..อยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน แต่เจ้าหมาม่อนตื่นที่จนไม่เป็นอันนอน อาจจะแปลกที่นิดหน่อยกับการนอนเต็นท์ หลังจากสั่งอาหารจากร้านสวัสดิการมาทานเสร็จเรียบร้อย ก็เก็บของกลับบ้านครับ อ่อ..อาหารร้านสวัสดิการที่นี่รสชาติเป็นที่เลืองลือเลยนะครับว่าอร่อย และราคาไม่แพง ปิดท้ายด้วยบั้นท้ายลูกสาว..หมาม่อน ทริปหน้าว่ากันใหม่~

แม่ฮ่องสอน..ตะลอนเที่ยว: ปางอุ๋ง

ปางอุ๋ง หลังจากออกจากปางมะผ้า ชุมชนหมู่บ้านจ่าโบ่ เราก็มุ่งหน้าสู่ปางอุ๋ง..เส้นทางที่แม้สวยงามเพียงใด แต่เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเส้นทางที่วิ่งไปตามเขา เราจึงขับรถไปด้วยความวิงเวียนพอสมควร ทั้งโค้งขึ้นและโค้งลงเขา จนในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง.. ปางอุ๋ง ปางอุ๋ง หรือชื่อเต็มก็คือ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” เป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่อันตราย อยู่ติดแนวชายแดนพม่ามีกองกำลังต่างๆ มีการขนส่ง ปลูกพืชเสพติด รวมไปถึงการบุกรุกพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่าอยู่เสมอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินีนาถจึงมีพระราชดำริให้รวบรวมราษฎรกลุ่มน้อยบริเวณนั้น และพัฒนาความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพปลูกป่า สร้างอ่างเก็บน้ำ โดยมีพระราชประสงค์สร้างความมั่นคงแนวชายแดน พัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎร ให้ดีขึ้นและฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ยั่งยืนตลอดไป ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอน ต้องไปปางอุ๋ง ไปเสพธรรมชาติและความงดงามของสายน้ำยามเช้า คอยลุ้นว่าจะมีหมอกบนสายน้ำมั้ย..อากาศที่ปางอุ๋งว่ากันว่าหนาวทั้งปี และครั้งนี้ก็หนาวจริง น้ำนี่เย็นเจี้ยบบบ ผมมาครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้พูดเต็มปากว่าได้มาแล้ว ที่ใครเคยพูดว่าปางอุ๋งสวย เราก็จะได้มาเห็นด้วยตัวเองว่าจริงมั้ย..ก็สวยจริงนะครับ แต่วันที่ผมมานั้นไม่มีหมอก T_T ข้อเสียอย่างหนึ่งของจุดกางเต๊นท์ที่นี่คือ ทำเลดีๆ สวยๆติดริมน้ำ ถูกเต๊นท์เช่าของเจ้าหน้าที่กางทิ้งไว้หมด จะมีนักท่องเที่ยวหรือไม่ก็ตาม เต๊นท์ก็จะกักที่ไว้อย่างนั้น วันที่ผมไปนักท่องเที่ยวไม่ได้เยอะมากนัก แต่เต๊นท์เช่าเหล่านั้นก็ถูกกางกักที่ไว้เช่นนั้น นอกจากจะกักที่ดีๆไว้แล้ว ยังมองดูเกะกะวิวสวยๆไปหมด เป็นไปได้ไหมครับว่าเต๊นท์เช่าเราไม่ต้องกางทิ้งไว้ รอเวลามีคนมาขอเช่าแล้วค่อยไปกางให้เขา ณ ตำแหน่งที่ผู้เช่าอยากให้กาง เต๊นท์เองก็จะไม่โทรมเร็ว และมีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวคนอื่นบ้าง ครั้นจะไปกางเต๊นท์ในจุดที่ห่างจากผู้อื่น วิวสวย เงียบๆ แต่ก็จะไกลจากห้องน้ำมาก.. เช้าวันต่อมา หลังจากออกไปวิ่งเป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร ผมกลับมาอาบน้ำในขณะที่น้ำเย็นมากกกกก ก .. แต่เหงื่อท่วมตัวแบบนี้ไม่อาบไม่ได้ครับ คนอื่นๆที่นั่งหนาวผิงไฟ ออกอากาศตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมอาบน้ำ หลังจากเก็บเต๊นท์ ทานข้าวเช้าเราก็บอกลาปางอุ๋ง.. ขากลับผมตั้งใจจะยิงยาวจากปางอุ๋ง ไปกรุงเทพเลยโดยไม่วนกลับมาทางเชียงใหม่ และเส้นทางที่เลือกนั่นคือ ไปทางแม่สะเหรี่ยง ถนนดี รถน้อย แต่ไกลกว่าและโค้งเยอะกว่ามากครับ ระหว่างทางก็เลยแวะร้านกาแฟเรื่อยๆ ออกเดินทางต่อเข้าสู่โหมดภูเขาและมหากาพย์โค้ง โค้งจนร้องขอชีวิต ในที่สุดก็มีจุดให้แวะเมื่อเราผ่านไปแล้วกว่าพันโค้ง!! ขับรถมาถึงแม่สอด ก็มืดค่ำพอดี ก็เลยต้องหาที่หลับที่นอนที่แม่สอดและระหว่างทางกว่าจะถึงที่พักนั่นก็ระทึกพอสมควรครับ แม่สอดเป็นอำเภอที่ติดกับชายแดนพม่า ถนนมืดสนิทด้านซ้ายเป็นเหว ด้านขวาเป็นภูเขาและราวกับว่าเราขับรถอยู่คนเดียวในหุบเขา นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน..ถ้าใครกลับจากแม่ฮ่องสอนเพื่อเข้ากรุงเทพ ไม่แนะนำเส้นทางนี้นะครับ ~ เปลี่ยวเกิ้น จบละครับทริปแม่ฮ่องสอน..ตะลอนเที่ยว เจอกันใหม่ทริปหน้า.. ปิดท้ายด้วยเส้นทางวิวสวยๆจากแม่สอด.

Cafe’ Review คาเฟ่รีวิว

ความสุขใดเล่าจะเท่าความสุขจากการกิน

ป่าก์ Cafe’ : คาเฟ่ลับบรรยากาศสวน

ร้านกาแฟที่แอบอยู่ในสวนไม่ไกลจากวงเวียนพระราม 5 หรือบางคนรู้จักในชื่อวงเวียนนครอินทร์ แม้จะไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ เพราะต้องจอดรถไว้ด้านนอกและเดินตามทางเล็กๆเข้าไปในสวน แต่บอกเลยว่านี่คือเสน่ห์ของร้านแห่งนี้ ของดีแม้อยู่ในป่าลึกคนก็สามารถหาจนเจอ บรรยากาศที่เป็นสวนมีต้นไม้ร่มรื่นจึงเป็นที่มาของชื่อร้าน ป่าก์ Cafe’ นอกจากกาแฟและเค้ก ที่นี่ยังมีเมนูอาหารหลากหลายด้วยนะครับ ที่นั่งแบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนห้องแอร์ และโซนบรรยากาศตามท้องร่องสวน ถือว่ามีที่นั่งเยอะอยู่นะครับ ถ้าไม่ชอบความแออัดก็ออกไปนั่งตามสวนได้

Good Farm Cafe บ้านทุ่งนา

ระหว่างเดินทางไปเที่ยวทางเหนือหลังจากผ่านนครสวรรค์มา เราก็เริ่มมองหาร้านกาแฟบรรยกาศดีๆ โดยมีโจทกย์ในใจว่าต้องไม่ใช่กาแฟในปั้ม อาจจะเพราะโจทกย์ยากเกินไป ขับจนพ้นนครสวรรค์แล้วยังไม่เจอร้านกาแฟที่น่าแวะ (หรืออาจเพราะขับไวไป) จนสุดท้ายมาถึงจังหวัดกำแพงเพชร ในเขตพื้นที่ที่เรียกตัวเองว่าบ้านสลกบาตร สายตาเหนือยๆง่วงๆ ก็แว่บไปเห็นป้าย “Good Farm” อีก 1 กิโลเมตรข้างหน้า พอถึงร้าน มองเห็นป้ายร้านเด่นชัดสะดุดตา บรรยากาศก็เชิญชวนให้เราแวะไปเยี่ยมชิม บรรยากาศดี รสกาแฟเข้ม สำหรับคนที่ชอบออกเดินทางเที่ยวต่างจังหวัดอย่างเราๆท่านๆ รสชาติกาแฟไม่ต้องมาที่หนึ่งก็ได้ แต่บรรยากาศของการได้พักหย่อนใจหลังจากขับรถมาไกลๆ นั่นมากกว่าที่เราต้องการที่สุด เราต้องการมากกว่ารสชาติกาแฟ ถ้าท่านผ่านไปทางเหนือก็อย่าลืมแวะครับ งีบสักหน่อยก็ยังได้ ค่อยขับต่อ..ถ้าท่านชอบเหมือนกัน แสดงว่าเรา ‘คอเดียวกัน’

5522 Cafe : ร้านกาแฟในสวน

แถวนนทบุรีมีค่าเฟ่ที่น่านั่งหลายร้านมากครับ อยู่ในซอกในสวนอีกหลายร้าน อีกทั้งนนทบุรีเป็นจังหวัดที่อดีตเป็นพื้นที่ทำสวนเสียส่วนใหญ่ และปัจจุบันสวนเหล่านั้นก็ยังคงอยู่บ้าง พื้นที่ส่วนใหญ่กลายร่างเป็นบ้านจัดสรร แต่บางแห่งก็แปรสภาพเป็นคาเฟ่เก๋ๆ อย่างเช่น 5522 Cafe ซึ่งด้านหลังเป็นสวนมะม่วง การเดินทางไปง่ายครับ อยู่บนถนนราชพฤกษ์ ผมบอกพิกัดไม่ถูกลองจิ้มดูบนแผนที่ด้านล่างได้เลย อ่อ สำหรับคนที่อยากกินก๋วยเตี๋ยวก่อนชิมกาแฟ ร้านข้างๆติดกันกับร้านกาแฟเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือครับ รสชาติดีทีเดียว แนะนำให้สั่งเส้นเล็กแห้ง เส้นนุ่ม ละมุนลิ้น

Cafe’ De Flore : ร้านร่มรื่นกาแฟรสละมุน

สำหรับคอกาแฟแล้ว นอกจากรสชาติของกาแฟ นั่นคือ บรรยากาศของการดื่มกาแฟ นั่งกินกาแฟไปคุยกันไป หรือนั่งทำงานในบรรยากาศของร้านกาแฟ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคอกาแฟ วันนี้จึงมาแนะนำร้านกาแฟน่ารักๆ บรรยากาศอบอุ่นในนนทบุรี ตั้งอยู่ตรงวงเวียนพระรามห้าหรือวงเวียนนครอินทร์แล้วแต่จะเรียก ชื่อร้านว่า Cafe’ De Flore รสชาติกาแฟของที่นี่ถือว่าผ่านครับ ได้กลิ่นได้รสกาแฟแบบถึงใจดี ละมุนทั้งรสชาติและบรรยากาศของร้าน ผ่านไปแถวนั้นก็แวะชิมแวะนั่งได้ ถ้าไปไม่ถูกก็ดูแผนที่ด้านล่างนี้ได้เลย

ชวนชิม Spaghetti Bolognese

ชวนชิมวันนี้ขอเสนอเมนู สปาเก็ตตี้ โบโลนีสขอรวบรัดขั้นตอนการเตรียมของวาร์ปไปถึงกระทะเลยก็แล้วกันนะครับ ..จากภาพนี้กลิ่นมาเตะจมูกกันบ้างมั้ยย ครั้งนี้ใช้เส้นสปาเกตตีเบอร์ 3 ปกติไม่ชอบใช้เส้นใหญ่ๆ เพราะขี้เกียจต้มนาน หิวแล้ว แต่ทำไมรอบนี้ใช้เบอร์นี้น่ะเหรอ เพราะตอนซื้อเส้นมากักตุน มันเหลือแต่เบอร์นี้อย่างเดียวเลย เวลาจะทานก็เอาเส้นใส่กระทะ เอาซอสลงใส่ คลุกบนไฟพอร้อนๆพร้อมเสิร์ฟแล้ว.. พร้อมทานแล้วครับ รสชาติของทำเองนี่ไม่ต่างจากซื้อตามร้านเลยนะครับบ :0

เมนูข้าวโพดทอด..อร่อย ทำเองก็ได้ง่ายดี

เนื่องจากสถานการณ์โควิด19 กำลังระบาด เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลที่ให้เน้นอยู่บ้าน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเขื้อโรค จึงเป็นที่มาของ “ข้าวโพดทอด” อาหารทานเล่นที่ทำง่ายด้วยของที่มีอยู่แล้วในบ้าน เมนูนี้ผมไม่เคยเห็นว่ามีขายที่ตลาดไหนนะครับ วัตถุดิบ มีดังนี้1. ข้าวโพด2. ไข่ (อัตราส่วน ไข่ 1 ฟองสำหรับข้าวโพด 1 ฝัก)3. พริกขี้หนู4. น้ำอาจาด หมายเหตุ น้ำอาจาดกับพริกขี้หนูใช้สำหรับราดบนข้าวโพดทอดตอนทาน วิธีทำ 1. นำข้าวโพดไปฝานลงบนภาชนะเท่าที่ต้องการ2. ตอกไข่ลงบนข้าวโพดแล้วตีให้เข้ากัน3. ตั้งน้ำมันบนกระทะ ใช้ไฟอ่อนๆ (ถ้าใช้ไฟแรงข้าวโพดจะไหม้)4. หลังจากน้ำมันเริ่มร้อนแล้ว ตักข้าวโพดที่ตีเข้ากับไข่แล้วขนาดไม่ใหญ่มาก ลงทอดบนกระทะ5. รอจนสุกด้านหนึ่งแล้วพลิกอีกด้านหนึ่ง (เหมือนทอดไข่)6. ทอดจนสุกตามต้องการแล้วตักขึ้นครับ เป็นอันทานได้7. เป็นขั้นตอนการทำน้ำอาจาด ใช้พริกขี้หนูบดพอแหลกเทลงในถ้วยน้ำอาจาด8. วิธีทาน น้ำนำอาจาดราดบนข้าวโพดทอดทาน .. ทานให้อร่อย เสร็จแล้วครับ เมนูง่ายๆทำได้เอง “ข้าวโพดทอด”

The Glasshouse Cafe ร้านกาแฟและอาหารรสชาตดี

ร้านกาแฟและอาหารติดถนนนครอินทร์มุ่งหน้าวงเวียนพระรามห้า บรรยกาศร้านร่มรื่นเย็นสบายเซิร์ฟทั้งเครื่องดื่มที่หลากหลายและอาหารก็มีหลายเมนูเช่นกัน ร้านสังเกตง่ายมากครับ มีต้นไม้ต้นใหญ่และตัวร้านเป็นกระจกรอบด้าน มีที่นั่งในห้องแอร์และนอกร้าน กาแฟร้านนี้ถือว่าผ่านครับ รสเข้ม ไม่เปรี้ยว กลิ่นกาแฟอ่อนไปนิดแต่รสชาติเข้มพอดี The Glasshouse Cafe ร้านอยู่แถววงเวียนพระรามห้า หรือวงเวียนนครอินทร์แล้วแต่จะเรียกนะครับ อยู่ทางด้านที่มาจากตลาดพระรามห้ามุ่งหน้ารัตนาธิเบศร์ ..ดูแผนที่เอาละกันน

