กิน-เที่ยว-ถ่ายรูป-รีวิว

Travel Review ท่องเที่ยว

ความสุขหาได้ง่ายๆเริ่มจากสิ่งที่อยู่รอบตัว

“อดทนเวลาที่ฝนพรำ.

.อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางหาย ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ..”

จิ๊กกี๋ในวัย 70 กะรัต

เข้าสู่วัย 10 ขวบแล้วสำหรับจิ๊กกี๋ ถ้าเป็นคนก็เริ่มเข้าสู่วัย 70 นิสัยเธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม ขี้อ้อน ขี้กลัว กลัวฝนกลัวฟ้าร้องกลัวฝนตก สายตาเริ่มพร่ามัว มองไกลๆไม่ค่อยเห็นตามประสาหมาสูงอายุ แต่ยังเป็นหมาที่กินยาก ฉี่ยาก อึยากเช่นเคย เอาภาพมาอัพเดตไว้เท่านี้แหละ

ฝากรอยเท้า ณ บางแสน

มีโอกาสที่ต้องไปบางแสนแบบปัจจุบันทันด่วน ก็เลยตั้งใจว่างานนี้น่าต้องตื่นเช้ามาวิ่งหาดบางแสนซะหน่อย. การเดินทางไปบางแสน ถ้าจะให้เร็วก็ต้องใช้ทางด่วนบูรพาวิถี แต่ถ้าจะให้ง่ายก็ใช้มอเตอร์เวย์ยิ่งตรงไปจนถึงถนนข้าวหลาม เห็นถนนข้าวหลามแล้วออกซ้ายเพื่อยูเทิร์นแล้วเลี้ยวซ้ายแรกไปยังหาดบางแสน เดินทางง่าย   งานนี้ผมไม่พลาดที่จะหิ้วชุดและรองเท้าวิ่งไปด้วย กลางคืนวันเสาร์ฝนตกหนักมาก แต่ผมยังหวังว่าเช้าฝนจะหยุด จนกระทั่ง 6 โมงเช้านาฬิกาปลุก ผมแต่งตัวเตรียมออกไปวิ่ง …. แต่เมื่ออกจากตัวตึกกลับพบว่า ฝนยังคงโปรยปรายแม้ไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้ไม่สามารถออกไปวิ่งได้แน่นอน กลับเข้ามานอนต่อ จนกระทั่ง 9 โมง จึงหิ้วรองเท้าออกไปใหม่ ฝนหยุดแล้ว และแดดยังไม่มา วิ่งสิครับรออะไร ริมหาดบางแสนแม้จะมีร้านรวงค่อนข้างหนาตา แต่ตรงกลางเขาได้เว้นทางเอาไว้ และปูด้วยหินอ่อน วิ่งไปจนสุดหาดจะมีระยะทางถึง 5-6 กิโลเมตร แม้ทางหินอ่อนจะกว้าง แต่ข้างทางเต็มไปด้วยร้านและผู้คน วิ่งต้องคอยหลบคอยระวังตลอดเวลา หินอ่อนหลังฝนตกก็มีความลื่น ต้องเพิ่มความระวังเป็นพิเศษ งานนี้วิ่ง 10 กิโลเมตรครับ งานหน้าจะไปฝากรอยเท้าไว้ที่ไหน ค่อยว่ากันอีกที

ตามหาหัวใจ..ที่ชัยภูมิ (ตอน 2)

(ต่อจากตอนที่แล้ว) ด้วยความที่ช่วงนี้ออกกำลังกายบ่อย วิ่งทุกอาทิตย์ ร่างกายจึงฟิตเป็นพิเศษ ขับรถเป็นร้อยกิโลก็ยังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยังคงมีความสุขกับการขับรถท่องเที่ยว ประมาณบ่ายสองโมงที่ออกจากมอหินขาว ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอเทพสถิตย์แหล่งที่ดารดาษด้วยดอกกระเจียวและบรรยกาศที่เย็นสบายเกือบทั้งปี เส้นทางส่วนใหญ่ลัดเลาะไปตามทุ่งนา หมู่บ้านน้อยใหญ่ ผมต้องการปั้มแก๊ส ตอนนี้หน้าปัดโชว์หน้าจอว่าแก๊สใกล้หมดแล้ว น้ำมันก็เหลือไม่ถึงขีด เส้นทางข้างหน้าอีกไกลแค่ไหน มีปั้มมั้ยยากคาดเดา ขับรถด้วยความกังวลเล็กๆเรื่องน้ำมัน ขณะที่คนข้างๆหลับไปนานแล้ว จนในที่สุดผมก็เจอปั้ม PT เติมเบนซินไป 500 บาทก่อนกันพลาด หลังจากนั้นขับรถต่อมาจนเข้าเขตอำเภอเทพสถิตย์ พอย่างเข้าเขตอำเภอผมรู้สึกได้ถึงความเย็น สดชื่น ตลอดทางเราจะพบรถอีแต่น รถไถ และรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคนแถวนี้ทำนาทำไร่เป็นหลัก บ่ายสี่โมงผมมาถึงที่พัก เส้นทาง@LOVE รีสอร์ท ตัวรีสอร์ทไม่ติดถนนใหญ่ แว่บแรกที่เห็นทางเข้าเป็นถนนลูกรัง ผมใจคอไม่สู้ดีเท่าไร จนกระทั่งวิ่งมาถึงตัวรีสอร์ท ..ประทับใจครับ เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านติดกับไร่มันสำปะหลัง ถึงเป็นรีสอร์ทไม่ใหญ่มาก แต่การตกแต่งรวมถึงการออกแบบให้ความรู้สึกอบอุ่น น่ารัก เป็นครอบครัว ตัวที่พักจะอยู่รอบๆ เว้นสนามหญ้าตรงกลางไว้สำหรับวิ่งเล่น หรือปั่นจักรยานเล่นได้ ที่นี่มีจักรยานปั่นเที่ยวฟรี มี wifi มีอาหารอร่อย โดยเฉพาะผัดหมี่โคราชรสชาตแบบฉบับโคราชแท้ ห้องพักมีหลายแบบ ทั้งแบบบ้านเดี่ยวปูนเปลือย , บ้านแบบห้องแถวติดกัน หรือแบบเต๊นท์ก็มี แต่ละแบบก็มีความน่ารักและน่าพักแตกต่างกันไป ทั้งหลายทั้งปวงยังไม่เท่ากับความมีอัธยาศัยไมตรีอันดีของเจ้าของรีสอร์ท ยิ่งทำให้ที่นี่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเจ้าของรีสอร์ทตัวน้อยๆอีก 3 ตัว ที่คอยวิ่งป่วนต้อนรับแขกจนทั่วรีสอร์ท (หมายถึงน้องหมา) บรรยากาศรีสอร์ทดีขนาดนี้ มีหรือผมจะพลาด พอเช็คอินเข้าห้องพักเสร็จสรรพผมเลือกจักรยานที่ชอบ 1 คัน ปั่นออกไปซูดโอโซนในไร่มันสำปะหลัง ไร่มันที่มีภูเขาเป็นแบ็กกราวด์ไกลๆ ช่างงดงามนัก จนมืดค่ำผมกลับมาที่พัก คืนนี้คงได้นอนเต็มอิ่ม พรุ่งนี้ต้องตืนแต่เช้าเพื่อไปชมทุ่งดอกกระเจียว รุ่งเช้า ประมาณหกโมงครึ่ง ผมขับรถจากที่พักออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ต้องซื้อตั่วเพื่อเข้าชมและเมื่อเข้าไปแล้ว จะต้องซื้อตั๋วอีกครั้งสำหรับนั่งรถเข้าไปในอุทยานซึ่งมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เพราะเมื่อคืนมีฝนตก ทำให้เช้าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษกล่าวคือมีหมอกปกคลุมเต็มพื้นที่ไปหมด ผมซูดอากาศเข้าไปเต็มปอด นานแล้วที่ผมไม่ได้ซูดอากาศแบบไม่ต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจแบบนี้ ผมไม่สามารถจะบรรยาบรรยากาศได้ครบถ้วนทั้งหมด จะบอกว่ามันสวยงามมาก อากาศดีมาก หมอกที่ปกคลุมตามชายป่าสีเขียว บนพื้นก็มีต้นหญ้าสีเขียว มีดอกกระเจียวประปราย งดงามครับ งดงามอย่างยากจะบรรยาย คุ้มค่าที่ได้มา     ผมใช้เวลาที่ทุ่งดอกเจียวนานพอสมควร…

