กิน-เที่ยว-ถ่ายรูป-รีวิว

Travel Review ท่องเที่ยว

ความสุขหาได้ง่ายๆเริ่มจากสิ่งที่อยู่รอบตัว

เที่ยวท่อง..ล่องเหนือ – Day 2 ดอยอ่างขาง

เริ่มวันที่สอง ออกจากลำพูนมุ่งหน้าสู่ดอยอ่างขาง.. ใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 11 ไปทางเชียงดาว ระหว่างทางเจอที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ ก็ไม่พลาดที่จะแวะชมบรรยากาศ จุดแรก ม่อนชมดอย ติดกับถนนเห็นเด่นเป็นตระหง่าน ผมแวะทานอาหารเช้าที่นี่ ขับรถตามทางไปสักระยะ เห็นป้ายบ่อน้ำร้อน..แวะสิครับ ออกจากบ่อน้ำร้อน ประมาณ 3 กิโลเมตร จะมีน้ำตกศรีสังวาลย์ สามารถใช้ตั๋วใบเดียวกับบ่อน้ำร้อนได้ ..แวะสิครับ สถานีต่อไปมุ่งหน้าอ่างขาง ครับ อ่างขางขึ้นได้ 2 ทาง คือทางฝั่งเชียงดาว และฝั่งฝาง ถ้าว่าด้วยระยทางฝั่งอำเภอฝางระยะสั้นกว่า แต่ถ้าว่าด้วยความโหด ฝั่งเชียงดาวโหดน้อยกว่า ฝั่งฝางความชันระดับ 5 ดาว รถไม่แรงพอไม่แนะนำให้ขึ้นทางนี้ มีโอกาสรถจะหงายหลังตกลงมาได้ ทางกรมทางแนะนำให้ขึ้นทางเชียงดาว และผมก็เลือกเส้นทางนี้ ความชันระดับกลางน่าจะพอๆกับเส้นทางไปอำเภอปาย โค้งเยอะหน่อย แต่ขับสบายและวิวสวย เจ้าตาลตาลของผมเครื่องพันห้า แต่ตัวหนาและน้ำหนักมากทางชันนิดๆหน่อยๆ ก็เริ่มออกอาการเร่งไม่ขึ้น ต้องอาศัยเกียร์ s ใช้แบบเกียร์ธรรมดาวิ่งเกียร์ต่ำขึ้นไปได้สบายๆ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงอ่างขาง แดดร้อนหน่อย แต่อากาศเย็นดี ตกกลางคืนก็น่าจะหนาวพอสมควร คืนนี้นอนเต๊นท์แน่นอน เต๊นท์มีแล้วถอยมาใหม่ หาแต่ที่กางเต๊นท์ บนดอยอ่างขางมีจุดให้กางเต๊นท์ 2 จุด จุดแรกห่างจากสถานีเกษตร์ 1 กิโลเมตร จุดที่สองห่างจากสถานีเกษตร์ 5 กิโลเมตร ถ้าพูดถึงความสวยงามวิวดี จุดที่ห่าง 5 กิโลเมตรสวยกว่า แต่พูดถึงความสะดวกสบาย พื้นที่กว้างขวางกว่า ต้องมาอีกที่หนึ่งที่ห่าง 1 กิโลเมตร ผมเลือกจุดที่ใกล้สถานีเกษตรอ่างขางมากที่สุด เพื่อตอนเช้าจะได้แวะไปที่สถานีเกษตรได้ สถานีเกษตรอ่างข่างถือว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่ มีความสวยงามด้วยพรรณไม้นานาชนิดของโครงการหลวง มีอัตราค่าเข้าบริการคนละ 50 บาท ผมแวะมาที่นี่ทั้งช่วงบ่ายและช่วงเช้า ไหนๆก็มาแล้วต้องจัดให้สาสม ตอนบ่ายคนเยอะหน่อย ถ้าเป็นไปได้ควรไปแต่เช้าตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า จะเจอหมอก และอากาศที่เย็นสบายมาก วันนี้นอนดูดาวที่ดอยอ่างขาง..วันต่อไปมุ่งหน้า ดอยแม่สลอง

เที่ยวท่อง..ล่องเหนือ – Day 1 ลำพูน

ทริปใหญ่ส่งท้ายปี ปีนี้ล่องเหนืออีกครั้ง หลังจากครั้งที่แล้วไปแค่เชียงใหม่ – ดอยอินทนนท์ ครั้งนี้คิดการใหญ่จะไปให้ถึงเชียงราย ดอยแม่สลองด้วยการขับรถไปเอง แผนที่วางไว้คร่าวๆ ก็คือ วันแรกไปพักที่ลำพูนก่อน โรงแรมอิซี่เจ้าเดิมที่ไปพักครั้งก่อน ซึ่งการไปพักซ้ำทำให้ได้ราคาถูกลงนิดนึง สาเหตุที่ต้องพักที่ลำพูนก่อน เพราะมีภาระกิจต้องพาเจ้าหลานตัวเล็กไปส่งให้ตาเลี้ยง วันที่สอง ไปกางเต๊นท์นอนบนดอยอ่างข่าง วันที่สาม ไปนอนบนดอยแม่สลอง วันที่สี่ เข้ามาพักในตัวเมืองเชียงราย วันที่ห้า มุ่งหน้าพิษณุโลก วันที่หก กลับบ้าน นี่คือแผนแบบคร่าวๆ ก่อนหน้าจะออกเดินทางหนึ่งอาทิตย์ ผมพาเจ้าตาลตาลรถคู่ใจไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเช็คระยะ 15000 กิโลเมตร ทริปนี้จะสนุกหรือไม่ปลอดภัยหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับมันแล้วละ วันที่ 2 ธันวา ประมาณ 6 โมงครึ่งล้อหมุนออกจากบ้าน เจ้าหลานมีอาการงอแงเล็กน้อย เพราะต้องจากพ่อแม่มันไป การจากกันครั้งนี้ไม่รู้เมื่อไรจะได้พบกันอีก แต่เจ้าหลานตัวน้อยเหมือนเริ่มจะชินกับการจากลา เพราะครั้งนี้ไม่ใ่ช่ครั้งแรก มันร้องไห้แป๊บเดียวก็หยุดและเริ่มตื่นเต้นกับการเดินทาง.. การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกไปทางด่วนบางปะอิน คราวก่อนไปทางสุพรรณบุรี ความจริงเส้นทางที่ไปทางสุพรรณบุรีใกล้กว่า กูเกิ้ลบอกว่ามีระยะทางแค่ 656 กิโลเมตร แต่ทางที่มุ่งไปทางด่วนมีระยะทางถึง 692 กิโลเมตรแถมมีค่าทางด่วนอีกต่างหาก แต่ผมก็เลือกที่จะไปทางนั้น ดู๊ดู -_” จำไว้เลยว่า ถ้าไปทางเหนือโดยเดินทางจากบ้าน ต้องไปทางสุพรรณบุรี!! ลางไม่ดีตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง น้องชายแฟนซึ่งเป็นพ่อของหลานที่เราจะพาไปฝากตาที่ลำพูนแจ้งมาทางเฟสบุคว่า มันลืมโทรศัพท์ไว้ที่เบาะหลังรถ! ซึ่งก็ยากที่จะกลับรถเอาไปให้ เพราะนี่ก็ออกมาไกลถึงอยุธยาแล้ว จึงตั้งใจว่าถ้าเจอไปรษณีย์จะแวะส่งไปให้ ประมาณ 10 โมงเช้า ขับมาเรื่อยๆจนถึงนครสวรรค์ หันไปเห็นไปรษณีย์ขนาดใหญ่ตรงสี่แยก จึงแวะเข้าไปหมายจะส่งโทรศัพท์กลับคืน แต่เจ้ากรรมวันนั้นเป็นวันเสาร์ไปรษณีย์บอกจะเปิดทำการตอนบ่ายสอง ป่วยการที่จะรอ จึงออกเดินทางต่อไปยังลำพูน ถึงลำพูนประมาณบ่าย 4 โมงใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมง เพราะแวะหลายจุด แต่ละจุดก็ใช้เวลาค่อนข้างมาก เช็คอินที่พักที่ลำพูนเรียบร้อยแล้ว ก็พาเจ้าหลานตัวเล็กไปส่งให้คุณตา ทานอาหารเย็นกับคุณตาเรียบร้อยก็กลับที่พัก และฝากโทรศัพท์ให้คุณตาช่วยเป็นภาระส่งคืนเจ้าของด้วย วันแรกแห่งการเดินทางสิ้นสุด ณ ตรงนี้ ด้วยความที่ร่างการค่อนข้างฟิต จึงไม่มีความเหนื่อยสำหรับการขับรถยาวไกลนี้เลย การออกกำลังกายทำให้การเที่ยวสนุกยิ่งขึ้น ก่อนจะหมดวันแห่งการเริ่มเดินทาง จึงอยากจะบันทึกสั้นๆถึงเมืองลำพูน เมืองลำพูนเป็นครั้งที่สองแล้วสำหรับการมาพัก เมืองลำพูนเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนหนทางเล็กๆ พอหลังตะวันตกดินก็เงียบ สงบ และมืดมาก การขับรถในตัวเมืองต้องระวังมากๆ เพราะด้วยขนาดถนนที่เล็ก…

เที่ยว..วันธรรมดา

เกิดความประทับใจจากเมื่อปีที่แล้ว ที่ทุ่งดอกกระเจียวที่สระพรั่งด้วยดอกกระเจียวและกลุ่มหมอก ปีนี้ไปด้วยความคาดหวังว่าต้องสวยไม่แพ้ปีที่แล้ว ..ช่วงเดือนเดียวกันและวันก็ไม่ต่างกันมากนักจากปีที่แล้ว..

ครั้งแรกในการวิ่ง Half Marathon ณ อยุธยา

นับตั้งแต่เข้าสู่วงการ “วิ่ง” การไปร่วมวิ่งที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถือว่าเป็นการวิ่งที่ตื่นเต้นที่สุด ทั้งเส้นทางวิ่งที่รายล้อมด้วยวัดวาอารามที่ดูขลัง และสำคัญที่สุดการเดินทางเพื่อไปร่วมวิ่ง

KMUTNB Run Walk 2017

เป็นรายการวิ่งที่พลาดเมื่อปีที่แล้ว เพราะตรงกับรายการวิ่งบนทางด่วนศรีรัช ปีนี้เลยบอกน้องที่หมู่บ้านไปว่า ถ้าหาเบอร์วิ่งได้หาให้ด้วย และเมื่อถึงวันวิ่งน้องก็หามาให้จนได้สมใจ

เขาใหญ่ ฮาล์ฟมาราธอน 2017

งานนี้ถือเป็นฮาล์ฟมาราธอนครั้งที่ 4 และเช่นเคยครับ ไปวิ่งคนเดียวแม้ตอนสมัครจะสมัครด้วยกันสองคนก็ตาม!

โคราช-เขาใหญ่​..ครั้งที่เท่าไรไม่รู้

ไปพักผ่อนเฉยๆนี่แหละครับ แต่จะไปวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันเสาร์อาทิตย์นั้นนะหรือ คนก็เยอะเกิ๊น เลยเลือกเดินทางวันศุกร์และกลับบ่ายๆวันอาทิตย์ดีกว่า ไปโคราชไปเยี่ยมพี่กุ้ง พี่ต้อมผู้ดูแลรีสอร์ทอารมณ์ดี และวินดีรีสอร์ท วันแรกไปโคราชก่อน ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพี่กุ้งพี่ต้อมเช่นเคย ..ทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องกันที่น่าเอาตัวอย่างในเรื่องความรักพี่รักน้องและเรื่องการต้อนรับปฏิสันถาร ดูแลดีมาก ทั้งที่พัก อาหารการกิน กระทั่งพาไปเที่ยวในที่ๆพอจะไปได้ในเวลาอันจำกัด  การดูแลเอาใส่ใจต่อแขกนี้ ใช่ว่าจะทำกับคนรู้จักเท่านั้นนะครับ แกดูแลแขกที่มาพักที่รีสอร์ทด้วยอัธยาศัยอันดีเช่นกัน จึงทำให้รีสอร์ทเล็กๆ มีคนเข้ามาพักเต็มตลอดปี เช้าวันเสาร์แม้จะตื่นสายสักหน่อย แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะหยิบรองเท้าออกไปวิ่ง ..เมื่อตอนเย็นแอบเห็นแล้วละว่าแถวนี้มีสวนสาธารณะกว้างขวางและมีคนออกกำลังกายมากมาย สวนนี้มีชื่อว่่า “สวนน้ำบุ่งตาหลั่ว” ตรงกลางเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รอบๆมีถนนอย่างดีสำหรับวิ่ง เดิน และปั่นจักรยาน แยกเลนสำหรับนักปั่นและนักวิ่งโดยเฉพาะครับ คือดีงามมาก กว้างพอสมควร วิ่ง 1 รอบระยะทาง 3.2 กิโลเมตร เช้าวันนั้นจัดไป 10 กิโลเมตร อยากจะวิ่งให้มากกว่านั้น แต่แดดเริ่มแยงตา เสียดายที่ตื่นสายไปหน่อย.. วันที่สองจากโคราชมา มุ่งหน้าเขาใหญ่ งานนี้จัดที่พักพรีเมี่ยมเลยครับ เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ สนนราคาที่พักคืนละ 4,200 บาท ถือว่าแพงที่สุดเท่าที่เคยพักมา ตัวโรงแรมอยู่ในถนนธนรัชต์ที่จะมุ่งหน้าขึ้นเขาใหญ่ไม่ห่างจากปาลิโอมากนัก ตัวโรงแรมอลังการอย่างที่เขาว่าจริงๆ สไตล์ยุโรป (ยุโรปไหนนี่ไม่รู้) บรรยากาศในตัวโรงแรมก็เหมือนอยู่ต่างประเทศ เปิดเพลงคันทรี่เบาๆ ทั่วโรงแรม แต่ละตึกเน้นปลูกต้นตีนตุ๊กแกให้เลื้อยไปทั่วตัวโรงแรม งานนี้เอาภาพมาโชว์อย่างเดียวดีกว่า เล่าแล้วบรรยายไม่ถูก..

จอมบึงมาราธอน ครั้งที่ 32

การไปวิ่งจอมบึงมาราธอนถือเป็นความใฝ่ฝันของนักวิ่งทั้งหลาย เพราะไม่ใช่ว่าใครจะไปวิ่งได้ นอกจากมีเงิน มีเวลาแล้ว ยังต้องลุ้นว่าสมัครแล้วจะได้รับเลือกให้ไปวิ่งหรือเปล่า ตอนสมัครวิ่งใจยังไม่พร้อมสำหรับมาราธอนเลยเลือกในระยะที่ตัวเองสามารถทำได้ก่อน นั่นคือระยะฮาล์ฟ แต่พอถึงเวลาจริงกลับเสียดายระยะมาราธอน.. เราน่าจะจบมาราธอนแรกเสียทีนี่เลย

Cafe’ Review คาเฟ่รีวิว

ความสุขใดเล่าจะเท่าความสุขจากการกิน

เรื่องสั้น

คิดถึงแม่ขึ้นมา..น้ำตามันก็ไหล

ในยุคที่ทุกคนต่างมีอิสระเสรีในการแสดงออกทางประชาธิปไตย จึงมีภาพคนชุมนุม หรือผู้แสดงออกทางความคิดความเห็นทางการเมืองอย่างหลากหลาย และเมื่อไม่ได้อย่างที่หวังอย่างที่ตั้งใจ ก็รวบรวมผู้มีอุดมการณ์เดียวกับตน หรือวานจ้างคนให้มามีส่วนร่วมด้วย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสี สีต่างๆถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย อะไรก็ไม่ร้ายแรงเท่า เมื่อแต่ละฝ่ายเริ่มทวีความรุนแรง เริ่มไม่ฟังแกนนำ เริ่มทำตามความชอบใจ เอาอารมณ์ตนเป็นที่ตั้ง เอาความเกลียดชังเป็นแรงขับเคลื่อน ทางฝ่ายผู้รับเองอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครั้นจะอยู่เฉยๆก็อาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งควบคุมไม่อยู่ หรือจะระงับเหตุก็กลัวจะบานปลาย ทำให้อีกฝ่ายได้รับความบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ระหวังเหตุการณ์อยู่ในรอยต่อนี่เอง.. เจ้าของพื้นที่ ~ กรุงเทพกำลังระอุ เราจึงเห็นภาพกรุงเทพร้องไห้ หลังจากเคยเห็นพระจันทร์ยิ้มมาเมื่อต้นปี กรุงเทพเริ่มวุ่นวาย รถราไปไหนไม่ได้ ผมรีบกระวีกระวาดออกจากที่ทำงาน แต่กระนั้นก็ยังเจอกับฝูงม็อบเข้าอย่างจัง คนกำลังบ้าคลั่ง ทั้งผู้ชุมนุม และผู้สัญจรที่รถกระดิกไม่ไหนไม่ได้ ทำให้ร้อนใจแทบบ้า สงกรานต์ปีนี้ ผมตั้งใจจะไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ สงกรานต์ไทยถูกกำหนดให้เป็นวันครอบครัว ลูกๆที่ระเห็ดระเหเร่ร่อนมาทำงานในกรุงเทพ ก็จะถือฤกษ์ในวันนี้กลับไปหา ไปกราบ ไปรดน้ำ ขอพร หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยกลับไปในวันครอบครัวเช่นนี้ ด้วยข้ออ้างต่างๆนานา รถเยอะ คนเยอะ ติดงาน ฯลฯ ปีนี้จึงตั้งใจอย่างยิ่งว่า จะไปให้ได้ ฟังเพลงแม่ของเสกโลโซยิ่งทำให้คิดถึงแม่ “คิดถึงแม่ขึ้นมา น้ำตามันก็ไหล อยากกลับไป ซบลงที่ตรงตักแม่…”  หลังจากนั่งแงกบนรถอยู่ร่วมชั่วโมง ด้านหน้ามีผู้ชุมนุมเอารถมากั้นไว้ พร้อมแกนนำตะโกนด่า แต่ติต่างว่าปราศัย รถทุกคันที่ติดแง่กอยู่ตรงนั้น อยู่ในภาวะที่กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง หลายคนเริ่มก่นด่ากลุ่มผู้ชุมนุม แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะกริ่งเกรงผู้ชุมนุมจะเข้ามาทำร้าย ท่ามกลางแดดในเวลาเที่ยงวันของเดือนเมษาที่ร้อนระอุ ผมนึกหวั่นใจเกรงว่าสงกรานต์นี้ จะคลาดแคล้วการไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่อีกเช่นที่ผ่านมา การจะเคลื่อนตัวออกจากจุดนี้คงทำได้ยาก หากสละรถไว้ รถคันงามที่ยังผ่อนไม่หมด อาจมีอันตรายหรืออาจเป็นตัวการที่ทำให้การจราจรเลวร้ายกว่าที่เป็น คิดภาพถ้าทุกคนบนรถที่จอดติดบนถนนในตอนนี้ สละรถกันทุกคน ถนนเส้นนี้ก็จะกลายเป็นสุสานรถ และอาจเป็นอาวุธให้ผู้ชุมนุมใช้เผาไล่เจ้าหน้าที่อีก คิดได้ดังนั้น จึงได้แต่นั่งดูเหตุการณ์ต่อไป เมื่อเหตุการณ์ทำท่าจะกลับมาเป็นปกติได้ยาก ผู้ชุมนุมเริ่มทวีจำนวนมากขึ้น ทั้งชาย หญิง วัยรุ่น หรือกระทั่งคนแก่ ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และคนแรกที่ผมนึกถึง ณ ขณนั้น แม่! “ฮัลโหล แม่ครับ”  ”ฮัลโหล แม่ .. แม่อยู่ที่ไหน ทำไมเสียงดังจัง” เมื่อยังไม่ได้รับเสียงตอบกลับ  ผมจึงถามซ้ำอีกครั้ง…

ผู้โดยสาร

หลังจากรับรถจากอู่ ลุงชม รีบบึ่งออกหาผู้โดยสารทันที! เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี อาชีพที่ใครต่อใครต่างมองว่าง่ายและสามารถทำได้ คือ ขับแท็กซี่ บางคนขับแท็กซี่ เพื่อรองานใหม่ บางคนขับเพราะไม่รู้จะทำอะไร บางคนขับเพราะชอบ บางคนขับเพราะตกงาน ฯลฯ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ณ ปัจจุบันแท็กซี่ในกรุงเทพได้เพิ่มจำนวนขึ้นทุกที คิดเป็นอัตรา 7 ใน 10 หมายความว่า ถ้ามีรถวิ่งมาในถนนเส้นหนึ่ง 10 คัน เป็นแท็กซี่ 7 คัน ลุงชมแกไม่ได้พึ่งตกงาน หรือกำลังรองานใหม่ แกยึดอาชีพขับแท็กซี่มานานกว่า 10 ปีแล้ว แกใช้ชีวิตหลังพวงมาลัย ใต้ป้ายรถ TAXI METER มานาน เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคม เห็นชีวิตคนกรุง ความวุ่นวาย และความเปลี่ยนแปลงมากมาย ลุงชมขับรถแท็กซี่กะดึก เพราะความวุ่นวายน้อยกว่ากลางวัน แต่ต้องทนสู้รบปรบมือกับพวกขี้เมา คนเที่ยวกลางคืน หญิงกลางคืน  และสิ่งที่มองไม่เห็น!! แม้มิจฉาชีพจะชุมพอๆกับยุง แต่ลุงชมก็ยังไม่เคยเจอ และไม่คิดอยากจะเจอ คืนนี้หลังจากส่งผู้โดยสารที่ขนเสื้อผ้าจากประตูน้ำมายังซอยวัดแห่งหนึ่ง ลุงชมแกบึ่งแท็กซี่ออกถนนใหญ่เพื่อหาผู้โดยสารอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงหน้าวัดแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเวลาบนหน้าปัดบอกเวลา 2 ทุ่มยี่สิบ ผู้โดยสาร 4 คน ยืนโบกรถหน้าวัด 1ใน 4 ใส่ชุดขาว อีก 3 คนใส่ชุดดำ และ 1 ใน 3 คนที่ใส่ชุดดำนั้น ถือภาพขนาดใหญ่ประกบไว้ที่อก “ไปไหนครับ” ลุงชมถามอย่างสุภาพ ต่อผู้โดยสารสตรีสูงวัยทั้ง 3 “ถ้าจะเหมาไปสุพรรณบุรี..จะไปมั้ย?” ลุงชมใช้เวลาคิดแว่บหนึ่ง ก่อนผงกหัวตกลง และเมื่อต่อรองราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารทุกคนก็ขึ้นรถแท็กซี่ สีเขียว-เหลือง มุ่งตรงสุพรรณบุรี “แท็กซี่ ถ้าถึงอำเภอสองพี่น้องแล้ว ปลุกด้วยนะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน” ป้าที่นั่งด้านข้างคนขับบอก ก่อนที่ทั้งหมดจะหลับด้วยความเพลีย ยกเว้นชายชุดขาวที่นั่งตรงกลางด้านหลังคนขับ นอกจากไม่หลับแล้ว ยังมองจ้องมายังคนขับตลอดเวลา จนบางครั้งลุงชมรู้สึกตกใจ ลุงชมแอบมองผ่านกระจกทีไร เป็นต้องสบตากับเขาทุกที ครั้งหนึ่งลุงชมแทบหยุดหายใจ เมื่อแว่บหนึ่งมองเห็นสายตาของชายชุดขาวไร้แววตาดำ มีแต่ตาเหลือกขาว แกรีบหันกลับมา และตั้งใจขับรถต่อไป…..

รักหาย..วาเลนไทน์เดย์

ความรัก..ขณะที่ฉันเฝ้าหามาแสนนาน จนถอดใจ แล้วอยู่ๆ มันก็เป็นฝ่ายมาหาฉันเอง เหมือนวิ่งไล่เงาตัวเอง ยิ่งวิ่งตาม ยิ่งไกลออกไป พอหยุดมันก็อยู่ใกล้ๆนี่เอง มีคนให้คำนิยามความรักไว้มากมาย บ้างก็ว่าเหมือนไฟที่ใกล้ก็ร้อน ไกลก็หนาว รักคือ…ความซื่อสัตย์ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ก้อคงไปด้วยกันไม่ได้ รักคือ…ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจกันก็จะทำให้ทะเลาะกัน รักคือ…อิสระ ถ้าเราไม่ให้อิสระกับคนที่เรารัก คนที่เรารักเขาก็จะไม่รักเรา รักคือ…การเสียสละ ถ้าเราเสียสละแล้วทำให้เขามีความสุขก็ต้องเสียสละ รักคือ…การให้ ให้ในสิ่งที่เราคิดว่ามีเขาความสุข ฯลฯ รักครั้งแรกของฉันเกิดขึ้นเมื่อฉันก้าวสู่รั้วมหาลัย..ชายคนนั้นที่ฉันไม่กล้าแม้จะเดินผ่าน ฉันมีความสุขในสมุดบันทึกที่ได้มีเขามาร่วมบันทึกไว้ด้วย ฉันเขียนถึงเขาวันแล้ววันเล่า จนรู้สึกเหมือนว่าเขาได้มาเป็นแฟนฉันแล้วจริง ๆ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เมื่อเรามีใจจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ สิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง ในที่สุดเมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 สิ่งที่ฉันจดจ่อมาตลอดก็กลายเป็นจริง ด้วยความบังเอิญที่เหมือนกามเทพดลใจ เขากับฉันอยู่ในกลุ่มที่ต้องทำรายงานด้วยกัน ในกลุ่มมี 4 คน สองคนต้องทำงานคู่ไปกับการเรียน จึงไม่มีเวลามาช่วยงานกลุ่ม มีเพียงเขาและฉัน..และนั่นคือจุดเริ่มต้น เขาเริ่มออกจากสมุดไดอารี่มาสู่ชีวิตจริงของฉัน ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น ฉันยิ่งรักเขามากขึ้น ขณะเดียวกันความรู้สึกเล็กๆที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อนก็เกิดขึ้นด้วย ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันเกลียดเขา!! ความใกล้ชิดทำให้ฉันรู้ว่า.. เขาสูบบุหรี่ ซึ่งฉันแพ้กลิ่นบุหรี่อย่างรุนแรง แต่เขาเป็นคนสะอาด เรียบร้อย พูดจาเพราะ เขาไม่ชอบอ่านหนังสือนอกเวลา แต่ฉันขาดหนังสือไม่ได้ ฯลฯ ฉันอาจจะรู้จักเขาในแบบของไดอารี่ของฉันมากเกินไป เมื่อรู้จักตัวตนของเขาจริงๆ จึงรู้ว่าเขาไม่ใช่ ความจริง ลบกับความคาดหวัง เท่ากับความผิดหวัง ฉันผิดหวังที่เขาไม่อาจะเป็นอย่างที่ฉันหวัง แต่ก็ไม่พร้อมจะเสียเขาไป เหมือนไฟที่ใกล้ก็ร้อน ไกลก็หนาว แต่เราก็ขาดมันไม่ได้ ความรักครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อฉันก้าวเข้าสู่วัยทำงาน..วัยที่มีความคิดและความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ขณะที่ฉันเป็นพนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในชีวิตโดยที่ฉันไม่ได้เชื้อเชิญ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความบังเอิญเหมือนรักครั้งแรก เขาแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าสนใจฉัน เสนอตัวช่วยงาน ของฝาก ดอกไม้ กระทั่งเลี้ยงข้าว ในทีแรก ฉันไม่ได้แสดงทีท่าว่าชอบเขา แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเกลียด ในที่สุดฉันก็พ่ายแพ้ต่อความดีและความสม่ำเสมอของเขา ฉันพึ่งรู้ในตอนหลังว่าเขามีฐานะการงานในบริษัทค่อนข้างสูง แต่น่าเสียดายที่มีบางอย่างที่ฉันพึ่งรู้หลังจากนี้เหมือนกัน เมื่อเราตกลงเป็นแฟนกัน เขาทุ่มเท รับส่ง เอาใจฉัน ทำราวกับฉันเป็นเจ้าหญิง นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกดี เขาไม่สูบบุหรี่ และชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน ดูเหมือนว่าอะไรๆของเราคล้ายกัน เขาดูเป็นผู้ใหญ่ที่ปกป้องฉันได้ ฉันคิดไกลไปถึงอนาคตที่เราจะแต่งงานกัน ฉันไว้ใจ ให้ใจอย่างไม่มีเหลือ รักคือ…ความซื่อสัตย์ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ก้อคงไปด้วยกันไม่ได้ รักคือ…ความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจกันก็จะทำให้ทะเลาะกัน…

ฤกษ์ดี

เช้าวันอาทิตย์กับอากาศค่อนข้างสดใส แดดอ่อนๆจางๆ โผล่หน้ามาตามม่านหน้าต่าง นาฬิกาพึ่งบอกเวลา 8 โมง แต่ผมต้องรีบลุกแล้วละ ไม่ ๆ ผมไม่ได้ลืม วันอาทิตย์ไม่ได้ทำงาน แต่วันนี้ผมจะไปออกรถใหม่! ดูฤกษ์ดูชัยมาหลายเดือนแล้ว เพื่อรอวันนี้ อาจารย์บอกว่า ฤกษ์ออกรถสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์ปีมะเมีย ราศีกรกฏอย่างผมต้องวันที่ ๑๙ มกราคม ค.ศ. ๒๐๐๙ เวลา ๐๙.๐๙ นาที เมื่อปีที่แล้วพลาดเรื่องฤกษ์นี่แหละ ถึงทำให้การออกรถต้องเลื่อนมาเป็นปีนี้ วันนี้ผมจะต้องไม่พลาด ว่าแล้วต้องรีบซะหน่อย ออกรถเสร็จแล้วค่อยกลับมาอาบน้ำ ทานข้าวให้สบายใจดีกว่า คืนชักช้าเวลาดีจะผ่านพ้นไป ถ้าไม่ได้วันนี้ อาจารย์บอกต้องรออีกสองปี ถึงออกรถได้..บ้าไปแล้ว สองปี! ผมต้องนั่งรถเมล์อีกสองปี แค่คิดก็สยอง.. ผมรีบเดินออกจากบ้านด้วยชุดนอนเสื้อยืดสีขาว และกางเกงเลสีเขียว ไม่มีชั้นใน สำหรับวันอาทิตย์ที่ทุกคนต่างหยุดงาน ชุดแบบนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติ พอเดินออกจากบ้าน ก็เห็นนักศึกษาในชุดนอนเดินเข้าเซเว่น ยืนซื้อเต้าหู้ จ่ายกับข้าว ฯลฯ แล้วจะแปลกอะไรถ้าผมจะใส่ชุดนอนเข้าโชว์รูมรถยนต์ พอเดินไปสามป้ายรถเมล์ก็จะพบโชว์รูมรถยนต์ที่ผมเฝ้ามองตลอด ๓ ปี เพื่อวันนี้  ความค้นแค้น อึดอัด เหม็นสาป เหนื่อยล้าบนรถเมล์ ทำให้ผมกัดฟัน ทำงานอย่างบ้าคลั่ง อดมื้อกินสองมื้อ เก็บหอมรอมริบ เพื่อมีเงินสดๆสักก้อนที่จะออกรถ เพื่อนหลานคนแนะนำให้ซื้อเงินผ่อน ผมไม่สนใจ ผมไม่อยากให้เม็ดเงินที่ผมอดทนเก็บมาตลอดเล็ดลอดเป็นดอกเบี้ยเล็กเบี้ยน้อย ดุจกระสอบข้าวที่รั่ว แม้เป็นเมล็ดข้าวเล็กน้อยที่รั่วจากกระสอบ แต่นั่นคือหยาดเหงื่อแรงงานของชาวนาล้วนๆ ชาวนาย่อมเสียดาย และย่อมต้องอุดรอยรั่วกระสอบข้าว บางคนบอกว่าต้องรีบใช้รถ รอไม่ทันที่จะเก็บเงินก้อนได้ขนาดนั้น ผมไม่คิดเช่นนั้น ก็ทุกคนมีแต่ความคิดใจร้อนแบบนี้ อยากได้อะไรก็จะเอาปุ๊บปั๊บแป๊บเดียวให้ได้ดั่งใจ ปัญหาทั้งหลายจึงตามมา ถ้าเงินสดไม่พอก็แสดงว่าเราไม่มีกำลังพอที่จะมีรถนะสิ..จะไปฝืนมีทำไม เมื่อมีหนี้สินต้องชดใช้ทุกเดือนตลอดเวลาที่ผ่อนอยู่ ถ้าเกิดเดือนไหนมีปัญหามาจะทำอย่างไร จะไหวมั้ย..ชอบให้อนาคตเป็นคนตัดสินใจให้ ทั้งๆที่ตัวเองสามารถตัดสินใจเองแท้ๆ ๐๘.๔๕ นาที ผมมายืนอยู่หน้าโชว์รูมแล้ว ก่อนจะก้าวขาเข้าไม่ลืมที่จะก้าวขาซ้ายเข้าก่อนตามคำบอกของอาจารย์ ขวาร้าย ซ้ายดี ผมก้าวยาวๆอย่างมั่นใจ ใบหน้าเปี่ยมสุขสุด ยืนอย่างองอาจด้วยชุดนอนกางเกงเลหน้ารถที่หมายปอง เธอดูดีมาก ขาวสะอาด แววตาปราดเปรียว พร้อมจะทะยานไปข้างหน้าอย่างผู้นำ เมื่อผมเอื้อมมือสัมผัสเธอ ผมรู้สึกได้ทันทีว่า นี่แหละคือสิ่งที่ผมค้นหามาทั้งชีวิต นี่แหละ..ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และเธอก็เกิดมาเพื่อผม เธอไม่ยอมให้ใครซื้อไป เพื่อรอผม…

ครูฝึกสอน

นิดาหวั่นใจเล็กน้อย วันนี้เป็นวันแรกที่เธอจะเป็นครูฝึกสอน ซึ่งเป็นกิจกรรมสุดท้ายก่อนเธอจะจบจากรั้วมหาวิทยาลัย  หลังจากเข้าพบอาจารย์ประจำชั้น และทราบว่าเธอจะต้องสอนวิชาอะไร นิดาเตรียมอุปกรณ์ประกอบการสอน กิจกรรม บทพูดระหว่างเรียน การพูดเข้าสู่เนื้อหา เกมส์ระหว่างเรียน (หากนักเรียนเริ่มจะเกเร) เธอหวังว่านักเรียนชั้นป. 6 คงไม่เกเรเท่าเด็กระดับมัธยมที่เริ่มจะก้าวสู่วัยรุ่น นิดาก้าวเข้าสู่ห้องเรียนอย่างมั่นใจ แอบเก็บความตื่นเต้นไว้ข้างในอย่างมิดชิด “สวัสดีค่ะ นักเรียนทุกคน..” เงียบ นักเรียนทุกคนกว่า 30 ชีวิตมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน แบบนี้ท่าทางจะสอนไม่ยาก นักเรียนยังเห่อกับครูคนใหม่ นิดาเริ่มแนะนำตัวต่อทันที “ครูเป็นครูฝึกสอนที่นี่ และจะสอนที่นี่เป็นเวลา 15 วัน ครูชื่อ นิดาภาสุ์(อ่านว่า นิ-ดา-พา) จันทร์เกษตร” เธอพูดพร้อมเขียนชื่อตัวเองบนกระดาน “คุณครูค่ะ ชื่อครูทำไมต้องมี ส เสือ สระอุด้วย นิดาภา เฉยๆไม่ได้หรือค่ะ” งานเข้าตั้งแต่นาทีแล้วสิ แม่ก็ไม่เคยบอกเสียด้วยว่าทำไมต้องมี ส เสือ สระอุ และการันต์ เด็กระดับป.6 ถ้าจะแถไปข้างๆเหมือนเด็กอนุบาลไม่ได้ ต้องตอบอย่างมีเหตุมีผล มีหลักมีการ มีทักษ์มีสิน.. “ถ้าไม่มี ส เสือ สระอุ ความหมายจะไม่ค่อยดีจ๊ะ” “ไม่ค่อยดียังไงครับครู” ด.ช.เนวิทย์ ชิดขอบถาม ทุกสายตาในห้องจ้องมองรอคำตอบอย่างจดจ่อ ราวกับว่าคำตอบจากเธอนั้น คือคำตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของไทยหรือของเขมร “คือ ครูเกิดวันศุกร์ ตามตำราว่าไว้ว่าวันศุกร์ต้องไม่มี ส เสือ หรือถ้ามีวต้องใส่การันต์ ไม่ให้เสือมีอำนาจ” อ้างตำรานักเรียนจะได้ไม่สนใจต่อ ปะติดปะต่อเอาเอง พอเอาตัวรอด นักเรียนคงไม่คาดคั้นต่อ จะได้นำเข้าสู่บทเรียนซะที นี่ ไม่ได้อยู่ในสคริปต์เลยนะเนี่ยะ มาได้ยังไง “อ้อ ผมเข้าใจแล้ว อย่างนี้นี่เอง คุณอาทักสิน ถึงมีอำนาจ เพราะชื่อแกไม่มีการันต์อยู่บัน ส เสือ เสือจึงมีอำนาจใหญ่เลย” ด.ช.สณฒิ(อ่านว่า สน-ทิ) พูด “เด็ก-่าอะไรไม่รู้ ชื่ออย่างพิสดาร..”ครูนิดาคิด “เอาละๆ ทีนี้เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ครูจะมาสอนวิธีปลูกมะละกอ ไหนใครรู้บ้างว่ามะละกอ ปลูกกันยังไง” นิดารีบดึงเข้าเรื่อง ก่อนที่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หก จะพาเธอคุยเรื่องการเมือง…

406

นิดา หญิงสาวที่พึ่งก้าวขาเข้ารั้วมหาวิทยาลัยปีแรก รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ใช้ชีวิตแบบนักศึกษาอย่างเต็มตัว เมื่อพ่อแม่อนุญาตให้เธอย้ายไปอยู่หอพักที่ตั้งอยู่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย เพราะทนต่อการรบเร้าของเธอไม่ไหว กอรปกับการเดินทางไปเรียนที่ไกล จึงเป็นเหตุผลเพียงพอ มันเป็นอพาร์ตเมนต์ไม่เก่ามาก แต่ไม่น่าจะต่ำกว่า 5 ปี สูง 4 ชั้น เธอได้ห้องที่อยู่ชั้น 3 ข้อดีของหอนี้ คือ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเพียงป้ายรถเมล์เดียว ประตูเข้าหอพักใช้สมาร์ทการ์ด เป็นหอหญิงล้วน ไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้าหลัง 1 ทุ่มไปแล้ว แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียว คือห่างจากตลาดจึงทำให้หาซื้อของกินค่อนข้างลำบาก แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค หลังจากย้ายข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น สมุดหนังสือ ตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็เข้ามาอยู่ โดยถือฤกษ์วันพฤหัสบดี ซึ่งถือว่าเป็นวันครู (เธอเกิดวันอาทิตย์ โบราณว่า วันอาทิตย์เป็นมิตรกับวันครู) เป็นวันเข้านอนวันแรก คืนแรกผ่านไปด้วยดี แม้จะนอนไม่ค่อยหลับ เนื่องจากแปลกที่แปลกทาง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ เนื่องจากยังไม่เปิดเทอม เธอจึงใช้เวลาที่เหลือสร้างความคุ้นเคยกับหอแห่งใหม่ หาต้นไม้มาปลูกบ้าง ติดโปสเตอร์บ้าง จนห้องเล็กๆ น่าอยู่ขึ้นมาทันที เธอเริ่มรู้สึกชอบห้องนี้โดยลำดับ หลังจากนอนสร้างความเคยชินจนหนึ่งครบหนึ่งอาทิตย์ เธอบอกพ่อกับแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอชอบที่นี่มาก แม้ยังไม่มีเพื่อนใหม่ เพราะยังไม่เปิดเทอม แต่เธอรู้สึกตื่นเต้น และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี.. พอเข้าอาทิตย์ที่สองของหอพักใหม่..คืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเสียงหนึ่งทำให้เธอสะดุ้งตื่นกลางดึก ราวๆ เที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง  มันเป็นเสียงคนคุยกัน และยกย้ายข้าวของ อันที่จริงเสียงก็ไม่ได้ดังมาก แต่เนื่องจากเป็นกลางคืนที่เงียบสงัด เธอจึงได้ยินเกือบจะชัดเจน เธอพยายามเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน มันดังขึ้นและค่อยลง ดังขึ้น ค่อยลง จนเงียบสนิท และมีเสียงปิดประตู มันเป็นเสียงจากห้องข้างบน ชั้น 4 ซึ่งอยู่ตรงกับห้องของเธอ แต่คนละชั้น ห้อง 406 เธอพยายามคิดในแง่ดี ห้องข้างบนคงกำลังจัดห้อง หรือย้ายออก หรือไปต่างจังหวัด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ขโมยแน่ๆ  เธอยิ่งมั่นใจว่าความคิดเธอถูกต้อง เพราะตอนเช้า ไม่มีใครพูดถึงเรื่องขโมย คืนวันต่อมา เธอยังคงได้ยินเสียงแบบเดิมนั้นอีก และได้ยินในเวลาเดิม ๆ มันเป็นเสียงลากโต๊ะจากซ้ายไปขวา จากระเบียงไปยังประตู เสียงพูดคุยเบาๆ เสียงของเล็กๆน้อยๆร่วงกระทบพื้น และเสียงสุดท้าย คือเสียงปิดประตู! ทีแรกเธอไม่ใส่ใจ แต่เริ่มทนไม่ไหว เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นติดต่อกัน 1…

อาจารย์แลกเกรด

เด็กชายบุญมายืนหน้าซีดหน้าห้องอาจารย์ใหญ่ สักพักมีเสียงเรียกให้เข้าไปข้างใน ด้านในห้องไม่กว้างนัก เพดานมีพัดลมหมุนเอือยๆ หน้าต่างทุกบานเปิดกว้าง  ลมโชยผ้าม่านปลิว รอบๆห้องประดับประดาด้วยภาพ และถ้วยรางวัลต่างๆที่รร.เคยได้รับมาในอดีต “ว่าไง เด็กชายบุญมา” อ.ใหญ่ทักเมื่อบุญมาโผล่เข้าไปในห้อง “อาจารย์ใหญ่ครับ ผมไม่อยากเรียนซ้ำชั้นอีกแล้ว ป. 6 ผมซ้ำมา 1 ปีแล้วนะครับ” “แต่คะแนนเธอไม่ถึงเกณฑ์นี่ จะให้อาจารย์ทำยังไง” อาจารย์ใหญ่ พูดพลางขยับเก้าอี้ ลุกเดินมายังบุญมา “แต่ความจริงแล้ว เธอก็ขาดไม่กี่คะแนนหรอกนะ แค่ 4-5 คะแนน” อาจารย์ใหญ่เดินมาด้านหลังที่บุญมานั่ง วางมือทั้งสองข้างบนบ่าบุญมา แล้วพูดต่อ “ถ้าเธออยากจะผ่านจริงๆ ก็สามารถทำได้ แต่มีข้อแม้..” เย็นวันนั้นบุญมากลับบ้านช้ากว่าปกติ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะถามอะไร นอกจากจะถามว่าปีนี้บุญมาสอบผ่านชั้นป. 6 หรือไม่ “ผ่านครับ” บุญมาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผมสอบผ่านแล้วครับพ่อ พ่ออย่าลืมสัญญานะ ที่บอกว่า ถ้าผมสอบผ่าน จะขออะไรก็ได้” “เออ พอจำได้ ว่าแต่ลูกจะเอาอะไรละ” “พ่อให้จริงๆนะ” “เอาน่า พอพูดแล้วไม่คืนคำ” “ผมขอ..ไอ้โต้งของพ่อนะพ่อ” “ห่ะ? ..เอ็งว่ายังไง” พ่อทำท่าตกใจเมื่อได้ยิน ไอ้โต้งไก่ชนที่พ่อเฝ้าป้อนข้าวเช้าเย็น มันเคยสร้างวีรกรรมไล่จิกไก่ชนของหมู่บ้านเหนือที่ว่าเก่งๆได้ และปลายปีนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าโต้งจะขึ้นสังเวียนเป็นครั้งแรกในงานประจำปี “พ่อให้ไม่ได้” “ไม่ทันแล้วพ่อ” บุญมาพูดอย่างผู้ชนะ “อะไรไม่ทัน” พ่อยังสงสัย “ผมเอาเจ้าโต้งของพ่อไปขายแล้ว” พูดจบ บุญมารีบวิ่งลงจากบ้านไปเล่นกับเพื่อนๆ ทิ้งพ่อนั่งเหม่อเคว้งคว้างว่างเปล่าราวคนอกหัก อาจารย์ใหญ่นั่งเช็ดน้ำให้เจ้าโต้งอย่างทะนุถนอม ดวงตาเป็นประกาย “ตั้งแต่วันนั้นที่แกมาสำแดงฤทธิ์ชนะไก่ที่หมู่บ้านเหนือ ข้าก็เฝ้าคำนึงคิดถึงแกตลอดเวลา วันนี้แกเป็นของข้าแล้ว ฮ่าๆๆ” ภาพประกอบโดย :  Yannis A on Unsplash

คนบ้าหารัก

ชายหนุ่มนั่งกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง แม้ภายนอกสงบนิ่ง  หากแต่ว่าภายในมันคือคลื่นแห่งความสับสนทางอารมณ์..ที่ถั่งโถมทำลายดั่งเปลวเพลิง เบื้องหน้าเขาคือสระขนาดไม่ใหญ่นัก รอบๆสระรายล้อมด้วยหมู่พฤษานานาพันธ์ เขาหย่อนก้นนั่งรอใครบางคนตั้งแต่หลังเที่ยง จนท้องฟ้าเริ่มปกคลุมด้วยความมืด ยังไม่เห็นเงาของเธอคนนั้นเลย มันอาจเร็วเกินไปที่จะนัดใครสักคนที่พึ่งพบรู้จักกันเพียงครั้งเดียวมาพบในสถานที่แห่งนี้ เธอคนนั้นอาจเพียงรับปากว่าจะมาเพียงเพื่อให้เขาไปให้พ้นๆ ไม่ไปยุ่งให้เธอยากใจ แต่ใครจะรู้ว่าความกล้าที่ชวนเธอมาเดินเล่นที่สวนในวันนั้น เขาต้องรวบรวมความกล้ามามากมายเท่าใด เมื่อต้นเดือนที่แล้ว เขาพบเธอที่สวนสาธารณะแห่งนี้  เธอผู้อยู่ในชุดทำงาน นั่งที่ม้านั่งแห่งนี้ สายตาเหม่อมองไร้จุดหมาย และสายตานั้นปรากฏมีน้ำตาไหลยาวเป็นทาง  แรกที่เห็นชายหนุ่มเกิดความรู้สึกหลายอย่าง และในความรู้สึกหลายอย่างนั้น มีความรู้สึกชอบปนอยู่ด้วย เขารู้สึกคุ้นเคย สงสาร อยากดูแล อยากใกล้ชิด และความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดคือ รู้สึกเหมือนเคยได้รู้จัก พูดคุยกับเธอคนนี้มานานแสนนานแล้ว หลังนั้นเขาก็เฝ้ามองเธออยู่ทุกวัน และสิ่งที่ทำให้เขากล้าที่จะเข้าไปหาเธอ คือ น้ำตา เธอมีน้ำตาทุกวันจนทำให้เขาอยากไปดูแล ปลอบใจ เย็นวันนั้น เขาเฝ้ามองดูเธออย่างที่เคย และก่อนที่เธอจะกลับบ้าน เขารวบรวมความกล้า เข้าไปทำความรู้จัก..แม้จะเป็นการคุยกันที่แสนสั้น แต่พอได้ใจความ เธอชื่อสา  มาริสา ศิริเพ็ญ เขาแปลกใจอีกครั้ง ที่มีความรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ เหมือนเคยรู้จักมาก่อนแล้ว เขานัดเธอทันที บ่ายวันอาทิตย์ที่สวนสาธารณะแห่งนี้…เธอกล่าวทั้งน้ำตาว่า “ได้สิ” ก่อนเดินจากไป แม้จะเลยเวลานัดมาแล้ว 5 ชั่วโมง ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบถจากยืนรอ มาเป็นนั่ง พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เขาจะรอเธอต่อไปดีหรือไม่ กลัวเธอจะมาหลังจากที่เขากลับไปแล้ว เธออาจยุ่งอยู่ รถอาจติด เขาคิดจะโทรไปถาม แต่น่าเสียดาย วันนั้นเขาไม่กล้า แม้จะเอ่ยขอเบอร์.. ชายหนุ่มตัดสินใจไม่รอ และก้าวเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ ทางกลับต้องเดินผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่ง  ขณะเดินผ่านเขาแอบแว่บมองไปด้านใน ความบังเอิญทำให้เขาเห็นใครคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะและหน้าตาคล้ายเธอคนนั้น ..คุณสา เขาแอบๆย่องเดินเข้าไป เป็นคุณสาจริงๆด้วย เธอกำลังไหว้พระและกล่าวอธิษฐานอะไรบางอยู่ เสียงอธิษฐานดังมาถึงหูเขา “ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยดลบันดาลให้พี่รุจหายกลับเป็นปกติด้วยเถิด โรคสมองผิดปกติ ไม่สามารถจำอะไรได้แม้กระทั่งสาแฟนตัวเอง หมอยังไม่สามารถรักษาได้ คงต้องพึ่งสิ่งศักดิ์…” ชายหนุ่มได้สติทันที..เขาชื่อรุจ และมีแฟนสาวชื่อสา มิน่าเล่า คุ้นๆ ชื่อมาริสา ศิริเพ็ญ

บังเอิญเหมือน

“ฮัลโหล..โป้งเหรอ?”“………..”“ฮัลโหล”“คุณเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักชื่อผม”“เฮ้ย..โป้ง กูไง เชียร วิเชียร เผ่าพงศ์พันธ์”“เชียรไหนว่ะ ไม่รู้จัก คุณโทรผิดแล้ว” เขาถือโทรศัพท์อย่างงง ก่อนเลื่อนรายชื่อเพื่อนคนต่อไป“ฮัลโหล..”“ฮัลโหล”“เสริฐใช่มั้ย”“???”“ผมเอง เชียร วิเชียร เพื่อนสมัยเรียนของนาย”“เฮ้ย..บ้าป่าว ผมไม่เคยมีเพื่อนชื่อวัดๆอย่างนี้ เชียร เชินไร วู้ ผมไม่มีเวลาว่างมานั่งคุยกับคนแปลกหน้าหรอกนะครับ ต้องรีบเข้าประชุม” “ฮัลโหล..สมชายใช่มั้ย”ลองดูอีกคน“เฮ้ย..มึงเป็นใคร ทำไมมึงใช้โทรศัพท์เมียกู มึงเป็นชู้เมียกูใช่มั้ย มึง ๆ”“เปล่า นี่โทรศัพท์กู ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นละครับ สมชาย คุณไม่รู้จักกูจริงๆเหรอ” เขาเผลอพูดหยาบบ้างอย่างลืมตัว“มึงยังจะกวนตีนกูอีก..”ปิ๊ด..ด เขารีบกดวาง สมชายเพื่อนเขาไม่ใช่คนวู่วามและหยาบช้าอย่างนี้ เขาเริ่มงงกับชีวิต หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ หลังจากวางลงเมื่อเริ่มงงๆกับชีวิต“มันเกิดอะไรขึ้นว่ะเนี่ย”และแล้ว เขาก็คิดถึงเพื่อนที่สนิทที่สุด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันพรเลิศ พรเลิศ คือเพื่อนที่เขาเคยช่วยเหลือตอนถูกเด็กเกเรรังแก มันน่าจะจำเราได้“ฮัลโหล..เลิศใช่มั้ย”“ใช่ คุณเป็นใคร?”“เฮ้ย กูเอง เชียร”“???”“เชียรไหนครับ ผมไม่รู้จักคุณ ขอโทษนะครับ ผมต้องวางหูแล้ว” เขายืนงงๆ อีกครั้ง ช่วงนี้เขาเจอแต่เรื่องแปลกๆ เมื่อวานแฟนสาวที่คบกันมา 7 ปี มาบอกเลิก ด้วยเหตุผลงี่เง่า เราเข้ากันไม่ได้ ทั้งๆที่เข้าออกกันมาตั้ง 7 ปีแล้ว งานที่เขาทำมากว่า 5 ปี ก็เกิดมีปัญหา เขาลาออกจากงานด้วยสปิริต และตอนนี้เขากำลังเผชิญกับความแปลกอีกเรื่องหนึ่ง จำนวนรายชื่อในโทรศัพท์ที่เขาใช้มาตลอด กลับไม่มีใครรู้จักเขาเลย หรือว่าโนเกีย 3210 เล่นตลกอะไรกับเขา ท่ามกลางความงุนงง เขาใจชื้นเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น สงสัยเป็นเพื่อน แฟน เอ..หรือว่าบอส“ฮัลโหล”“มึงบอกมานะ มึงอยู่อยู่ไหน มึงมีอะไรกับเมียกูแล้วใช่มั้ย …มึง ๆ กูจะฆ่ามึงงงงงง” ปิ๊ด..ด เขากดวางและปิดเครื่องโทรศัพท์ เขาเดินไปตามถนนอย่างคนสิ้นหวัง มาหยุดอยู่ตรงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ด้านล่างคือสายน้ำอันเชี่ยวกราด เขาดึงเนคไทให้เรียบร้อย จัดทรงผมให้เรียบแปร้ เสื้อยัดเข้าในกางเกง“ถึงแม้จะตายก็ขอตายอย่างคนเรียบร้อยและดูดี เผื่อได้ออกทีวี เขาจะได้ไม่เซ็นต์เซอร์” เขาปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสะพาน ห้อยขาลง และเหม่อลอย“พ่อครับ แม่ครับ ผมกำลังจะไปเยี่ยมนะครับ” น้ำตาไหลอาบแก้ม“ผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว….ลาก่..”“เดี๋ยว..ว” มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง คงเป็นพลเมืองดี มาคัดค้านการกระทำครั้งนี้แน่เลย“ไม่ต้องมาห้ามผม ผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว” เขาโวยวาย โดยที่ไม่หันไปมอง“คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ…

BLOG I FOUND

เรื่องราวที่พบที่เจอมาระหว่างทาง