สิ้นโศก..โลกก็สดใส

ช่วงนี้ แถวบ้านเราฝนตกเกือบทุกวัน ฝนตกบ่อยๆ แบบนี้ พ่อค้าแม่ขาย ต่างบ่นกันไปตามๆกัน เหล่าคนที่ใช้ชีวิตริมถนน ใต้สะพานต้องนอนอย่างหนาวเหน็บ เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้คิดถึงผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง..

เธอถูกพ่อแม่ประณามว่าไม่รักดี เธอหนีไปกับคนรัก ไปใช้ชีวิตในฝันที่ชายป่า ในที่ๆคนไม่รู้จัก อาศัยการอยู่ร่วมกัน เธอตั้งท้องขึ้น เมื่อท้องแก่เต็มที่ เธอเริ่มวิตกถึงความลำบากในการเลี้ยงลูกในที่ๆไม่มีญาติ จึงทำให้เธอคิดถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องในเมืองหลวง ซึ่งมีฐานะและความเป็นอยู่ที่สบาย คิดได้ดังนั้น ในวันเดียวกันนั่นเอง ขณะที่ผู้สามีออกไปทำงานที่ไร่นาตามปกติ เธอหนีออกจากบ้าน เพื่อกลับไปยังมาตุภูมิ

ผู้สามีเกิดสังหรณ์ใจในวันนั้น จึงกลับบ้านเร็วกว่าปกติ พบข้าวของบางอย่างหายไปพร้อมกับภรรยา จึงออกติดตามในทันที..!

ฝ่ายภรรยายเมื่อออกเดินทางถึงกลางป่า เกิดอาการปวดท้องจะคลอดลูกอย่างหนัก เธอไม่สามารถทนอาการปวดท้องนั้นได้ จึงนอนคลอดลูกอยู่ตรงกลางป่านั่นเอง พอดีที่สามีมาถึงทัน จึงช่วยพยาบาลและนำกลับบ้าน

เหตุการณ์นี้ผ่านไป ฝ่ายสามีคิดว่าภรรยาคงไม่อยากหวนกลับบ้านอีกแล้ว

แต่แล้ว..เมื่อท้องลูกคนที่สอง เธอมีความคิดแบบเดิมอีก กล่าวคือ คิดอยากไปใช้ชีวิตในช่วงคลอดลูกในที่ๆปลอดภัยและสบาย เมื่อสามีออกไปทำงานตามปกติ เธอพร้อมกับลูกชายวัยขวบกว่า ก็ประคองท้องที่โตกว่าแปดเดือนหนีออกจากบ้านอีกครั้ง

เหตุการณ์เหมือนหนังฉายวนมารอบเดิม สามีรู้ข่าวและออกติดตาม ไปทันเจอภรรยาที่กลางป่า และที่นั่นเองภรรยาของเขาก็คลอดลูกคนที่สอง เหตุการณ์น่าจะจบแบบเดิม แต๋..วันนั้นเกิดพายุและฝนตกอย่างหนัก

เธอเองเพิ่งคลอดลูก ไม่มีเรี่ยวแรง ลูกเองยังอ่อนตัวแดง ผู้สามีเห็นเหตุการณ์ดังนั้น จึงถือพร้าเข้าป่าเพื่อหาที่หลบฝน เคราะห์ซ้ำกระหน่ำซัด งูเห่าเองก็หลบฝนมาเจอเข้ากับเขาพอดี ปรี่เข้ามาฉกที่ขาแล้วเลื้อยหายไป เขาเจอพิษงูเห่านอนเสียชีวิตอย่ตรงนั้น

ฝ่ายภรรยาเฝ้ารอการกลับมาของสามีโดยไม่รู้ว่าสามีเสียชีวิตแล้ว คืนนั้นฝนตกหนัก เธอใช้ร่างต่างหลังคาคร่อมลูกน้อยเกิดใหม่ไว้ ร่างกายที่โรยแรง บวกกับลมและสายฝนที่หนักทั้งคืน ร่างของหญิงพึ่งคลอดใหม่ จึงซีดขาวราวกับซากที่ไม่มีเลือดเนื้อ

เมื่อค่ำคืนที่โหดร้ายผ่านไป เธออุ้มลูกที่เกิดใหม่ และจูงมือลูกชายคนโตเดินออกไปหาสามี ภาพที่ปรากฏต่อหน้าแทบทำให้เธอสิ้นใจ สามีนอนตายข้างจอมปลวก

เมื่อเห็นว่าสามีตายแล้ว เธอกลั้นความเศร้าโศกประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรง อุ้มลูกคนเล็กด้วยมือขวา จูงมือลูกคนโตด้วยมือซ้าย หมายกลับไปยังบ้านพ่อแม่ที่ในเมืองหลวง

การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเลจนมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ด้วยเจอฝนตกหนักทั้งคืน แม่น้ำตื่นๆจึงกลายเป็นแม่น้ำที่เชี่ยวกราด

เธอไม่สามารถอุ้มลูกทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมๆกันได้ จึงคิดว่าจะอุ้มข้ามทีละคน
ครั้งแรกอุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปก่อน โดยให้ลูกคนโตยืนรออยู่อีกฟากหนึ่ง เมื่อนำลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำได้แล้ว จัดการหากิ่งไม้ใบหญ้าปูแล้วให้นอนตรงนั้น ส่วนตนลงลุยแม่น้ำเพื่อข้ามกลับไปรับลูกชายอีกคน

