โชคดีที่เป็นหมา

จะดีก็ดี จะไม่ว่าไม่ดีก็ไม่รู้จะใช่หรือเปล่านะครับ

‘จิ๊กกี๋’ ยามสุภาพสตรีสีดำประจำบ้านที่ผมได้แนะนำให้รู้จักในบล็อกก่อนหน้านี้ หลังจากที่เธอซึมๆไป ผมได้พาไปให้หมอเจาะตรวจเลือด..ปรากฏผลออกมาว่า เธอเป็นโรค ‘ไต’ ระยะที่ 3  (โรคไตมี 4ระยะ)

ระยะที่สามถือว่าเป็นระยะที่อันตรายพอสมควร จึงไม่แปลกใจที่เธอมีอาการซึมอย่างเห็นได้ชัด หมามันพูดไม่ได้ว่ามันเป็นยังไง มันรู้แต่ว่าเมื่อไม่สบายตัว มันก็จะไม่สนุกสนาน ไม่เล่น ไม่ร่าเริง ซึ่งจากอาการเหล่านี้ถ้าคนที่สนใจหมาสักนิ๊ดก็จะรู้ทันทีว่ามัน “ไม่ปกติ”

จากการสันนิษฐาน จิ๊กกี๋เป็นโรคไตเพราะ 2 สาเหตุหลัก คือ 1. อาหาร อาหารที่มีรสจัดมาก ถูกปากหมาแต่ไม่ถูกต่อโรค 2. อั้นฉี่ น่าจะเป็นสาเหตุหลัก จิ๊กกี๋ไม่อึ ไม่ฉี่ในรั้วบ้าน และนั่นหมายความว่ามันจะมีโอกาสได้อึฉี่วันละสองครั้งเท่านั้น คือ เช้ากะเย็น ก่อนผมออกไปทำงานและหลังผมเลิกงาน ยิ่งกว่านั้นจิ๊กกี๋เคยอั้นฉี่นานสุด 3 วัน!!!

หลังจากนี้ก็เข้าสู่การรักษาตัว หมอบอกว่ามีโอกาสที่หายได้ แต่ต้องมีวินัยในการกินอาหาร กินยาอย่างสม่ำเสมอ และ..ต้องให้น้ำเกลือทุกวันๆละ 300 ซีซี

เรื่องอาหารและยาไม่ยากเท่าไร ถึงแม้มันจะเคยบ้วนยาทิ้งก็ตาม แต่ก็สามารถบังคับขืนใจให้มันกินไปจนได้ แต่การให้น้ำเกลือถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม หมอได้ทำตัวอย่างให้ดู ก็เห็นว่าไม่ยาก เพราะแค่เจาะเข็มให้เข้าสู่ผิวหนัง หมาไม่รู้สึกเจ็บหรือขัดขืนแต่อย่างใด ..ดังนั้น ผมคิดว่าผมทำได้ เมื่อวานลองทำเป็นครั้งแรก..อืมมม ก็ไม่ยากเท่าไร ได้อยู่

จิ๊กกี๋เป็นโรคไตระยะที่สาม ถ้าเป็นคนก็คงจะเครียดพอสมควร แต่นี่เป็นหมา ข้อดีของการเป็นหมาคือมันไม่ต้องรับรู้หรอกว่ามันเป็นโรคอะไร เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ต้องเครียด ซึ่งการไม่เครียดนี่เองมีผลดีต่อตัวหมามาก จะเห็นได้ว่าหลายๆคนพอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคโน่นโรคนี่ อาการของโรคยังไม่ได้กำเริบเท่าไร แต่อาการเครียดจิตจับจดอยู่กับโรคจนอาการทรุดกว่าที่ควร

พอมานั่งคิดข้อนี้ก็จึงมานั่งคิดว่า..

“อืมม เป็นหมานี่ก็ดีเหมือนกันนะ”