ปราสาททราย
ดินแดนหลังภูเขาที่สูงตระหง่าน 5 ลูกตั้งติดต่อกัน มีแม่น้ำที่ไหลจากภูเขาสูง ด้านล่างที่แม่น้ำไหลผ่าน มีเมืองเมืองหนึ่งตั้งอยู่
Find your Heart, Find the Happiness.
ดินแดนหลังภูเขาที่สูงตระหง่าน 5 ลูกตั้งติดต่อกัน มีแม่น้ำที่ไหลจากภูเขาสูง ด้านล่างที่แม่น้ำไหลผ่าน มีเมืองเมืองหนึ่งตั้งอยู่
ด้วยความที่เจ้าหญิงพึ่งอายุย่าง 16 ยังไม่เคยรู้จักความรักและความรู้สึกแบบนี้ก็พึ่งเกิดขึ้นกับเธอ
ในที่จองจำเจ้าหญิงได้พบกับหญิงงามและหญิงเกือบงามอีก 4-5 นาง ทราบภายหลังว่าเธอทั้งสิ้นล้วนถูกจับขังเพราะแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหญิง แต่ละคนก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป
เจ้าหญิงและสัตว์ผู้ภักดีที่สี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
ณ กลางป่าดินแดนแสนไกล เจ้าหญิงในชุดสีขาวปรากฏกายบนท้องทุ่งสีเขียว
รอบๆรายล้อมด้วยสัตว์นานาชนิดที่จงรักภักดี
มีกวาง มีกระต่าย นำหน้าด้วยหมีและนกกระจอก
จักฤชนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่า สายตาแม้จะเพ่งพิศไปยังหน้าจอ ทว่าใจได้ทะลุจอล่องลอยไป ณ ที่ไกลแสนไกล เขาใฝ่ฝันถึงวันหยุดพักผ่อนยาวที่ได้ไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติที่เขาชื่นชอบ ทะเล ภูเขา ต้นไม้ น้ำตก และเธอคนนั้น
หลังจากยืนรอรถโดยสารราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถสองแถว หรือรถตู้ ไม่มีวี่แววว่ารถที่จะผ่านเส้นทางที่ผมต้องการจะไปผ่านมาสักที ด้วยความเหนื่อยล้า กอปรกับเวลาที่ดึกขึ้นทุกที ผมจำเป็นจะต้องเลือกการเดินทางแบบอื่นที่ไม่ใช่รถเมล์ รถสองแถว หรือรถตู้ แท็กซี่..!! มือไวเท่าความคิด ผมรีบยืนมือไปข้างหน้าเป็นภาษากายสื่อให้รถแท็กซี่ที่วิ่งเตร่มาพอดีหยุดทันที เป็นรถแท็กซี่สีชมพูหวานแหวว ทะเบียน ทร xxxx กรุงเทพมหานคร นี่คือการขึ้นแท็กซี่อย่างถูกต้อง หลังจากขึ้นรถและบอกจุดหมายแก่โชเฟอร์แล้ว อันดับต่อไปต้องจำข้อมูลของรถแท็กซี่ให้หมดแล้วจึงโทรหาเพื่อน เพื่อบอกว่าเราได้ขึ้นแท็กซี่แล้ว ทะเบียนอะไร สีอะไร ส่วนหนึ่งเพื่อให้คนขับแท็กซี่กลัวที่จะทำมิดีมิร้ายกับเรา เพราะเราไม่ได้อยู่ลำพังแค่คนขับกับผู้โดยสารแล้ว มีบุคคลที่สามรับรู้ด้วย ผมจดจำทะเบียนรถและชื่อผู้ขับได้แล้ว แต่ไม่ได้โทรบอกใคร ดูลักษณะคนขับภายนอกไม่น่ามีพิษมีภัย แต่ผมหารู้ไม่ว่านั่นคือความคิดที่ผิด !!! ผมนั่งโดยสารที่เบาะหลังเยื้องกับคนขับ ไม่มีบทสนทนา ไม่มีการพูดคุยหรือบอกทางระหว่างผมกับคนขับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั่งรถวิ่งถึงทางเปลี่ยวแห่งหนึ่งระยะทางที่จะถึงที่หมายมาถึงครึ่งทางแล้ว จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น .. เป็นโทรศัพท์ของโชเฟอร์แท็กซี่ ด้วยความที่ภายในรถเงียบ เพราะไม่ได้เปิดเพลงหรือวิทยุสือสาร ทำให้เสียงโทรศัพท์และเสียงสนทนาดังชัดเจนจนผมขนลุก !! โชเฟอร์กดรับโทรศัพท์ และเริ่มสนทนา น้ำเสียงแผ่วเบา นิ่งเรียบจนขนลุก !! ผมสัมผัสถึงกลิ่นบางอย่าง มันพุ่งมาตามแรงของแอร์กระแทกเข้าโพรงจมูกอย่างจัง .. ผมกระพริบตาถี่ๆ ปฏิกิริยาโต้ตอบช้าลง มองข้างทางเห็นตึกราบ้านช่องลางเลือน ก่อนที่ผมจะตั้งตัวว่ากลิ่นมาจากไหนและเกิดอะไรขึ้น โชเฟอร์ก็เริ่มบทสนทนาอย่างออกรสออกชาติ บางประโยคสนทนาหวาดเสียวและน่าคลื่นไส้ เขาทำราวกับว่าไม่มีผมอยู่ตรงนั้นด้วย พอผมตั้งใจฟัง จึงพอปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างได้ว่าคู่สนทนาของโชเฟอร์คือกิ๊ก มีการป้อนคำหวานเป็นระยะๆ ต่อด้วยการนัดแนะเพื่อไปเที่ยวกัน กลิ่นภายในรถเพิ่มปริมาณมากขึ้นๆทุกที ผมจะเอ่ยปากถามพี่โชเฟอร์ว่าได้กลิ่นเหมือนผมไหม ก็ใช่ที่ เพราะพี่แกกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจีบกันอย่างออกรสออกชาติปานนั้น ผมพยายามไม่คิดเรื่องที่ไม่ดี เรื่องที่มองไม่เห็นและไม่ควรหลบลู่.. รายการเรื่องจริงผ่านจอ เคยทำสกู๊ปรถแท็กซี่ผีสิง รถแท็กซี่คันนั้นก็สีชมพู รายงานบอกว่า โชเฟอร์ได้ข่มขื่นและฆ่าผู้โดยสารหญิงสาวบนรถ ทำให้หลังจากนั้นวิญญาณหญิงสาวก็วนเวียนอยู่ภายในรถแท็กซี่คันนั้น บางวันมาเป็นกลิ่นเน่าเหม็น บางวันมาเป็นร่างที่โชกเลือดนั่งด้านหลัง หลอกหลอนจนโชเฟอร์ใจบาปคนนั้นต้องมามอบตัวกับตำรวจ..โชเฟอร์ถูกจับดำเนินคดี แต่รถแท็กซี่สีชมพูคันนั้นยังอยู่!! “มันคงไม่ใช่แท็กซี่คันนั้น..ใช่มั้ย?” ผมถามตัวเอง และตอบตัวเองว่า “ไม่ใช่” “แล้วกลิ่นละ.กลิ่นมาจากไหน และกลิ่นอะไร? มันเป็นกลิ่นเน่าเหม็นสาป ขยะเปียกก็ไม่ใช่ ลำไส้เน่าก็ไม่ปาน มันเหม็นกว่านั้น” ระหว่างที่ผมพยายามหาคำตอบและปลอบใจตัวเองอยู่นั้น โชเฟอร์ยุติการสนทนากับกิ๊กด้วยประโยคสุดคลาสิก “จุ๊บๆ” หรือว่าผมจะถามโชเฟอร์ดี ว่าได้กลิ่นเหมือนผมมั้ย แต่หากถามไปแล้ว เกรงว่าจะยิ่งทำให้โชเฟอร์ประสาทกินและหลอนขึ้นอีก เพราะแกต้องใช้รถคันนี้หากินอีกทั้งคืน ..และที่สำคัญตอนนี้กลิ่นมันหายไปแล้ว บรรยากาศบนรถเงียบอีกครั้ง มันอาจจะดูน่ากลัว…
เขายืนสงบนิ่งในซอกตึก ปล่อยให้ตำรวจเดินผ่านไป หัวใจที่เต้นตูมตามค่อยๆสงบนิ่ง และเป็นปกติในที่สุด
แม้จะผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน บางคนลงมือทำความชั่วเพราะโหยหาความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกตื่นเต้น หวาดกลัว มันช่วยให้เลือดสูบฉีดซ่านไปทั่วตัว แต่สำหรับเขาไม่ใช่ เขาทำเพราะจำเป็นจริงๆ
สายน้ำไหลเลาะเซาะซอกเขาใหญ่น้อย รวมกันเป็นสายน้ำใหญ่ไหลลงมาล่อเลี้ยงชาวเมืองใหญ่ถึงสองเมือง แม่น้ำนี้จึงเปรียบดั่งชีวิตและจิตใจ คราใดที่ขาดน้ำผู้คนดุจจะสิ้นใจ คราวใดที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็เปรมปรีด์มีความสุข แม่น้ำสายนี้จึงเปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ล่อเลี้ยงสองเมือง คือ เมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะตลอดมา แม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่าแม่น้ำโรหิณี เมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นเมืองของบิดาของพระพุทธเจ้าของพวกเราตั้งอยูทางเหนือแม่น้ำ ส่วนเมืองเทวทหะซึ่งเป็นเมืองของมารดาของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำ ทั้งสองเมืองเปรียบเหมือนเป็นเมืองพี่เมืองน้อง เป็นเมืองที่เป็นญาติถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และเป็นเช่นนี้มานานนับปี จนกระทั่งมาปีหนึ่งซึ่งน้ำในแม่น้ำน้อยลง แม่น้ำซึ่งทั้งสองเมืองยืดถือเป็นลมหายใจ ดุจจะลองใจคนทั้งสองเมืองให้สำนึกในบุญคุณ ว่ากันว่า ถ้าจะดูใจคนให้ดูในตอนที่เกิดเรื่อง เพราะในตอนนั้นธาตุแท้ของคนก็จะออกมาให้เราประจักษ์ ทั้งสองเมืองมีอาชีพทำนาเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อขาดน้ำก็เหมือนขาดข้าวไปด้วย เมืองที่อยู่ทางเหนือแม่น้ำ เริ่มแสดงความเป็นคนใจแคบโดยการกั้นน้ำไว้ ทดน้ำเข้านาของตน เมืองที่อยู่ทางใต้น้ำเกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติ จึงจำเป็นต้องมาเจรจากันระหว่างสองเมือง การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีทีท่าเหมือนมาเจรจากันเลย เพราะทั้งสองเมืองได้ยกทัพมาประจันหน้า ณ แม่น้ำโรหิณี ความเป็นเมืองที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปันกันในฐานะเมืองพี่เมืองน้อง เมืองญาติกันไม่เหลืออีกต่อไป พระพุทธองค์ทรงเห็นถึงภัยร้ายแรงนี้ จึงเสด็จรุดไปในวันนั้น ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้งสองเมือง พระองค์ทรงประทับยืนกลางแดด จนพระญาติทูลถามว่า “ไยพระองค์ถึงเสด็จยืนท่ามกลางแดดที่ร้อน” พระองค์ตรัสว่า “ถึงแดดจะร้อน แต่ร่มเงาของพระญาตินั้นเย็นกว่าร่มเงาใต้ต้นไม้นัก” เมื่อเห็นพระญาติทั้งสองฝ่ายเงียบ จึงตรัสถามต่อไปว่า “มหาบพิตรทั้งสอง ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร” “เรื่องน้ำพระพุทธเจ้าข้า” “ระหว่างน้ำกับชีวิตคนนี่อย่างไหนจะมีค่ามากกว่ากัน” พระองค์ตรัสถาม “ชีวิตคนมากกว่า พระพุทธเจ้าข้า” “ควรแล้วหรือที่ทำอย่างนี้” พระญาติดุษณีภาพทุกคน ไม่มีใครกราบทูลเลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเราตถาคตไม่มาที่นี่วันนี้ ทะเลเลือดจะไหลนองดุจสายน้ำ” เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พระญาติทั้งสองเมืองได้สติ และไม่รบราฆ่าฟันกันในวันนั้น วันนี้ยกพระพุทธประวัติบางส่วนมาเล่า เพราะเดี๋ยวนี้เกิดเรื่องทะเลาะ ขัดแย้งกันเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะทะเลาะกับเพื่อน แฟน ทะเลาะกับคนข้างบ้าน ทะเลาะกับคนที่ไม่รู้จักบนท้องถนนที่เราเห็นว่าเขาขับรถไร้มารยาท(แต่เราก็เคยทำแบบนั้นในวันที่รีบ) ทะเลาะกับแท็กซี่ ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ทะเลาะกับเจ้านาย ทะเลาะกับพี่น้อง ทะเลาะกับญาติ ทะเลาะกับคนข้างประเทศ ฯลฯ การทะเลาะกันเกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างมองว่าอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง และฝ่ายเราถูกเอาเปรียบ การทะเลาะยอดฮิต ก็คือ ทะเลาะด้วยเรื่องผลประโยชน์ ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้มักจบไม่สวยและลุกลามใหญ่โตกลายเป็นทะเลาะเรื่องอื่นๆ สาวไส้มาทะเลาะมาเกลียด จนลืมต้นเค้าว่าเดิมเราทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร …