เช้าวันจันทร์กับวันอัศจรรย์ของผม

เรื่องมันเกิดขึ้นตอนเช้าของวันวุ่น ๆ วันหนึ่งซึ่งผมไม่อยากจะจำใส่กระโหลกเลยยย..แต่เอาเถอะ ผมจะเล่าให้ฟัง

ขณะ ที่ผมกำลังลุกลี้ลุกลนกับการเริ่มต้นวันใหม่ของการทำงานวันแรก ยังนึกโกรธตัวเองไม่หาย เมื่อคืนไม่น่าฉลองกับเพื่อน ๆ ดึกไปหน่อยเลย แต่มันน่าดีใจนี่นา คนจบการศึกษาปุ๊บได้งานปั๊บอย่างผม ถึงแม้เงินเดือนจะไม่มากก็ตามเถอะ ..งานมันหาได้ง่าย ๆ ซะที่ไหน ยิ่งงานที่ตัวเองถนัด และเรียนมาโดยตรงอย่างนี้ด้วย มันน่าวิเศษจริง ๆ

ผมจัดการกับตัวเองหลังตื่นสายอย่างเร่งรีบ อุตส่าห์จะสร้างความประทับใจแก่ผู้จัดการ และเพื่อน ๆ ในที่ทำงานในวันแรกแท้ ๆ ชุดสูทที่ซื้อไว้รีดไว้อย่างดี แต่ถูกสวมใส่ร่างอย่างเร่งร้อน ไม่อยากจะบอกเลยจริง ๆ วันนี้ขอทีเถอะ ผมไม่ได้แปรงฟัน เพียงแค่กลั้วน้ำสองสามครั้ง ดีนะที่หนวดเครายังไม่ยาวเท่าไร จึงไม่ต้องเสียเวลาโกนอีก ปวดหนักกะปวดเบา เอาน่า พอทนได้ อั้นไว้ก่อนๆๆ …วันแรกของงานทำงานอันสุดแสนทุเรศของผม!


เฮ้อ..!!

จราจรยังคงเส้นคงวาเช่นทุกวัน แน่นเอี้ยดเหมือนเดิม นั่งรถปรับอากาศสาย 49 แอร์เย็นฉ่ำ แต่ผมนั่งเหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง หลับตาเห็นภาพผู้จัดการยืนรอที่โต๊ะทำงานด้วยสายตาอันร้อนฉ่า เพื่อนที่ทำงานพยายามเข่นฆ่าผมด้วยสายตา …โอ๊ยยย ผมทนไม่ได้ๆๆๆๆ

เวลาผมเหลือน้อยเต็มทนแล้ว ขณะที่นั่งลุกลี้ลุกลนอย่างกับคนทำความผิดมาอยู่นั้น เบาะที่นั่งข้าง ๆ กลับปรากฏหญิงสาวนางหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งอย่างแผ่วเบา สวยหรือไม่ ผมไม่ได้สังเกต อารมณ์ตอนนั้นต่อให้บริทนีย์ สเปียร์มาเปิดอกโชว์ต่อหน้าก็หายี่หระสนใจ ตอนนี้จิตใจจดจ่อแต่ที่ทำงาน และผู้จัดการสุดโหด สร้อยตามหลังว่าสุดโหดนี้ ตั้งใจเติมให้เอง แม้จะยังไม่เคยเห็นผู้จัดการก็ตาม แต่เห็นที่ไหน ๆ ผู้จัดการก็ดุ เห็นพนักงานเป็นทาสแรงงาน ใช้ ๆ ๆ ๆ ไม่คำนึงถึงจิตใจ มุ่งกำไรเป็นสำคัญ ก็เหมือนๆกันแหละ ..ผู้จัดการ

“คุณค่ะ…เอกสารคุณตกค่ะ”
ผมหันไปตามเสียง เธอเองหญิงสาวผู้พึ่งมานั่งตะกี้ เมื่อสักครู่ไม่ได้ทันสังเกต แต่บัดนี้เมื่อตาเธอกับตาผมสบกันในระยะไม่กี่เมตร จิตใจถึงกับวูบวาบร้อนผ่าว เอกสารที่ถือในมือทั้งหมดหลุดจากมืออย่างไม่รู้ตัว เธอตกใจกับอาการตะลึงของผม รีบเก็บเอกสารให้เป็นการใหญ่ พอได้สติผมจึงก้มลงช่วยเธอเก็บบ้าง
“นี่ครับ ..เอกสารของคุณ” ผมยื่นเอกสารในมือให้เธอโดยที่สายตายังจดจ้องที่หน้าเธอยังไม่ลดละ
“ไม่ใช่เอกสารของฉันค่ะ” เธอตอบ
“อ้าวว ..แล้ว ของ เอ่ะ…”
“อ่อ ..ของผมเอง แฮะ ๆๆ “ผมตอบอย่างขวยเขิน ไม่รู้ตอนนั้นหน้าหนา ๆ ของผมจะเป็นสีแดงหรือเปล่า ภาวนาว่าอย่างแดง ก็อายเธอนะสิ