ตามหาหัวใจ..ที่ชัยภูมิ (ตอนที่ 1)

ภาพวิวธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา น้ำตก ผ่านตาจากหน้าจอที่มีคนแชร์ผ่านเฟสบุคและทวิตเตอร์ แว่บหนึ่งผมหลับตาและจินตนาการถึงตัวเองอยู่ท่ามกลางที่เหล่านั้น แค่คิด ความสุขจากการเดินทางท่องเที่ยวก็ผุดขึ้นมา “วันเสาร์นี้เราไปเที่ยวกันเถอะ” ผมบอกแฟน “เอาสิ ไม่ติดอะไรอยู่แล้วนิ” พร้อมกับคำตอบจากแฟน ผมเสริชหาที่พักทันทีเป้าหมายคือ “ทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ” แต่ไปชัยภูมิทั้งที จะไปแค่ที่เดียวก็ดูจะขาดทุนไปซักหน่อย หลังจากกางแผนที่ในกูเกิ้ลแล้ว พบว่า ทุ่งดอกกระเจียวอยู่ในอำเภอเทพสถิตย์ซึ่งห่างจากกรุงเทพประมาณ 280 กิโลเมตร ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในจังหวัดชัยภูมิเช่น มอหินขาว หรือน้ำตกตาดโตน ตั้งอยู่ไกลออกไปอีก 130 กิโลเมตร ผมจึงเลือกที่พักที่ทุ่งดอกกระเจียว เพื่อตื่นไปดูดอกกระเจียวได้แต่เช้า ส่วนวันแรกเลือกไปเที่ยวในสถานที่อื่นๆ ที่ไกลออกไปก่อน และที่พักที่จองได้อยู่ไม่ไกลจากทุ่งดอกกระเจียว ฝั่งอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม คือ  เส้นทาง@LOVE รีสอร์ท   การเลือกที่พักในการท่องเที่ยว ก็เหมือนการซื้อหวย ดีกว่านิดหน่อยก็ตรงที่ว่า เราสามารถหาข้อมูลจากอินเทอร์เนตได้บ้างว่า ที่พักไหนมีข้อดีข้อด้อยอย่างไรบ้าง เราจึงมีโอกาสถูกหวยมากกว่าการสุ่มๆ เลือกเอา แต่หลายๆครั้ง ผมพบว่า ถึงเราจะหาข้อมูลอย่างดีเพียงใด เราก็อาจพบกับความผิดหวังได้เช่นกัน .. ครั้งนี้ผมจึงไม่ได้คาดหวังไว้มากนัก เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เช้าวันศุกร์ที่รถรายังคงติดตามปกติในกรุงเทพ แต่เส้นทางออกต่างจังหวัดสวนทาง คือ โล่งมาก นี่คือสวรรค์สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเราจะหาได้เฉพาะในวันธรรมดาเท่านั้น เป้าหมายแรกของวันนี้คือน้ำตกตาดโตน ในใจอยากเดินทางต่อไปอีกหน่อยเพื่อไปมอหินขาวด้วย แต่ดูข้อมูลในอินเทอร์เนตบอกว่า ถนนยังเป็นลูกรังอาจไม่เหมาะสำหรับมารชมพู จึงคิดว่าจะไปหาข้อมูลจากคนแถวนั้นก่อนค่อยตัดสินใจอีกที ผมเลือกเส้นทางสี่คิ้ว – ชัยภูมิ วิ่งตรงจากปากช่องผ่านลำตะคองมุ่งหน้าสี่คิ้ว จะมีทางแยกออกไปทางสี่คิ้ว ด่านขุนทด ระหว่างทางช่วงนี้ถนนสาหัสมาก เพราะกำลังปรับปรุงถนน ต้องวิ่งบนถนนที่ปุปะประมาณ 1 ชั่วโมง วิ่งจนพ้นสี่คิ้ว ด่านขุนทดและเริ่มเข้าเขตชัยภูมิแล้วนั่นแหละถนนถึงเริ่มดี วิ่งสบาย ด้วยความที่วิ่งสบายนี่เอง ผมเผลอทำผิดกฏหมายจราจรจนต้องถูกให้หยุดรถ! ปกติถนน 2 เลน ต้องวิ่งซ้าย จะวิ่งขวาต่อเมื่อต้องแซงคันหน้าเท่านั้น และเมื่อแซงแล้วต้องกลับเข้าซ้ายเหมือนเดิม ผมวิ่งขวายาวๆ จนกระทั่งเจอด่านเรียกให้หยุด คุณตำรวจเดินมาหาผมหลังรถจอดนิ่ง “จะไปไหนกันครับ” ตำรวจเริ่มบทสนทนาก่อน “ไปชัยภูมิครับ” “บนทางหลวง วิ่งแบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่ปรับเงินหรอก แค่ตักเตือน จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้นะ แต่ถ้าโดนจับอีก ตำรวจท่านอื่นเขาเรียกเก็บเงินแน่นอน” “ขอบคุณครับ…