ขณะที่เธอเดินข้ามถึงกลางแม่น้ำนั้น เหยี่ยวตัวใหญ่มีสายตาที่คมกริบ สามารถมองเห็นเหยื่อในระยะไกลๆได้ วันนั้นมันบินมายังแม่น้ำนั้นพอดี สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กเกิดใหม่ที่นอนริมแม่น้ำ เนื้อตัวเป็นสีแดงราวกับชิ้นเนื้อ มันปรับการบินต่ำลงเพื่อล็อคเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้น และแล้วมันก็บินโฉบหมายมุ่งตรงมายังเด็กน้อยที่นอนริมแม่น้ำ

ผู้แม่เห็นดังนั้น จึงรู้ทันทีถึงอันตรายที่กลายกล้ำมาใกล้ลูกน้อย ขณะที่กลางแม่น้ำไม่สามารถทำอะไรได้ จะวิ่งฟ่าแม่น้ำกลับมา ความเร็วคงสู้เจ้าเหยี่ยวร้ายนี้ไม่ได้ จึงยกมือทั้งสอง พร้อมโห่ขับไล่ ทั้งตบมือให้เกิดเสียงดัง แต่พญาเหยี่ยวหาได้เกรงกลัวต่อเสียงขับไล่นั้นไม่ มันโฉบลงกระชากร่างเด็กน้อยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าหายลับตาไป

ฝ่ายลูกชายคนโตอีกฟากหนึ่ง สายตาจับจ้องมาที่มารดา เห็นยกไม้ยกมือ ทั้งตบมือเสียงดัง นึกว่าร้องเรียกตนให้เข้าไปหา จึงกระโจนลงแม่น้ำหวังไปหามารดา .. แต่อนิจจา.. แม่น้ำอันเชี่ยวกราดได้พัดเด็กน้อยหายไปต่อหน้าต่อตาของผู้เป็นแม่ !

ความสูญเสียลูกน้อยทั้งสองคน เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ โดยที่เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ในฐานะผู้เป็นแม่ เธอไม่สามารถแม้จะป้องกันอันตรายแก่ลูกได้ เธอนึกตำหนิตัวเองที่ไร้ความสามารถ ร่ำไห้กลางแม่น้ำปิ่มจะขาดใจตายตามลูกชายไปด้วย

ความเสียใจเพราะสามีจากไปยังไม่จางหาย ต้องมาเสียใจเพราะลูกทั้งสองอีก ความเศร้าโศกดั่งภูเขาที่ทับโถมอย่างหนัก จากนี้เธอไม่มีอะไรแล้ว คิดถึงพ่อแม่พี่น้องที่ในเมืองหลวง เธอตัดสินใจไปหาท่านในทันที

เดินทางอย่างเหนื่อยล้า ไม่หยุดพัก หวังให้ความอบอุ่นในครอบครัวช่วยเหยียวยาความเศร้า พอเดินทางมาถึงปากทางเข้าบ้าน เห็นควันพวยพุ่งมาจากทางบ้านเธอ นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอดีกับมีคนผ่านมาพอดี จึงสอบถามและได้รับคำตอบอันปวดร้าวว่า
“นี่คุณไม่รู้เหรอ..เมื่อคืนนะ มีพายุและฝนตกหนัก บ้านท่านเศรษฐีถูกพายุ บ้านทั้งหลังพังพินาศ คนที่อยู่ในบ้านไม่ต้องพูดถึง เสียชีวิตหมดเลย นั่นเห็นไหม..ควันยังโขมงอยู่นั่นเลย” กล่าวพลางชี้ให้ดู

ความเสียใจที่ประดังมาภายในวันเดียว ถั่งโถมจนเธอรับไว้ไม่ได้ ขณะนั้นเอง โลกหยุดหมุน ท้องฟ้ากลายเป็นสีเทา ผู้คนพูดจาไม่รู้เรื่อง มีเพียงเสียงสามีสลับเสียงลูกๆร้องเรียกเธอจากที่ไหนสักแห่ง ให้เธอเดินตามไป เธอไม่รับรู้กับโลกอีกต่อไป ใครๆเรียกเธอว่า หญิงบ้า

หญิงบ้าคนนี้ เธอชื่อ ปฏาจารา เป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาที่เป็นกำลังในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระพุทธ องค์ เธอได้บรรลุประโยชน์สูงสุดในพระพุทธศาสนา นั่นคือ ได้บรรลุพระอรหัต

เธอนับว่ายังมีบุญกุศลอยู่ แม้จะเจอเหตุการณ์ร้ายๆมามากมาย แต่ท้ายที่สุดโอกาสดีเพียงครั้งเดียวก็เปลี่ยนชีวิตเธอทั้งชีวิต เธอได้มาพบกับพระพุทธเจ้าและได้รับคำสั่งสอนจากพระพุทธองค์ จนได้สติและปฏิบัติตามจนได้บรรลุผลดังกล่าว

“แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศกครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่”
พระดำรัสตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสแก่นางปฏาจารา

เทศกาลเข้าพรรษาจะพยายามเล่านิทานธรรมะหรือนิทานชาดก เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศนะครับ

ขอธรรมรักษาทั่วหน้าทุกคนครับ 🙂