เที่ยวขุนแปะ เชียงใหม่

ขึ้นไปรับอาทิตย์แรกของวันบนดอยขุนแปะ

พอย้อนกลับไป ก็พบว่าผมไปเที่ยวทางภาคเหนือเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ไม่ไปก่อนปีใหม่ก็ไปหลังปีใหม่ มนต์เสน่ห์ของภาคเหนือมีให้เที่ยวกันตลอดปีไม่ซ้ำที่กัน ปีนี้ก็เช่นกัน

ทุกอย่างต้องมีการวางแผน เรื่องเที่ยวก็เช่นกัน ถึงแม้โพสต์นี้ผมจะโฟกัสไปที่ขุนแปะ แต่ก็จะขอเล่าถึงแผนเล็กๆก่อนมาถึงที่นี่

ครั้งนี้ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง 4 นาที

ก่อนมาที่นี่ผมแวะไปงานวิ่งที่ลำพูนก่อน ระยะเพียง 21 กิโลเมตรไม่เหนื่อยมาก วิ่งเสร็จอาบน้ำทานข้าวเที่ยวต่อได้เลย จากลำพูนแว่บไปเที่ยวที่แม่กำปอง (ผมจะแยกเล่าถึงแม่กำปองอีกทริปหนึ่ง) ก่อนจะมาเที่ยวต่อที่นี่ ขุนแปะ

กระท่อมตะวันไรวินทร์ ขุนแปะ

ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ว่าขุนแปะหน้าตาเป็นอย่างไร เห็นภาพแว่บๆในกูเกิ้ลก็ประมาณว่าเป็นหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา สงบเงียบ ไม่มีอินเทอร์เนต และไร้สิ่งอำนวยความสะดวก และตกลงใจจองแบบงงๆในหน้าเพจของเขา ดูจากแผนที่แล้วระยะทางห่างจากแม่กำปองเพียง 159 กิโลเมตร ใช้เวลาอย่างมากไม่เกิน 2 ชั่วโมง หลังจากศึกษาเส้นทางแล้วก็คิดในใจว่าเหลือๆ

หลังจากเที่ยวแม่กำปองเสร็จจึงมุ่งหน้าไปขุนแปะ ขับตามทางหลวงหมายเลข 108 ก่อนจะแยกไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 1013 ทางค่อนข้างดี เนื่องจากไม่ใช่เทศกาล ถนนโล่งวิ่งชิว จนกระทั่งเห็นป้ายปากทางบอกว่า ขุนแปะเข้าไป 20 กิโลเมตร เวลาเหลือๆ ยังไม่เข้าที่พักขอขับเลยไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติออบหลวงก่อน ..

sdr
สภาพหลังจากขึ้นไปบนสะพานนั้น
ช่องแคบเขาขาด ออบหลวง

หลังจากเที่ยวอุทยานแห่งชาติออบหลวงเสร็จ ก็จึงมุ่งหน้าไปขุนแปะ ทางเข้าไปจากถนนใหญ่เป็นทางเล็กๆพื้นคอนกรีต ..เมื่อขับเข้าไปเรื่อยๆ ทางก็เล็กลงเรื่อยๆ คอนกรีตหายไปเป็นถนนลูกรัง และทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆเข้าไปในหุบเขา ที่เลวร้ายไปกว่านั้น มีการทำถนนอีกนั้น นั่นหมายความว่าเราต้องเผชิญกับลูกรังแคบๆ ฝุ่น และทางชันมาก

ขับเข้าไปเกือบ 1 ชั่วโมงตามแผนที่กูเกิ้ล อากู๋บอกใกล้จะถึงแล้วเจอทางแยกซ้ายขวา ทางขวาเป็นทางดี ทางซ้ายเป็นทางไม่ค่อยดี ค่อนข้างรก ชัน ผมแทบร้องไห้ อากู๋บอกให้ไปทางซ้าย T_T

แทบจะวิ่งเข้าไปในป่า ทางแคบมากๆ กลับรถไม่ได้ต้องเดินหน้าไปอย่างเดียว จนในที่สุดเดินหน้าต่อไม่ได้ เพราะทางข้างหน้าสูงชันกว่า 45 องศา ที่สำคัญถนนเป็นหินกรวดนิ่ม ซึ่งล้อไม่สามารถเกาะวิ่งไปได้