แวะฉี่ที่เขาใหญ่

ปกติจะไปเขาใหญ่ไม่ปลายปี ก็ต้นปี..แต่ครั้งนี้พอดีผ่าน และพอมีเวลาเหลือเลยแว่บไปซะหน่อย เห็นที่ป่าหญ้าโล่งๆ เขียวๆ เลยต้องแวะฉี่สักหน่อย หลังจากขับรถเที่ยวบนเขาใหญ่ได้สักพัก ก็แวะกลับมาทางเดิมซึ่งไม่ใช่ทางออกปากช่อง เลี้ยวซ้ายออกทางมวกเหล็ก ไปแวะทานข้าวที่ร้าน “ครัวภาคกลาง” ที่นี่อาหารอร่อย บรรยากาศดี แต่ถ้ามีคนเยอะอาหารจะได้ช้าหน่อย พึ่งมาเห็นว่าเคยถ่ายภาพที่นี่เมื่อหลายปีมาแล้ว ท่าอาจจะต่างกันนิดหน่อย แต่อารมณ์เดียวกันเด๊ะ หลังจากทานข้าวเสร็จซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันทีครับ ทริปนี้เป็นทริปผ่านไม่ได้ค้าง มาไวไปไว ..แต่แค่อยากจะบอกว่า หน้าฝนเนี่ยะน่าเที่ยวไม่แพ้หน้าหนาวนะ เขียว สวย สดชื่น

Morning Trail Run

ทุกวันนี้ถ้ามีโอกาสไปต่างจังหวัด ต้องไม่พลาดที่จะหยิบรองเท้าวิ่งและชุดสำหรับวิ่งไปด้วย เพราะเป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับสนามวิ่งใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ และที่สำคัญได้ออกกำลังกายด้วย ครั้งนี้เช่นกันครับ วิ่งรอบฝายเก็บน้ำที่มีระยะรอบประมาณ 1 กิโลเมตร เวลา 6 โมงเช้าแดดก็เริ่มมาละ ไม่ได้ถ่ายฝั่งที่เป็นฝายเก็บน้ำนะครับ ถ่ายแต่บรรยากาศรอบๆ ที่เป็นทุ่งนา ต้นไม้ นี่คือกองเชียร์ข้างทาง แต่บางจุดกองเชียร์ก็เข้ามาในเลนส์วิ่งแบบนี้! ดูเส้นทางสำหรับวิ่งซะก่อน ..นี่มันวิ่งเทรลชัดๆ แต่บางจุดถนนก็ดี มีต้นไม้เป็นซุ้ม บรรยากาศโดยรวมสดชื่น เขียวชะอุ่มครับ ต้นข้าวได้น้ำใหม่ กำลังเติบโตอยู่เต็มทุ่งสุดลูกหูลูกตา เวลาอาจไม่ดีนัก แต่ระยะทางเป็นที่น่าพอใจ ทริปหน้าไปวิ่งที่ไหนดี..

ฝากรอยเท้า ​ณ ปราณบุรี

เป็นทริปที่ 4 ของ Recon tour ทริปนี้มุ่งหน้าหาทะเลของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั่นคือ ปราณบุรี เป็นทริปเลี้ยงส่งโค๊ชอาร์ม โค๊ชประจำทีมและถือเป็นการท่องเที่ยวของทีมอีกครั้งอีกด้วย งานนี้มีเยอะคนที่สุดเท่าที่เคยจัดไปเที่ยวมา นั่นคือ มากันถึง 17 คน กับรถ 4 คันๆละ 4 มี 1 คันที่นั่งกันถึง 5

เที่ยว ‘สุพรรณฯ’ วันเดียว

Recon on Tour ทริปนี้เป็นทริปที่ 3 หลังจากครั้งแรกไปนครนายก ครั้งที่สองไปเพชรบุรี(แก่งกระจาน) ครั้งนี้มีภารกิจคือ ไปทำบุญวัดป่าเลย์ไลก์ โดยได้รับการสบทบทำบุญจากหลายๆท่านทั้งที่มาด้วยกัน และไม่ได้

