ใจหายไปเลย

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เขียนเลย ไม่อยากจะอ้างงาน อ้างโน่น อ้างนี่ ท้ายที่สุดแล้ว ก็คือความขี้เกียจและไร้วินัยในตัวเอง

 

สถานการณ์บ้านเมืองก็ยังคลุมเครือ จะไปต่อก็ไม่ได้ ถอยไปก็ยาก อยู่อย่างงงๆ กันต่อ ก็ต้องรอดูกันต่อไปอย่างมีสติ ช่วงนี้ต้องพิจารณาข่าวกันอย่างมีสติมากขึ้น ข่าวมาจากไหน เป็นกลางหรือเอนเอียงก็มีผลต่อการพิจารณา อย่าตื่นข่าวเกินเหตุ ~ บอกตัวเอง

เมื่ออาทิตย์ก่อน (ประมาณวันที่ 31 สิงหาคม) พึ่งรู้ตัวว่า ATM หายไป รู้ตัวตอนที่จะกด ATM ตอนประมาณ 5 ทุ่ม รีบมานั่งทบทวนว่ามันหายนานแค่ไหนแล้ว โชคดีว่า มันพึ่งหายได้วันเดียว ที่ว่าโชคดี เพราะบางครั้ง ระยะเวลาระหว่างการกดเงินมันห่างกันเป็นอาทิตย์ กว่าจะรู้ตัวเงินอาจหมดจาก ATM แล้วก็ได้ รีบโทรไประงับบัตรและเช็คยอดเงินว่าอยู่ครบมั้ย

 

ตอนที่รอคำตอบจากคอลเซ็นเตอร์ตอนเช็คยอดเงิน ใจระทึกมาก อารมณ์ประมาณโทรไปถามผลสอบจากเพื่อนที่กำลังดูจากป้ายประกาศให้ ถึงแม้ ATM จะมีรหัสป้องกัน หากกดผิด 3 ครั้ง มันจะยึดบัตร แต่อย่าลืมว่าบัตร ATM ในปัจจุบันอยู่ในรูปของบัตร DEBIT ด้วย นั่นคือ สามารถใช้รูดเงินได้ .. ผมเริ่มใจคอไม่ดี

 

แต่สุดท้าย ยอดเงินในบัญชีก็อยู่ครบ
จากเหตุการณ์นี้ ผมเลยมานั่งตรึกตรองว่า ATM หายตอนไหน ที่ไหน ยังไง? เพราะปกติผมเป็นคนค่อนข้างรอบคอบในเรื่องนี้ คิดไปคิดมา ก็เลยจำได้ว่า น่าจะเกิดขึ้นที่ตลาดคลองตัน ขณะกดเงินอยู่นั้น บังเอิญโทรศัพท์เข้า ผมรับโทรศัพท์พร้อมกับหยิบเงินใส่กระเป๋า แต่ลืมหยิบบัตรมาด้วย!!

ปัญหาจาก ATM หายที่ตามมาก็คือ การต้องไปธนาคารเพื่อทำ ATM ใหม่ ปกติของธนาคารไทยพาณิชย์ สามารถไปทำใหม่ที่สาขาไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสาขาที่ได้ไปเปิดบัญชีไว้ก็ได้ ผมเปิดบัญชีไว้ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน แต่จะไปทำ ATM ใหม่ที่สาขาคลองตัน ปรากฏว่า สมุดบัญชีผมด้านหลังไม่มีลายเซ็นต์ของพนักงานที่เปิดบัญชีให้ จึงไม่สามารถทำได้ในสาขาอื่น ต้องไปที่สาขาที่เปิดบัญชีเท่านั้น !!

 

ถามว่ากรณีนี้ ผมผิดเหรอ?
“คุณไม่ผิดหรอกครับ..เจ้าหน้าที่เขาลืมเอง” พนักงานชายตอบ
ในเมื่อพวกคุณผิดเอง คุณก็น่าจะมีทางแก้ปัญหาต่อกรณีนี้ให้ผมไม่ใช่เหรอ
“คุณต้องไปที่สาขาที่เปิดบัญชีครับ เราทำให้ไม่ได้”

งานนี้ก็เลยต้องไปที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เลยไปทำธุรกรรมที่นั่น

 

ที่สุดแล้ว เราเองแหละที่สะเพร่าทำ ATM หาย แต่ข้อคิดจากกรณีนี้ก็คือ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ต้องใช้สติให้มากหน่อย และค่อยๆหาวิธีแก้ปัญหาด้วยปัญญา

 

บางครั้งปัญหาเล็กหรือใหญ่ วิธีแก้ไม่ได้ต่างกันเลย ความรู้สึกเราเองต่างหากที่รู้สึกว่าปัญหานั้นเล็กหรือใหญ่ ถ้าปัญหาเล็กเราก็แก้ได้ง่าย ถ้าปัญหาใหญ่ เราอาจเครียดจนหาวิธีแก้ไม่เจอ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ทำไมไม่คิดใหม่ซะ คิดซะว่าปัญหานั้นเล็กๆเอง ปัญหาจะใหญ่แค่ไหน ก็คิดซะว่า มันเล็กๆเองนะ แล้วทีนี้ค่อยแก้ปัญหาเล็กๆนั้นอย่างมีสติ