British Cafe’ ร้านกาแฟบรรยากาศดี

ถ้ามาจากเดอะมอลล์งามวงศ์วาน วิ่งข้ามแยกแครายมาตามถนนรัตนาธิเบศร์ พอเห็นห้างเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ซึ่งอยู่ด้านขวามือ ให้ออกทางคู่ขนานวิ่งช้าๆมาจนเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวนายใบ้ด้านซ้ายมือ จะมีซอยเล็กๆติดกับร้านก๋วยเตี๋ยวให้เลี้ยวเข้าไปเลย ประมาณ 50 เมตรก็จะถึงร้าน หาทางจอดริมถนนได้เลย หรือถ้ามารถไฟฟ้าสายสีม่วง ก็ลงสถานีแยกนนทบุรี 1 ฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์นะ แล้วเดินมุ่งหน้าไปหาแครายประมาณ 200  เมตรก็จะเจอซอยเล็กๆที่ว่า เข้าไป 50 เมตรก็จะเจอร้าน   เสียดายที่มาแค่คนเดียว เลยไม่ได้สั่งเมนูอื่นมาชิมกลัวกินไม่หมด วันหลังถ้าผ่านไปกับกลุ่มเพื่อนจะแวะไปโดนอีกแน่นอน ถ้าหากกำลังมองหาที่ประชุมทำงานที่นี่เหมาะมากครับ มาถึงแล้วไม่ต้องไปไหนต่อ มีทั้งอาหารคาว หวาน และกาแฟเสิร์ฟได้ทั้งวัน อ้อ ที่นี่เปิดตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. นะครับ

Lullaby Coffee & Eatery

มีโอกาสได้ไปสัตหีบเพื่อไปร่วมงานวิ่ง นาวิกมาธอน ซึ่งจะต้องหาที่พักหนึ่งคืน เลยมองหาที่พักราคาไม่แพงมากและไม่ไกลจากหาดเตยงามมากนัก เพื่อที่จะตื่นเช้าออกไปวิ่งได้ จึงมาเจอที่พักที่นี่เข้าครับ Lullaby Coffee & Eatery      ที่นี่มีทั้งอาหารคาวและหวาน กาแฟกำลังดี ขนมปังเย็นโอวัลตินภูเขาไฟ ขนมปังปิ้ง น้ำผลไม้หลากหลาย กับน้ำโซดาแบบต่างๆ มากมายจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว บรรยากาศของร้านสะอาดสะอ้านดี พนักงานดูแลทั่วถึง และอัธยาศัยดี.. ที่นี่เหมาะสำหรับไปนั่งดื่ม นั่งรับประทานอาหารได้ครับ แต่ไม่แนะนำให้ไปพัก ถึงแม้ราคาที่พักเพียงคืนละ 600 บาท แต่ห้องอยู่ชั้น 2 – 3 บันไดชันมากและขั้นบันไดก็ทำสเต็ปสูงกว่าปกติ เดินขึ้นลำบาก ยิ่งถ้ามีอายุมากแล้วไม่แนะนำที่นี่เลย เกรงจะตกบันไดซะก่อน

เรื่องสั้น

หมาแก่และดอกทิวลิปเดี่ยวดาย บทที่ 3

เคยคิดไหมว่าชีวิตเราที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้ เพราะมีพระเจ้าคอยกำหนดไว้ หรือมันแค่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น?

หมาแก่และดอกทิวลิปเดียวดาย บทที่ 2

เพลงที่ดังจากเครื่องเล่นในป้อมยาม ยังคงขับกล่อมด้วยเครื่องเล่นเครื่องเก่าและเพลงที่เปิดยังเป็นเพลงเก่าๆ ที่ฟังกี่ครั้งก็ยังไพเราะ เป็นเพลงที่ข้ามเวลามาจากอดีต

หมาแก่และดอกทิวลิปเดียวดาย บทที่ 1

ค่ำคืนเดือนมืดที่ท้องฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดาว สัตว์บางชนิดออกหาเหยื่อ ในขณะที่สัตว์บางชนิดใช้เวลานี้ในการพักผ่อน เช่นเดียวกับคน

เธอ เขา และเขม่าแค้น

ผมลืมตาอีกครั้ง..กลับพบตัวเองในความมืด เงียบ ไม่มีแสงสว่างหรือเสียงจากที่ใด ขาที่ค่อย ๆ ย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผมไม่หยุดอยู่กับที่อีกแล้ว อดีตที่ผ่านมามันเป็นอุทาหรณ์ให้ผมต้องไม่หยุดอยู่กับที่ แม้มีเพียงความมืดอยู่เบื้องหน้า แต่ขาไม่ควรหยุดเดิน เมื่อเราหยุดแม้เพียงนาทีเดียว โอกาสของเราก็ยิ่งจะเลือนรางจางหายไปในทุกที ความปราณีมันไม่มีอีกแล้วในยุคที่ทุกคนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ภาพรอยยิ้มของเพื่อนผู้ที่ผมไว้ใจที่สุดปรากฏในห้วงแห่งอดีต เพื่อนที่แย่งทุกอย่างไปจากผม ตำแหน่งหน้าที่ และฤดีแฟนสาวของผม ไอ้เพื่อนระยำ..! สายลมเบา ๆ พัดมากับความมืดแล้วผ่านหน้าผมไปอย่างวังเวง ผมเริ่มขยับก้าวที่สอง และก้าวที่สามไปตามลำดับเรื่อย ๆ ช้า ๆ เท้าที่ไร้รองเท้ารองรับได้สัมผัสกับพื้นที่ไม่คุ้นตีน เกิดความรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่มันที่ไหน พื้นไม่ใช่พื้นทราย และไม่ใช่พื้นปูน สัมผัสจากฝ่าเท้าบอกแค่ว่ามันเป็นพื้นที่ขรุขระ บางครั้งเป็นพื้นชื้น ๆ ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเดินไปไหน และไปเพื่ออะไร ในหัวสมองผมปวดขึ้นมาทันทีเมื่อพยายามคิดถึงเรื่องนี ้ ถ้าผมจำไม่ ผิด เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ ผมยังนอนบนเตียงที่รายล้อมด้วยแพทย์และพยาบาลในชุดสี เขียว ตรงกลางมีไฟขนาดให*่ส่องลงมาทำให้ต้องปิดตาอยู่ตลอด ทุกคนต่างสนใจอยู่ที่กลางท้องของผม นางพยาบาลส่งอุปกรณ์ให้หมอเป็นระยะ ๆ แม้ที่หน้าของหมอจะมีผ้าคาดไว้ แต่ก็ปรากฏแววตาเครียดอย่างเห็นได้ขัด พยาบาลคอยซับเหงื่อให้หมออยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้อง และสุดท้ายก็ไร้สติหลับใหลไปในที่สุด ผมพยายามคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่ผมจะต้องมานอนรายล้อมด้วยหมอและพยาบาล ภาพฤดีเดินไปช้า ๆ กับเพื่อนอัปรีย์ค่อย ๆปรากฏขึ้น เธอและเขาขึ้นรถหรูซึ่งเคยเป็นของผมออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแกมเยาะเย้ย 5 ปีที่ผมทุ่มเทให้กับบริษัทเล็ก ๆ นี้จนเจริญขึ้นทุกปีมีหน้ามีตา กลับถูกตอบแทนด้วยข้อหายักยอกเงินบริษัท ผมถูกฟ้องร้องในชั้นศาล และแพ้ความในทุกกรณีด้วยหลักฐาน และพยานชิ้นสำคัญนั่นก็คือ ฤดีแฟนรัก และประจักษ์ เพื่อนที่ไว้ใจ ผมกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวชั่วคืนเดียว ความเครียดที่มีอยู่แล้วในทุกวัน กลับพลันเพิ่มขึ้นทวี มันเกิดที่ขึ้นศีรษะ และปะทะลงในกระเพาะอาหาร ผมปวดท้องอย่างแรง ชนิดที่ไม่เคยปวดอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนมีแผลเน่า ๆ อยู่กลางท้อง แล้วถูกราดลงด้วยทิงเจอร์ ขณะที่ศีรษะก็ปวดมากไม่แพ้กัน ที่ร้ายไปกว่านั้นในใจผมแหลกเหลว เมื่อคิดถึงเพื่อนเลวและแฟนทรยศ บัดสบ..! ทั้งปวดหัว ปวดท้อง ปวดหัวใจ ความปวดทั้งหลายมันประดังมาเต็มที่ จน ..ผมไม่สามารถจะทานทนได้ด้วยกำลังของตนที่มีอยู่ .. ฟ้ายังปรานี มีคนพาผมเข้าโรงพยาบาล ผมอยากจะขอบคุณเขา แต่ตอนนี้ล่ะ ผมกำลังอยู่ที่ไหน ..โอ๊ยย…

กระดาษ

. . – กระดาษ – กระดาษแผ่นนั้นเองที่เธอถืออยู่ไม่ยอมวางตั้งแต่เช้า เธอทะนุถนอมราวกับว่ามันจะปลิวหายไปกับสายลมเพียงเพราะถ้ามันหลุดออกจากมือ สีหน้าที่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางบรรดามี กลับไม่สามารถปกปิดร่องรอยแห่งความกังวล กระดาษใบนั้นมันแค่โพสอิทธรรมดา แต่ทว่าข้อความข้างในคงจะซ่อนเรื่องราวบางอย่างไว้จนทำให้เธอเครียดถึงเพียงนี้ เธอแอบเปิดดูเป็นครั้งคราวราวกับไม่แน่ใจในข้อความนั้น ข้อความนี้คืออะไร ทำไมสร้างความลำบากใจมากมายเหลือเกิน เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อเช้า..เช้าที่เธอมาทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ใครเลยจะรู้ว่าวันนี้มีบางอย่างรอเธออยู่ หลังจากลิฟท์พาเธอมายังชั้น 16 ที่เธอทำงานและเดินผ่านโต๊ะทำงานทั้งหลายจนมาหยุดที่โต๊ะทำงานตัวเอง เมื่อขยับเก้าอี้ออก สายตาเธอต้องสะดุดกับกระดาษโพสอิทที่หล่นอยู่ใต้โต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัย นาทีนั้นเองที่เธอเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง แววตาเศร้า และแทนที่จะนั่งลงกลับผลุนผลันออกไปทันที บัดนี้เบื้องหน้าเธอคือต้นชมพูขนาดใหญ่สองคนโอบกลางสวนสาธารณะที่คนมักใช้เป็นที่ผ่อนคลาย ออกกำลัง หรือนั่งเล่น หญิงสาวยืนมือออกอย่างช้าๆ สัมผัสลงที่พื้นผิวอันขรุขระของต้นไม้ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้า แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เธอกำลังร้องไห้ และทันใดนั่นเอง กระดาษโพสอิทที่เธอถือมาด้วยหลุดหล่นจากมือ เผยให้เห็นข้อความบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างขัดเจน “ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ของเรา” . . . . – ความรัก – เมื่อคนสองคนที่มีใจตรงกัน พูดภาษาเดียวกัน พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้กันและกัน อุปสรรคใดๆดูจะเป็นเรื่องเล็ก เธอและเขาพร้อมจะก้าวข้ามมันไปด้วยกัน ทุกๆวันที่ผ่านทั้งเธอและเขามอบแต่สิ่งดีให้กัน และสิ่งที่ดีที่สุดที่มีค่ามากกว่าเงินก็คือความรัก ทั้งสองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรักของเธอและเขานั้นบริสุทธิ์งดงาม และมีค่าแค่ไหน วันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่พักผ่อนใต้ต้นชมพูกลางสวนสาธารณะนั้น ฝ่ายชายเกิดคิดว่าเราควรจะมีสักขีพยานในความรักครั้งนี้ของเราสองคน และต้นชมพูใหญ่อันร่มรื่นนี้ดูจะมีอายุมากเปรียบกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ความร่มเย็นแก่ลูกหลานมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้น ต้นชมพูใหญ่เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ขอจงเป็นสักขีพยานในความรักของเธอและเขาในครั้งนี้ด้วยเถิด พูดจบทั้งคู่ก็โอบกอดต้นชมพู่ด้วยใจที่ชื่นบานมีความสุข “ความรักของเราจะสวยงามและยั่งยืนยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับต้นชมพูนี้” แทนการสลักข้อความลงบนต้นไม้ ชายหนุ่มหยิบกระดาษโพสอิทออกมา เขียนข้อความในใจ แผ่นที่ 1“รักของเรา..ตลอดไป” แผ่นที่ 2“เราจะไม่แยกจากกัน” แผ่นที่ 3“ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ของเรา” . . . – ความเปลี่ยนแปลง – โลกนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สัจธรรมที่ทุกคนต้องพบเจอไม่ช้าก็เร็ว นั่นคือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เมื่อเวลาผ่านไปหญิงสาวก็เริ่มเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ชัดเจนขึ้น แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือเร็วไปไหมกับเวลาเพียง 1 ปีที่เขาเปลี่ยนไป คิดอีกมุมหนึ่งก็ดี ที่เธอกับเขาจะไม่ต้องเสียเวลากันไปมากกว่านี้ เขาไม่เหมือนเดิมเขาเปลี่ยนไปจากเคยถามไถ่ กลับห่างเหินจากจับมือเดิน กลับต้องเดินคนเดียว ในที่สุดทั้งคู่ก็สุดจะรั้งความสัมพันธ์นี้ไปได้ต่อ หญิงสาวแม้จะทำใจไว้นานแล้ว แต่ในวันที่จากลากลับไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ขณะที่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาเดินหายไปในกลุ่มคนราวเป็นเรื่องปกติ . ….

น้ำตาซาตาน

เรื่องราวของชายที่ปมในวัยเด็ก หลังเกิดเหตุฆาตกรรมฆ่าหมดบ้าน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาฆาตกร เรื่องราวถูกถ่ายทอดในรูปแบบของกลอนแปดสุภาพบ้าง ไม่สุภาพบ้าง ..เชิญติดตามได้ ณ บัดนั้น.