ครั้งแรกผมพยายามเร่งเครื่องยนต์เพื่อปีนเนินนั้น แต่แล้วก็ไม่เป็นผล รถไหลลงมา ครั้งที่สองลองใหม่อีกครั้ง ผลก็เป็นเช่นเดิม รถไปต่อไม่ได้แล้ว .. กลับรถก็ดูจะลำบากมากด้านข้างเป็นหน้าผาสูง

ผมตัดสินใจโทรหาเจ้าของรีสอร์ท และโชคดีมากที่โทรติด เพราะแถวนั้นสัญญาณโทรศัพท์หายากมาก ติดๆขัดๆ เจ้าของที่พักบอกว่ามันไปได้สองทาง ทางที่อากู๋แนะนำนั้นก็ไปได้และใกล้กว่าด้วยแต่ต้องเป็นรถโฟลวิลขับเคลื่อน 4 ล้อ เท่านั้น (อากู๋มันไม่รู้ว่าผมขับรถอะไรมา T_T) ปัญหาตอนนี้คือต้องกลับรถ !!!

ผมไหลรถถอยลงมาเรื่อยๆเพื่อหาจุดที่กว้างพอที่จะกลบรถได้ เห็นจุดหนึ่งที่พอจะกลับได้ เพราะเป็นทางเข้าไร่ของใครสักคน เขาเอาไม้กั้นทางเข้าไว้ ผมตัดสินใจลงจากรถไปเอากั้นออก ให้แฟนเป็นคนขับและผมเป็นคนดูทาง..

เนื่องจากถนนแคบมากด้านข้างเป็นทางชันหมด พอถอยกลับรถ ล้อหลังก็ตกข้างทางรถติดล่ม ล้อฟรี ผมต้องคอยดันท้ายจนสุดแรงจึงผ่านพ้นมาได้

ในที่สุดก็ผ่านมาได้ .. จนมาถึงหมู่บ้าน แต่ยังไม่ถึงที่พัก !!

ที่พักอยู่ในหุบเขากลางป่าอีกทีหนึ่ง ดั้งนั้นต้องจอดรถไว้ในหมู่บ้าน แล้วนั่งรถโฟร์วิลของเจ้าของรีสอร์ทไป ..ไม่คิดว่าจะลำบากขนาดนี้ ถึงขั้นรำพึงกับตัวเองว่านี่เรามาเที่ยวเหรอนี่ 55

บรรยากาศข้างทางในหมู่บ้านขุนแปะ

ผมพักที่กระท่อมตะวันไรวินทร์ ซึ่งเป็นกระท่อมอยู่กลางหุบเขา เจ้าของสร้างไว้ในไร่ของเขาเอง ไม่มีไฟฟ้า และแน่อนอนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีกระท่อมให้พัก 3 หลัง ซึ่งคืนนี้ก็มีคนพักครบทั้ง 3 หลัง กว่าจะได้เข้าที่พักก็มืดค่ำแล้วละครับ อากาศค่อนข้างเย็น ..ผมไม่ได้ถ่ายบรรยากาศด้านในที่พักมาให้ดู เพราะต้องเก็บแบตเตอรี่ไว้ ไม่มีที่ชาร์จโทรศัพท์

บรรยากาศด้นหน้าที่พัก
อาหารเช้า เป็นข้าวต้มง่ายๆ แต่อร่อย
ถ้าเป็นหน้าฝนคงจะสวยกว่านี้ แต่คงขึ้นมาลำบากมากกกก

จุดไคลแมกของที่นี่คือช่วงเช้าครับ เขาจะพานั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน ซึ่งก็สวยมากจริงๆครับ ผมเอาภาพบางส่วนมาให้ชมดู

โดยสรุปนะครับ ถึงแม้จะเดินทางลำบากไปหน่อย แต่ก็คุ้มค่ากับความสวยงามของธรรมชาติ เจ้าของที่พักยังบอกอีกว่า ถ้าเป็นหน้าฝนจะได้อีกบรรยากาศ จะสวยมาก หมอกจะหนาราวกับอยู่บนฟ้า ถ้าจะลองไปสัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติดูสักครั้งก็เชิญเลยนะครับ ..ไม่ผิดหวัง