Cafe’ Review คาเฟ่รีวิว

ความสุขใดเล่าจะเท่าความสุขจากการกิน

เรื่องสั้น

โชว์ X

ความวุ่นวายในโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้หลายคนพยายามหลอกตัวเองด้วยกิจกรรมที่ตัวเองชอบ บางคนหาเวลาว่างไปเล่นกีฬา ไปเที่ยวป่า ไปต่างจังหวัด เล่นเกมส์ ดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นอินเทอร์เนต ใบบรรดากิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้น กิจกรรมที่ใช้ทุนน้อย แต่มีคนนิยมมากที่สุด คือ อินเทอร์เนต การใช้ชีวิตในโลกอินเทอร์เนต เป็นชีวิตที่ไร้พรมแดน โดยเฉพาะในห้องแชท ห้องที่อุดมด้วยคนจากทุกทั่วสารทิศที่ต่างไม่เห็นหน้า แต่พูดจาให้ความอบอุ่นใจได้อย่างดียิ่ง พิม สาวหม้ายวัยดึกที่พบปัญหาในการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบัน เธอเคยผิดหวังกับผู้ชาย ทำให้เธอเครียด พยายามหาที่ปลดปล่อย เธอพยายามปลดปล่อยด้วยการตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง แต่เหมือนยิ่งเพิ่มความเครียดให้เธออีก เพื่อนร่วมงานเข้าใจว่าเธออยากได้ผลงาน อยากได้หน้า ขยันข้ามหน้าข้ามตาจนน่ามั่นไส้ เธอกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเข้าใจ ความเครียดเริ่มมาทำลายเธออย่างจริงจัง แต่แล้ววันหนึ่งเธอได้พบโลกใหม่ ที่ใครๆต่างรัก และพรั่งพรูแต่คำที่ไพเราะกับเธอ เธอใช้เวลาว่างทั้งหมดคลุกอยู่กับโลกใบใหม่นั้นของเธอ..โลกอินเทอร์เนต ทรวดทรงองเอวที่เธอขาดความมั่นใจยิ่งในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ถูกชมว่าสวย และกล่าวยอมรับว่่าเซ็กซี่ในโลกอินเทอร์เนต เธอเริ่มหลงไปกับคำพูดเหล่านั้น จนเธอถือเป็นจริงเป็นจัง ..ในที่สุดเธอก็ก้าวเข้าสู่ความเป็นดาวแห่งห้องแชท ..เมื่อเธอกล้าที่จะโชว์! พิมพ์เริ่มโชว์จากสิ่งเล็กๆน้อยๆ จนในที่สุด เธอกล้าที่จะโชว์ทุกอณูเนื้อที่สตรีพึงสงวน นั่นยิ่งเพิ่มเรตติ้งให้กับตัวเอง เธอกลายเป็นสมาชิกวีไอพี มีพวกหื่นกามนับร้อยเป็นแฟนคลับ หลังจากมีเวลาว่าง เธอจะเปิดทำการแสดงทันที เว็บแคมที่ตั้งไว้หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้เห็นทุกอย่าง ทุกอิริยาบถที่เธอใช้ชีวิตในห้อง.. พิมพ์มีความสุขกับโลกใบใหม่นี้ของเธอ จนเธอลืมบางอย่างในโลกความจริง บางอย่างที่ว่า คือ ผลผลิตที่ได้จากสามีคนเก่า .. นั่นคือ ลูก เธอมีลูกชายวัน ๘ ขวบ ตั้งแต่เธอมีโลกส่วนตัวใหม่ เธอก็จะหมกตัวเองอยู่ในห้อง ส่วนลูกก็ถูกทิ้งไว้ในห้องเช่นกัน วันๆคลุกอยู่แต่กับเกมส์ออนไลน์ แม่กับลูกเริ่มห่างกันเรื่อยๆ ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่ฝาห้องกั้น การทานข้าวด้วยกัน เริ่มเป็นสิ่งที่ลำบากสำหรับเธอและลูก ต่างคนต่างหิ้วข้าวกล่องเข้าห้อง และเงียบหายไปทั้งคืน เธอไม่เคยรู้สึกแปลกใจเลยที่ลูกของเธอ เริ่มพบหน้าเธอน้อยลง และเมื่อพบหน้าก็ไม่ได้พูดจา หรือแม้กระทั่งมองหน้า เธอละเลยหน้าที่ของแม่แล้ว แต่แล้ววันหนึ่ง เธอก็เข้าใจสาเหตุที่ลูกชายกระด้างกระเดื่องต่อเธอ เมื่อเธอเข้าไปทำความสะอาดห้องลูกชาย ขณะที่เขาออกไปทำธุระข้างนอก เธอเหลือบไปเห็นคอมพิวเตอร์เปิดทิ้งไว้อยู่ เธอไม่ได้เอะใจ เพราะปกติเกมส์ออนไลน์ มักจะเล่นค้างไว้แล้วสามารถมาเล่นต่อได้เลย โดยที่ไม่ต้องชัทดาวน์ แต่เมื่อเธอเก็บกวาดเศษกระดาษ ขนมหน้าโต๊ะคอม เธอตกใจแทบสิ้นสติ.. คอมพิวเตอร์ของลูกชาย ไม่ได้เปิดเกมส์ออนไลน์ทิ้งไว้ แต่เปิดห้องแชทที่มีการโชว์เอ็กซ์ น่าตกใจที่เป็นห้องแชทห้องเดียวกับที่เธอเปิด ยิ่งไปกว่านั้น เว็บแคมที่โชว์อยู่ .. มันคือห้องของเธอ…

ระเบิดด้าน

  ชายหนุ่มมองทางพลางมองนาฬิกา ท่าทางกระสับกระส่าย แดดยามบ่ายช่วยเพิ่มดีกรีความเครียดเป็นอย่างดี “แ-่ง” เขาสบถพลางกระแทกก้นลงบนที่นั่งของป้ายรถเมล์ หากเป็นเก้าอี้ไม้ธรรมดาคงหักกระจาย พอละสายตาจากจุดหมายปลายทางที่เพ่งมอง เขากระทืบเท้าเบาๆแต่เร่งจังหวะเร็วๆ ดุจเร่งให้สิ่งที่คอยรอมาถึงในเร็วไว ..เมื่อรู้สึกว่าใจยังร้อนผ่าว จึงล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบวัตถุบรรเทาความเครียด หรือวัตถุฆ่าเวลา แล้วแต่จะเรียกให้ดูดี แต่ความจริงมันไม่เคยดูดี มันคือแท่งสีขาว ที่มีไฟติดอยู่ตรงปลายและมีคนโง่อยู่ตรงข้าม..ใช่ มันคือบุหรี เขายัดมันเข้าปาก พลางควานหาไฟแช็ค ล้วงกระเป๋ากางเกงซ้าย กระเป๋ากางเกงขวา กระเป๋าเสื้อ ไม่มี เขาถมบุหรี่ที่คาบในปากทิ้ง มันออกจากปากพร้อมๆกับคำสบถที่คุ้นเคย “แ-่งเอ้ยย” เขาเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าล่วงเลยเวลานัดหมายไปมาก ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองใจยิ่ง “ถ้าแ-่งจะมาสายขนาดนี้ ทำไมไม่นัดเผื่อสักชั่วโมงสองชั่วโมง หรือวันหนึ่งไปเลยว่ะ หรือจะโทรมาบอกสักคำก็ไม่มี” เขาเริ่มหัวเสีย แต่หาที่ระบายไม่ได้ “ไอ้เหี้ยนี่ ก็เสือกมาตรงเวลาเหลือเกิ๊นนน..”เริ่มพาล ด่าตัวเอง แดดยามบ่าย บวกกับความจอแจของคนในป้ายรถเมล์ มีผลทำให้เหยื่อกาฬของเขาไหลหยดเป็นทาง มันไหลออกนอกกาย แต่ดุจน้ำมันที่ราดภายในใจที่ลุกเป็นไฟของเขา ในที่สุดความอดทนก็สิ้นสุดลง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะด่า ด่า ด่า ให้สาแก่ใจ และจะไม่รอ ไม่คุย ไม่พบมันสักระยะ..ไอ้เพื่อนเฮงซวย! “ฮัลโหล” เสียงจากปลายสาย “ตอนนี้มึงอยู่ไหน?”เขากระแทกเสียงแข็ง “บ้าน” โห ยังไม่ออกจากบ้านอีก อย่างนี้ต้องด่าให้ตาย ต้องค่อยๆ เกริ่นด่าเดี๋ยวมันตกใจวางหูไปก่อน คนที่จะจุกอกตาย คือ ตัวกูเอง “อย่าบอกนะว่ามึงพึ่งแต่งตัวเสร็จ กูบอกมึงหลายครั้งแล้วใช่มั้ย ผู้ชายนะเขาไม่แต่งตัวเป็นชั่วโมงๆเหมือนผู้หญิงหรอก มึงจะหล่อไปถึงดาวพลูโตรึไง” “ปล๊าว” ปลายสายตอบเสียงเรียบ “กูพึ่งตื่นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มึงนี่แหละ มีไรหรอ” อกแทบระเบิดเมื่อสิ้นคำของพูดของเพื่อน หัวหมุนติ้ว ความโกรธทวีคูณ ทับถม อัดตั้งแต่ปลายเท้า วิ่งปรี๊ดรวมกันมาจ่อที่ขมับ เตรียมระเบิดออกมาทางปากน้อยๆ “มึงจำได้ไหม มึงเคยชวนใครไปดูหนัง” เขากัดฟัน “จำได้ ก็ชวนมึงนั่นแหละ” “แล้วเมื่อไรมึงจะออกมาห๊าาา…ไอ้ ๆ ๆ ๆ…” ระเบิดเริ่มทำงานแล้ว “เราจะไปกันวันอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ .. นี่มันวันเสาร์น่ะ?” ปากที่อ้าเตรียมจะด่า ต้องค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ราวระเบิดด้าน “อะ อ่าว วันนี้วันเสาร์เหรอ”…

คำสุดท้าย

“ฮัลโหล” “อือ..” “ยุ่งอยู่ไม๊?” “อือ..” “สบายดีไม๊?” “อือ..” “………..” “………..” “………..” “………..” ห้านาทีผ่านไป.. “………..” “………..” “ถ้าไม่มีอะไร งั้นแค่นี้ก่อนนะ” เธอพูด(แล้ว) “……….” เธอวางสายไปแล้ว .. แต่ผมยังถือโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น เมื่อก่อนกับตอนนี้มันต่างกันมาก อนิจจัง..มันไม่เที่ยง เมื่อก่อน…เรื่องราวมากมาย เล่าไม่รู้จบ ไม่อยากวาง อยากได้ยินเสียง อยากรับรู้ว่ายังอยู่สบายดี เวลาผ่านไป เราห่างกัน..ความสัมพันธ์เริ่มจาง ราวกลิ่นกฤษณาที่อยู่ห่างนับร้อยลี้ กลิ่นริบหรี่หายไปในป่า.. เข้าใจในสรรพสิ่ง ความจริงคือความเปลี่ยนแปลง จากเคยรักอาจหน่ายแหนง จากร้อนแรงกลับเงียบเฉย. ที่โทรมาวันนี้ มิได้เอื้อนเอ่ยขอให้เธอกลับมาดังเดิม เพียงอยากรู้ความเป็นไป และอยากกล่าวคำสุดท้ายกับเธอ.. คำสุดท้าย..“ฉันเป็นมะเร็ง คงอยู่ได้ไม่นาน..” ที่ไม่ได้กล่าว.. โทรศัพท์ยังคงอยู่ในมือ เสียงไอดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ มือกำโทรศัพท์แน่น น้ำตาไหลอาบแก้มสองข้าง เสียงไอเพิ่มความถี่ และมีน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ..เลือดทะลักออกจากปากเป็นลิ่มๆ ร่างร่วงลงจากเก้าอี้..   ไร้ลมหายใจ แต่มือยังกำโทรศัพท์แน่น..

เจ้าหญิงสุคันธา # 3

นานมาแล้ว..มีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งเธอเป็นพระธิดาองค์เดียวของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นอี้เทียน ทรงมีพระนามว่า เทียนฟู่ เป็นพระราชาหม้ายมาหลายปี พอเจ้าหญิงมีอายุ 20 ปี พระราชาทรงประสงค์จะให้เธอมีพระสวามีด้วยความที่ตลอดเวลา 20 ปี เจ้าหญิงไม่เคยพบปะสนทนาพูดคุยกับชายใดเลย พระนางจึงรู้สึกตื่นเต้น และขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวที่จะต้องคุยกับบุรุษเพศ “บุรุษนี่ เขาพูดจากันยังไงน่ะ?” เธอถามหญิงรับใช้หญิงรับใช้คนที่หนึ่งซึ่งมีอายุเท่าองค์หญิงทูลว่า “ชื่อว่าบุรุษนั้น เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยน ให้เกียรติต่อสตรีเสมอ คำพูดทุกคำล้วนเปี่ยมด้วยคำอ่อนหวาน”“บุรุษมีแต่คำพูดเหลาะแหละเชื่อถือไม่ได้ คำพูดจาไม่ได้ต่างจากร่างกายที่กระด้างของเขาเลย” หญิงรับใช้วัย 25 กล่าวบ้าง“บุรุษทุกคนคอยแต่หาโอกาสจากสตรีเพศ คิดแต่เรื่องลามกสกปรก” หญิงรับใช้วัย 30 กล่าวองค์หญิงรู้สึกสับสนกับคำตอบที่ขัดแย้งกัน จึงถามยังหญิงรับใช้ที่สูงวัยบ้าง“อันบุรุษหรือสตรีหามีความแตกต่างกัน ด้วยทั้งสองต่างเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน บุรุษหรือสตรีจะดีหรือไม่ดี ก็เพราะตัวของเขาเองหาเกี่ยวกับเพศไม่ เพียงเพราะบุรุษคนเดียวที่เราได้รู้จัก ไม่อาจตัดสินบุรุษทั้งโลกได้ และไม่ควรทำอย่างนั้น..” เจ้าหญิงทรงพอพระทัยกับคำตอบนี้มาก เพราะทำให้พระองค์เปลียนทัศนคติที่เคยมีต่อบุรุษใหม่ บุรุษไม่ใช่คนที่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด เมื่อข่าวเรื่องการประกาศหาคู่สมรสขององค์หญิงกระจายออกไป เจ้าชายตามเมืองต่างๆ ก็ต่างจัดขบวนมาสู่ขออย่างมิคาดสาย เมื่อมีมาก เพื่อความยุติธรรม พระราชาจึงตรัสในสมาคมนั้นว่า..”เนื่องจากเจ้าชายมากมายต่างมาสู่ขอองค์หญิง เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านให้ความรักต่อธิดาของเรา แต่เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับธิดาของเรามากที่สุด สมบัติใดๆอย่างอื่นเราไม่ต้องการ เราต้องการคนที่มีความรักต่อธิดาของเราอย่างแท้จริง” มีเสียงจอแจของเหล่าบุรุษผู้มาแสดงตนเพื่อขอเป็นราชบุตรเขยเสียงเหล่านั้นถูกสะกดให้เงียบด้วยเสียงอันน่าเกรงขามของพระราชา “ห่างจากเมืองนี้ ชั่วภูเขา 12 ลูก มีสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ ณ ที่นั้นมีเพียงดอกไม้ดอกเดียวที่มีความโดดเด่น ไม่เหมือนดอกใดๆในโลก ซึ่งลูกของเราชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง หากใครสามารถนำดอกไม้ดอกนั้นมากำนัลแด่ธิดาของเราในวันฉลองวันเกิดครบ 20 ปี เราจะมอบธิดาให้แก่บุรุษคนนั้น แต่เราขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้ด้วยว่า สวนดอกไม้แห่งนั้นล้วนรายล้อมด้วยอันตรายที่ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ขอให้พวกท่านจงระวังตัว คนที่ได้ดอกไม้มา ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถเหมาะสมแก่ธิดาของเรา การคัดเลือกราชบุตรเขยเริ่มต้น ณ​ บัดนี้..”

ชู้

ปัจจุบันเรียก “กิ๊ก”อาจจะต่างกันโดยชื่อ แต่ความน่ารังเกียจ เหมือนกัน! เค้าโครงจากเรื่องจริงนะ เรื่องต่อไปนี้..พระเอกของเรื่องชื่อ บี (นามสมมติ) หน้าตาหล่อราวพระเอกเกาหลี ทำงานอยู่ในร้านตัดผม จึงไม่วายถูกพี่ๆ ทั้งกระเทย เกย์ทาบทามให้ไปเป็นเด็กในสังกัดตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็ปฏิเสธ แน่นอนการปฏิเสธคนพวกนี้ ก็เหมือนการปฏิเสธความเจริญในหน้าที่การงาน บี ให้เหตุผลสั้นๆว่า “ขยะแขยง” เนื่องจากเป็นคนหน้าตาดี จึงไม่ยากที่จะมีคนมาเคียงข้างอย่างไม่ซ้ำหน้า ครั้งหนึ่งบีไปรู้จักกับสาวเจ้านางหนึ่ง หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักน่าเอ็นดู หลังจากความสัมพันธ์ถึงขึ้นลึกซึ้ง จึงมารู้ภายหลังว่า..เธอ มีแฟนแล้ว รู้มากไปกว่านั้นอีกในเวลาต่อมา คือ ไม่ใช่แค่แฟน แต่เป็นสามีภรรยากันตามกฏหมายแล้ว.. บี ไม่สนใจ เมื่อไรที่สามีไม่อยู่ สาวเจ้าก็จะชักชวนไปที่คอนโดของเธอบ่อยๆ วันเกิดเหตุ เป็นวันที่บีรู้ความลับอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ สามีของสาวเจ้าเป็น ตำรวจ!ตาย ตาย แค่เป็นชู้กับเมียช้าวบ้านนี่ก็แย่แล้ว นี่เป็นชู้กับเมียตำรวจ.. ความซวยมาเยือนจนได้ วันนั้นนายตำรวจกลับบ้านโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า อาจเป็นการวางแผนเพื่อทดสอบภรรยาของตัวเอง เนื่องจากระยะหลังหล่อนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหรือเปล่า? ขณะคุณตำรวจผู้สามีเปิดประตูเข้ามา บี กับสาวเจ้ายังคลอเคลียอยุ่บนเตียง“ตายแน่ๆ วันนี้เอาชีวิตมาทิ้งเพราะหญิงแท้ๆ” บีคิด “มึงแน่มาก” ตำรวจขบกรามแน่น และกล่าวสืบต่อไปว่า“ทำต่อดิ”“เอ่อ..ผะ..ผม” บี เหงื่อแตกผลั่ก“กูบอกให้ทำต่อ..ไม่งั้นมึงได้กินไอ้นี่แน่” ตำรวจพูดพลางยกปืนเล็งมาทางเขา ไม่มีทางเลือก จึงเริ่มบทรักที่ค้างคา จากความกลัวกลับกลายเป็นความรัญจวนใจ คิดในแง่ดี ถึงตายได้ตายคาอกก็ถือว่าคุ้ม..สำหรับหนุ่มเพลย์บอย เมื่อบทรักกำลังดำเนินไปอย่างออกรส บีเริ่มรู้สึกว่าผู้ร่วมกิจกรรมรัก มิได้มีแค่สองคน ! เขาเผยอตาเหลือบไปดู นายตำรวจที่มุมห้องหายไป เครื่องแบบถูกถอดวางอยู่ตรงมุมห้องนั้น..ขณะนี้นายตำรวจคนนั้นกำลังคลอเคลียอยู่กับเขา.. นายตำรวจประทับจูบที่แผ่นหลังเขา หนวดแข็งๆ ถูไปตามแผ่นหลัง ..เขาขนลุกชูชันสยิวกิ้ว ขณะเดียวกันความขยะแขยงก็บังเกิดมาแทนที่ความเสียวซ่าน…น นายตำรวจเริ่มบทรักอย่างเคลิ้บเคลิ้มต่อไป เลื่อนกายลงไปจนถึงเบื้องล่าง!บี ชายหนุ่มจอมเจ้าชู้ ถึงกับขนลุกซู่กับลีลาของคุณตำรวจวิตถาร เหตุการณ์วันนั้นจบลงอย่างไร บี ไม่ได้เล่าเพิ่ม เอาแต่ร้องไห้ปิ่มใจจะขาดจากผู้กระทำกลายมาเป็นผู้ถูกกระทำอย่างระกำใจ บีหนุ่มเพลย์บอย..ถอดเล็บถอดเขี้ยวไปพักใหญ่ เราไม่ได้เจอหน้ามันนานมาก แต่ล่าสุด หลังจากค้นหาตัวเองและบำบัดอาการทางจิต บีกลับมาแล้ว.. บี บอกว่า “ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้” พูดพลางสะบัดหน้า เดินบิดก้นหายไป กลิ่นน้ำห้องคละคลุ้ง.. เออ..ไปที่ชอบๆนะ อีบี!

ลมหายใจสุดท้าย

ชายชราเดินหลังโค้งงอ หน้าแลต่ำไปตามทางที่ความเจริญยังมาไม่ถึงดี กล่าวคือ มันมาครึ่งๆกลางๆ มาบ้างไม่มาบ้าง มากระปริดกระปรอย มาๆ หายๆ ถ้าเดินไปให้ถึงต้นทางจะเห็นร่องรอยการลาดยางมะตอย นั่นคือ เหตุการณ์เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วหลังการเลือกตั้ง ถ้าถนนแห่งความเจริญเข้ามาถึง มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านนี้ไปในรูปแบบไหน ยังไง ก็ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่ชอบความเป็นธรรมชาติแบบเดิมมากกว่า เสียงผู้เฒ่าที่เหลือไม่ถึง ๑ ใน ๓ ของประชากรในหมู่บ้าน หรือจะสู้เสียงของคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น เด็กวัยใหม่ได้ เพียงแค่เริ่มโครงการจะทำถนน ความเจริญก็ทะลักล้นเข้ามาในหมู่บ้าน! เด็กหญิงทิ้งผ้าถุง หันไปนุ่งกระโปรงสั้น แต่งหน้าทาปากแดง เหน็บกระเป๋าราคาที่แพงกว่าค่ากับข้าวของคนในบ้านทั้งเดือน หรือสองเดือน หรืออาจจะ ๓ เดือน! โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่าค่ากับข้าว เมื่ออุตส่าห์ยอมเสียที่นาบางแห่งเพื่อแลกกับมันมาแล้ว ต้องคอยหาเงินซื้อบัตรเติมเงินให้มันอีก ยิ่งเครื่องใหม่ อารมณ์เห่อของใหม่ยังไม่หาย ยิ่งกินเงินมากเป็นพิเศษ ผู้เฒ่าผู้แก่นั่งบนแคร่ตะบั้นหมากมองลูกสาวลูกชายที่แม้ตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่มันแท้ๆ ยังลังเลว่า ใช่ลูกกูหรือเปล่า ..การแต่งตัว เสื้อผ้าอาภรณ์ช่างขัดแย้งกับสภาพบ้านโทรมๆนี้ยิ่งนัก “นั่นมึงจะไปไหน แต่เช้า วันนี้ข้าว่าจะชวนไปไร่ซะหน่อย” เฒ่าสนถามลูกชาย “ไว้วันหลังละกันพ่อ วันนี้น้องเชอรี่ให้พาไปดูหนัง” พูดพลางนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่ผู้พ่ออุตส่าถ่อสังขารไปผ่อนมาให้ คิดว่าไอ้เครื่องนี้จะช่วยให้งานในไร่ดีขึ้น “บักหำ..” เฒ่าสนต้องหยุดคำพูด เมื่อลูกชายหันมาตะวาด “พ่อ ผมบอกพ่อกี่ครั้งแล้ว ผมเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว เตอร์ ผมชื่อเตอร์ หำห่าอะไรนั่นนะ ไว้เรียกควายของพ่อเถอะ” พูดพลางบิดมอเตอร์ไซค์เสียงแหลมปี๊ดไปถึงลำไส้ใหญ่ บึ่งรถออกไป ทำราวกับหลิวเต๋อหัว ในผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ เท่จังนะเมิง (อันหลังนี่ ผมพูดเอง เขียนไปเห็นภาพมันไป ชักอิน รู้สึกมันไส้) เฒ่าสนเดินหลังโก่งมานั่งบนแคร่ มองไปบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย แกบ่นพึมพำในลำคอ “ยายปลิวเอ้ย แกเห็นลูกชายของเรารึยัง ยิ่งโตมันยิ่งเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ถ้าแกอยู่ด้วย แกคงดุ คงตีมันสินะ ตอนเด็กๆ ข้าไม่น่าเอาใจมันมากเลย พอแกตี ข้าก็จะคอยห้าม นี่ ถ้าข้าปล่อยให้แกตี คงไม่เป็นแบบนี้ โบราณว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี..” เฒ่าสนแบกจอบกับห่อข้าวเล็กๆ เดินดุ่มไปไร่เพียงลำพัง แกถากๆไถ่ๆ จนตะวันบ่ายคล้อย..ไอ้มาเอะ…