ฆาตกร

“กูแค่หลอกฟันเมียมึงเท่านั้นแหละ ไม่ได้จริงจังหรอก” หลังจากวางสาย ในหัวผมอื้ออึง เหล้าที่กินเข้าไปเกือบหมดขวดดูเหมือนจะน้อยกว่าความโกรธที่พุ่งพล่านทั่วร่าง สองปีที่ผมอยู่กินกับเธอมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอมีใจให้คนอื่นไม่โหดร้ายเท่าชายคนนั้นโทรมาเหยียบย่ำน้ำใจกันอีก ผมปิดมิตเตอร์ ไม่รับผู้โดยสาร บึ่งหน้าไปยังบ้านชายโฉดกับหญิงชั่วนั้นทันที! ไม่นานผมก็มาปรากฏกายหน้าห้องมัน ห้องไม่ได้ล็อค จะโดยบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม วันนี้มันได้เจอดีแน่ ผมเปิดประตูเข้าไป  ชายชู้กับหญิงชั่วยังนอนอยู่บนที่นอน โดยไม่รอช้า ผมคว้าขวดเป๊บซี่เปล่า ฟาดไปที่หัวสองที ก่อนที่มันจะตั้งตัว ผมใช้ขวดอันเดิมฟาดไปที่เสาบ้าน ขวดแตกครึ่งหนึ่งเป็นอาวุธชั้นดี  ผมรีบแทงไปที่ท้องมันสองที จนมันแน่นิ่งเลือดพุ่งท่วมตัว ขณะที่หญิงชั่วอดีตคนรักผม กรี๊ดร้องออกนอกห้องไป โชคไม่เข้าข้างที่มีสายตรวจอยู่หน้าหอพักพอดี ผมถูกตำรวจจับกุมอย่างงายดาย ผมยอมรับทุกข้อกล่าวหา เหตุจูงใจในการฆ่า คือ การถูกหยามหน้าอย่างรุนแรง “งั้น ทำไมถึงไม่ฆ่าผู้หญิงด้วย” ตำรวจถาม “ผมฆ่าไม่ทัน มันวิ่งออกจากห้องไปก่อน” ผมตอบสีหน้านิ่ง ผมถูกพิพากษาจำคุก 10  ปี แต่เนื่องจากไม่เคยทำผิดมาก่อน และยอมรับผิด เป็นประโยชน์ต่อศาล จึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือแค่ 5 ปี.. “หมู่บ้านพี่อยู่ตรงไปใช่มั้ยครับ..” แท็กซี่คนดังกล่าวถามขึ้น หลังจากเล่าเรื่องราวในอดีตจบลง “ค..ครับ ใช่ ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย จอดตรงซอย 25” ผมตอบกลั้นเสียงสั่น “นี่ ครับค่าโดยสาร ไม่ต้องทอนก็ได้นะครับ” “ไม่ได้พี่ ตั้ง 5 บาท ยังไงผมต้องหาทอนจนได้ นี่ครับ เจอเหรียญแล้ว” อดีตฆาตกรคว้าเงินทอนได้ รีบยื่นให้ผม “ขอบคุณนะครับบ” แท็กซี่กล่าวขอบคุณก่อนบึ่งรถออกไป … จบบทสนทนากับแท็กซี่ อดีตฆาตกร กับเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงบนรถแท็กซี่ เหมือนได้ดูหนังจบหนึ่งเรื่อง หนังที่สร้างจากชีวิตจริงของคนๆหนึ่ง ความจริงยังมีรายละเอียดชีวิตในคุกอีกอีกนิดหน่อย แต่เรื่องไม่ปะติดปะต่อเท่าไร เป็นการตอบคำถามมากกว่า ผม : ในเรือนจำเป็นยังไงบ้างครับ? พี่แท็กซี่ : ตอนเข้าไปใหม่ๆ ลำบากมาก มีคนแกล้งทุกวัน ผม : แกล้งยังไง? พี่แท็กซี่ : มาตบหัวบ้าง มาขโมยของบ้าง เขาเห็นว่าเรามาใหม่ คิดว่าเราต้องมีตังค์ มีของ ก็จะมารีดเงิน ผม :…

ผู้หญิงคนนั้น

เวลาเย็นๆโพล้เพล้ ผมเตร่จนกลับมาถึงหอ น่าแปลก..วันนี้เด็กๆหน้าตึกหายไปไหนหมด เจ๊ปิดร้านเร็วกว่าปกติ ไฟหน้าตึกเสีย ติดๆ ดับๆ ดีที่ลิฟต์ยังใช้งานได้อยู๋ กดลิฟต์ไปยังชั้นสี่ ลิฟต์เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ พอประตูเปิด มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรอจะใช้ลิฟต์ เธอผมยาว เสื้อผ้าชุดขาว ดูหน้าเธอซีด ๆ แต่ผมไม่ใส่ใจ ผมเดินมาที่ห้องตัวเองอย่างเหนือยๆ ห้องข้างๆ เปิดประตูอ้า มีคนพลุกพล่าน ผมพยายามจะไม่สนใจ พยายามจะเดินจ้ำๆให้ผ่านๆไป แต่พอจะผ่านห้องดังกล่าวไป พอดีกับมีการยกของใหญ่ชิ้นหนึ่งออกขวางทางเดินพอดี ผมเริ่มสังเกตเห็นว่า คนพลุกพล่านในห้องนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับ พี่ๆมูลนิธิปอเต็กตึ้ง และของขนาดใหญ่ที่เขายกออกมานั้น มีผ้าขาวปิดคลุมอยู่ ถ้าไม่โง่จนเกินไปก็พอจะเดาออก มันคือ ศพ เกิดอะไรขึ้น? ช่างบังเอิญเหลือเกินผ้าปิดหน้าผู้ตายเผยอออกขณะที่ผ่านมาหน้าผม ผมตกใจ..ศพนั้น เป็นสตรี ผมยาว และชุดขาว ถึงไม่ได้สังเกตแต่ก็พอจำได้ เธอคือคนๆเดียวกับที่ผมสวนทางหน้าลิฟต์!!

จส.100 รัก

เบื้องหน้าของเขาคือถนน 3 เลนที่คลาคล่ำด้วยฝูงรถซึ่งกระเถิบกันไปเต็มพื้นที่ถนนจนหาเลนไม่เจอ ใช้คำกิริยาว่า “กระเถิบ” คงไม่ผิดนัก เพราะรถค่อยๆ ไปทีละสเต็ป ช้ากว่ารถมอเตอร์ไซต์หรือแม้แต่จักรยาน ดีกว่าหน่อยตรงที่มีแอร์เย็นๆ และเพลงเพราะๆ  เขาเลือกที่จะฟังช่องรายงานจราจรแทนที่จะฟังเพลง  มิใช่เพราะอยากรู้เส้นทางไหนรถติดจะได้หลีกเลี่ยง หรือใคร่รู้ในข่าวสารจราจร เขาเพียงอยากได้ยินเสียง ‘เธอ’ ในทุกๆเช้าที่ขับรถฝ่ารถติดไปทำงาน! เวลา 07.00 น. จนถึง 09.00 น. เขาจำช่วงเวลาที่เธอจัดรายการได้ดี เพราะเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องนั่งนิ่งๆอยู่บนรถในถนนอันคับแคบ เขาเฝ้าฟังคนที่โทรไปรายงานผลจราจรจากจุดต่างๆ ทั่วกรุงเทพ น้ำเสียงที่เธอเจรจากับแท็กซี่ หน่วยกู้ภัย ตำรวจจราจร หรือแม้แต่คนทั่วๆไปที่โทรมารายงานผล ช่างไพเราะ น้ำเสียงสดใส แฝงด้วยความเป็นห่วงใยเมื่อสมาชิกโทรมาแจ้งอุบัติเหตุ เธอช่วยติดต่อประสานงานให้ผู้ใช้รถบนท้องถนนที่ประสบปัญหา สามารถผ่านพ้นปัญหาไปได้ด้วยดี เธอ คือ ‘นางฟ้าจราจร’ เขาเฝ้าฝันสักครั้งหนึ่ง อยากจะโทรเข้าไปในรายการบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโทรไปรายงานผลอะไร รายงานผลจราจรรึ? เขากังวลที่จะใช้ศัพท์เทคนิคทางจราจร ไม่ว่าจะเป็นขาเข้า ขาออก รถขาเข้าคือทางไหน และรถขาออกคือจากไหนออกไปไหน แล้วถ้าเธอถามกลับมาว่า เราอยู่ในช่วงไหน เราจะตอบเธอยังไงดี? ช่วงกำลังรัก หรือช่วงกำลังคิดถึง ถ้าเธอไม่ตลกกับมุขนี้ละ? เราไม่เก่งเรื่องการจราจร รู้แต่ว่า ณ จุดตรงนี้รถติด แต่ข้างหน้าอีก 100 เมตร 200 เมตร หรือ 500 เมตรจะติดไหม? ถ้ารถไม่ติด แต่เราแจ้งว่าติดจะผิดไหม? เรื่องจะโทรรายงานผลจราจร เป็นอันต้องยกเลิกความคิด รายงานอุบัติเหตุ  ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นรถกระบะชนท้ายรถเก๋ง ส่งผลให้รถติดเพิ่มความติดทวีคูณยิ่งหนักกว่าเดิม คู่กรณีทั้ง 2 ยังไม่ยอมเอารถออกจากจุดเิกิดเหตุ ต่างโยนความผิดใส่กันไปมา ต้องรอตำรวจมาเจรจาตั้งนานสองนาน รถจากถนน 3 เลนเหลือ  2 เลน ค่อยๆขยับไปจนถึงจุดเกิดเหตุ เขาพยายามเพ่งมองความเสียหายที่เกิดจากการเฉี่ยวชน มีเพียงรอยถลอกเล็กๆจากกันชนหน้า แผลเท่านี้เอาน้ำฉีดแรงๆ ก็หาย แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ยอม เขาละอายที่จะโทรแจ้งอุบัติเหตุที่เล็กน้อยแต่ส่งผลให้รถติดได้มหาศาลนี้ และเขาช้ากว่าคนอื่นเสมอ ไม่นานจากเหตุเกิดเขาได้ยินเสียงคนโทรเข้าไปรายงานผลแล้ว เขาคงเหมาะที่จะฟังเธออย่างเดียวจริงๆ สักครั้ง เขาอยากจะฟังเสียงเธอที่คุยกับเขา ไม่ใช่ฟังเธอผ่านวิทยุอย่างนี้ แว่บความคิดหนึ่งเกิดขึ้น เขารีบหยิบโทรศัพท์ รู้สึกมีความสุขเมื่อกดหาเบอร์ที่คุ้น แต่ไม่เคยกดหาแม้แต่ครั้งเดียว…

BLOG I FOUND

เรื่องราวที่พบที่เจอมาระหว่างทาง