“วันนี้ คุณไปทำงานเป็นวันแรกหรือค่ะ” เธอถามขึ้นเมื่อเห็นผมยังไม่หายอาย
“อะ อ้อ ครับ ..วันนี้เป็นวันแรกของการทำงาน แต่แย่จัง วันแรกแท้ ๆ แต่ผมกลับไปสายเสียนี่ แย่จริง ๆ”
“ชั้นก็ทำงานเป็นวันแรกเหมือนกันค่ะ วันนี้อยากลองนั่งรถเมล์ดู ไม่คิดว่าจะใช้เวลาขนาดนี้ จึงไปสายเหมือนกันเลย” เธอตอบ
“แย่จังเลยนะครับ วันนี้สงสัยโดนผู้จัดการสุดโหดดุเอาแน่ๆเลย”
“ผู้จัดการที่ทำงานของคุณดุมากเลยหรือค่ะ” เธอถามอย่างสงสัย
“ดุครับ ดุมาก ผู้จัดการที่ไหนส่วนใหญ่ก็ดุ ชอบวางอำนาจ ถือว่าตัวเองตำแหน่งใหญ่กว่า ก็ข่มเหงสารพัดอย่าง มุ่งแต่กำไรให้บริษัท แต่ไม่เคยคิดถึงจิตใจพนักงาน…..” ผมสาธยายด้วยสีหน้าจริงจัง

ตลอดระยะเวลาการสนทนาบนรถเมล์ เต็มไปด้วยสีสันกันเองยิ่งนัก แม้จะเพิ่งพบกันครั้งแรกก็ตาม เธองดงามจริง ๆ ทั้งหน้าตา กิริยา และจิตใจ ผมสัมผัสได้จากความรู้สึกลึกๆของผม เมื่อมีคนแก่ขึ้นมาบนรถเมล์เธอลุกให้แกนั่งอย่างไม่ลังเล ทิ้งผมให้นั่งคู่กะยายแก่ ๆ หอบข้าวของพะรุงพะรัง ไหนเลยผมจะยอมนั่งด้วย ..เลยรีบลุกไปยืนโหนราวข้าง ๆ เธอ คนแก่อีกคนหนึ่งรีบเบียดไปนั่งที่ของผมทันที คงจ้องมานานแล้วละซี

“คุณเป็นคนมีน้ำใจจริง ๆ น่ะค่ะ” เธอกล่าวเมื่อผมกระแซะไปยืนข้าง ๆ
“ผมทนไม่ได้หรอกครับ เมื่อเห็นคนมีอายุยืน ขณะที่ตัวเองนั่งสบาย” เอาเข้าไป ..ไม่รู้อะไรทำให้ผมตอบไปอย่างนั้น แต่รู้สึกตัวเองดูดีขึ้นแฮะ

แต่ เดิมผมกลัวการเข้าทำงานสาย แต่พอได้เจอเธอ คุยกับเธอ ถึงกับยอมโดนผุ้จัดการด่า หรือเพื่อน ๆ ที่ทำงานมองด้วยสายตาดูแคลน ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า จะขอยืนคุยกับเธอไปจนเธอลงป้าย จะได้รู้ว่าเธอทำงานที่ไหน วันหลังจะได้มีโอกาสมาหาเธอได้อีก ถึงจะโดนไล่ออกจากงานก็ช่างเถอะ หางานใหม่ก็ได้ เพื่อน ๆหลายคนที่จบพร้อม ๆ กันยังไม่ได้งานก็มี เราถือว่าโชคดีได้งานไว แต่จะตกงานไวก็ไม่น่าแปลก งานไม่แฮปปี้ ความรักแฮปปี้ก็พอ

เราคุยกันอย่างถูกคอ จนในที่สุดเธอลงป้าย ผมก้าวลงตามเธอยังไม่ลังเล
“คุณทำงานแถว ๆ นี้เหมือนกันหรือค่ะ” เธอถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นผมก้าวตามลงมา
“อ้อ ชะ..ใช่ครับ” กล่าวพลางสำรวจตึกที่ทำงานของเธอรอบ ๆ
เป็นฟ้าลิขิตแน่ ๆ ที่ทำงานเธอตึกเดียวกันกับที่ทำงานผม เพียงแต่ว่าเธอขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 14 ส่วนผมไปชั้น 7 เอาน่า ตึกเดียวกัน แม้จะคนละชั้นกัน ก็ต้องมีโอกาสเจอกันจนได้แหละ ..:)

เพื่อน ๆ ที่ทำงานไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ผมคิดไว้แฮะ ทุกคนยิ้มแย้ม และทักทายกับผมอย่างกันเอง เฮ้อ..โล่งอก
“ทำงานวันแรกก็สายเลยยน๊า …ธงสิน” หัวหน้าแผนกทักทายก่อน
ผมยืนนิ่งสำรวมสายตาก้มต่ำมองพื้น เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรจะแก้ตัว
“ดีน่ะ วันนี้ผู้จัดการคนใหม่ก็มาสาย เดี๋ยวไปรายงานตัวกับผู้จัดการก่อนนะ”
“ครับพี่”
“สุพาธงสินไปพบผู้จัดการหน่อยนะ แล้วค่อยมาทำงานต่อ”
“ค่ะ”

ผู้หญิง ที่ชื่อสุณัฐชา เดินนำหน้าผมอย่างเร่งรีบเข้าไปในลิฟต์ ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่าเธอกดไปชั้นไหน ตอนนี้คิดหาเพียงคำแก้ตัวหรู ๆ สักสองสามประโยคให้กับผู้จัดการสุดโหด
“ผู้จัดการค่ะ พนักงานใหม่มารายงานตัวค่ะ” เมื่อเลขาหน้าห้องพูดผ่านโทรศัพท์เข้าไป ก็มีเสียงตอบมาว่าให้ผมเข้าไปได้ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ผับผ่าซี ตอนพรีเซนต์รายงานหน้าห้องเรียนไม่เห็นตื่นเต้นงี้วะ..!!

พอผมเปิด ประตูเข้าไป เมื่อสายตากวาดรอบ ๆ จนทั่วแล้ว สายตาผมก็มาหยุดอยู่ที่สายตาผู้จัดการของผมที่มองมาทางผมเช่นกัน ใจผมยิ่งเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะมากขึ้น แรงขึ้นแทบจะกระเด็นออกมาข้างนอก สายตาที่ผมสบด้วยนั้น เป็นสายตาที่ผมพึ่งสบและตะลึงมาแล้วเมื่อเช้านี่เองบนรถเมล์

ใช่แล้ว ผู้จัดการของผม ก็คือผู้หญิงที่ผมพึ่งคุยด้วยเมื่อเช้าบนรถเมล์ นี่ถ้าไม่เรียกฟ้าลิขิต ไม่รู้จะเรียกอะไรได้อีกแล้ว

“คุณเองเหรอ คุณเป็นผู้จัดการคนใหม่ของผม”
“คุณเองก็เหมือนกัน ..เป็นยังไงผู้จัดการดุไหม?” เธอพูดแซวทำสีหน้าล้อเลียนจนผมไม่กล้าพูดไร ก็เมื่อเช้านินทาผู้จัดการให้เธอฟังไปเยอะนี่นา
“ในฐานะที่ฉันเป็นผู้จัดการของคุณ ฉันอยากจะแนะนำอะไรคุณในฐานะเป็นพนักงานของฉันสักหน่อย” เธอพูดจริงจังเป็นทางการ จนผมขนลุก
“ครับ..”
“ฉันอยากให้คุณทุ่มเทกับงาน มาทำงานให้ตรงเวลา วันนี้ถือว่าเป็นวันแรก แต่ขออย่าให้มีในวันต่อๆไปน่ะ

“ครับ..”
“เอาล่ะ วันนี้ไปทำงานได้ ขอให้สนุกกับการทำงานนะ”
เธอกล่าวจบผมลุกหันหลังให้เธอ ก้าวอย่างช้า ๆ มาที่ประตู ใจจริงอยากจะพูดอะไรอีกมากมาย แต่เมื่อคิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะพนักงาน เธออยู่ในฐานะผู้จัดการ ย่อไม่เหมาะอย่างยิ่ง แต่ถ้าเธอจะพูดกับเราบ้างในเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงานย่อมไม่เป็นไร เมื่อเช้าก็เห็นเธอพูดกับเราบนรถเมล์อย่างยิ้มแย้มสนุกสนานนี่นา ก่อนที่มือผมจะจับลูกบิดประตู ก็มีเสียงเธอบอกให้หยุดก่อน ผมยิ้มอย่างยินดียิ่ง หรือว่าเธอจะชวนเราออกไปทานข้าวเที่ยงวันนี้ ..ใช่แน่ๆ

“เมื่อเช้านะ.. บนรถเมล์…” เธอคงประทับใจเราบนรถเมล์แน่ๆ สงสัยอายถึงกับพูดอ้ำอึ้ง
“คุณนะ ปากโคตรเหม็น ไม่ได้แปรงฟันมากี่วันแล้วละ ฉันอุตส่าห์ลุกหนีไปยืนโหนราว คุณก็ยังตามไปอีก…”


เธอยังคงพรั่งพรูอีกหลายคำ แต่ผมขออนุญาตขัดคำสั่งผู้จัดการสาว ไม่ขอยืนฟังเธอพูดจนจบ อย่าถามนะว่าทำไม ถ้าไม่ใช่อยู่บนตึก สาบานได้ ผมจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีแน่

ภาพโดย unsplash-logoAnt Rozetsky