รักข้ามมิติ

ชายชราสีหน้าเปื้อนยิ้ม เสยผมที่ขาวโพลน ก่อนเอ่ยปากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “ข้าอกหัก” ผู้ที่ใครๆรู้จักในนามลุงมา ผ่านโลกมาแล้วกว่า ๖๐ ปี กว่าครึ่งของอายุแกใช้ชีวิตในชุดสีเขียวเข้ม นั่นคือ เครื่องแบบทหาร ไม่ใช่ข้าราชการทหารทั่วไป แต่ทว่า แกคือทหารป่าลาดตระเวน เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว แกถูกเกณฑ์ทหาร ไม่ต้องรอให้ใครบังคับ แกเลือกที่จะสมัครไปเป็นทหาร แกเชื่อว่าแกเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และแกจะซื่อสัตย์ต่อคำตอบท่ีเคยตอบครูไปเมื่อสมัยอนุบาลว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร นักเรียนชายเกือบทั้งห้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากเป็นทหาร แต่เอาเข้าจริง เห็นมีแกอยู่คนเดียวที่สมัครเป็นทหาร ลุงมาเข้ารับการฝึกซ้อม เป็นทหารผู้มีระเบียบวินัยเคร่งครัดคนหนึ่ง เมื่อจวนเจียนจะครบกำหนด ๒ ปีที่ต้องอำลาชีวิตทหาร เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติที่ชายแดน ทหารทุกหน่วยถูกเรียกให้ไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ นั่นรวมถึงลุงมาด้วย เลือดนายทหารผู้พึ่งผ่านการฝึกฝนอย่างทรหดปะทุเต็มที่ เหตุการณ์ไม่ปกติกลับเข้าสู่ความปกติภายใน ๑ เดือน ทหารฝ่ายลุงมาได้รับชัยชนะ แต่ต้องสูญเสียทหารหาญไปมิใช่น้อย ศพนายทหารหาญทุกนายล้วนถูกลำเลียงมาบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติ ทุกอย่างเกือบจะปกติ แต่เมื่อตรวจเช็คตามรายชื่อ มีชื่อตกหล่น ลุงมา ยังไม่กลับมา ลุงมามีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตแล้ว ไม่มีใครทราบ แต่ทุกคนมีความเห็นอย่างเดียวกันว่า เสียชีวิตแล้ว ในการบำเพ็ญกุศลศพนายทหารหาญครั้งนั้น จึงมีรูปลุงมาตั้งอยู่ แต่ไม่ปรากฏศพ “ลุงไปอยู่ไหนมา” ผู้ที่รอคำตอบอย่างจดจ่อ คือ ทิดลั่น ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าไปยังท้องทุ่งอันเขียววจี ต้นตาลริมถนนที่มุ่งหน้าไปยังทุ่ง ตั้งเป็นแถวเรียงราย สายลมพัดต้นข้าวโอนเอนราววงดุริยางค์ประโคมดนตรีขับขาน “ข้าหนึข้าศึกเข้าป่าใหญ่ แต่แกรู้ไหม ที่ป่าใหญ่นั้นมีอะไรรอข้าอยู่” “ไม่รู้” “ข้าได้พบกับโลกใหม่” “ยังไงละลุง” “ที่นั่นนะ ผู้คนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ถักกันเองอย่างเรียบๆ ปลูกบ้านหลังเล็กๆ ทั้งหมู่บ้านไม่น่าจะถึง ๕๐ คน ทุกคนล้วนสื่อสารด้วยภาษาที่ข้าไม่เข้าใจ” “แล้วลุงทำไง” “ข้านั่งอยู่สักพัก เขาก็เอาผลไม้มาให้ข้า คล้ายๆลูกพุทรานะ แต่ลูกใหญ่เท่าส้มโอ” “โอ้โห..แล้วรสชาติเป็นไงลุง?” ทิดลั่นทำท่าตื่นเต้น “เหมือนมันแกว แต่หวานกว่า” “แล้วไงต่อ..ลุง” “ข้าใช้ชีวิตที่นั่นตามวิถีของคนที่นั่น ข้าลืมบ้านเมืองเราโดยสิ้น เพราะที่นั่นไม่มีเสียงรถ เสียงก่นด่า ไม่มีข่าวโหดร้าย ไม่มีคนโกง ไม่มีคำหยาบ ไม่มีควันบุหรี่ ไม่มี..” “พอๆๆ ลุง แล้วลุงอยู่ได้เหรอ ก็ไอ้ที่ไม่มีๆที่ลุงพูดมานั่นนะ มันมีในตัวลุงทั้งนั้นเลยนา”…

คำขอโทษจากคนเลวที่รักเธอ

จะให้นั่งรออย่างนี้อีกนานไหมนะ..แต่เอาเถอะ ถึงจะหนาว เหนื่อย เมื่อย และน่ากลัวขนาดไหน คงไม่เทียมเท่ากับความผิดที่เราทำ.. ความผิด มันเริ่มจากความเข้าใจผิดเราเข้าใจผิดมาตลอดว่า สีที่เธอชอบคือสีเขียว อาหารที่เธอชอบ คือ สลัด และวันที่เธอเกิดคือ ๒๐ ตุลาข้อมูลที่ได้มานี่ ยืนยันจากเพื่อนเธอ เมื่อครั้งที่เราเริ่มจีบเธอแรกๆ ใครจะรู้ว่าข้อมูลเหล่านี้ ไม่ใช่ข้อมูลของเธอ แต่เป็นข้อมูลของเพื่อนเธอคนนั้น เมื่อครบ ๑ ปีที่คบหา และครบรอบวันเกิดเธอ (ที่เราเข้าใจผิดมาตลอด) ตั้งใจจะเซอรืไพร้สเธอเล็กๆ ด้วยของที่เธอชอบ ในวันที่เธอเกิด.. แผนการณ์เป็นไปตามคาดทุกอย่าง เธอตกใจ และหลังจากนั้นควรจะตื่นตันใจ แต่เธอโกรธ!และหลังจากนั้น เราก็ไม่พบ ไม่ได้พูด ไม่ได้คุยกันอีกเลย.. อภัยให้เราเถิด..เราจะยืนท่ามกลางสายฝน ความหนาว ความน่ากลัวของค่ำคืนอันมืดมิด จนกว่าเธอจะเห็นใจ จนเธอจะเข้าใจ หน้าบ้านติดถนนใหญ่ รั้วขนาดสูงบังจนไม่สามารถให้เธอมองลอดจากช่องหน้าต่างมาดูได้ว่า มีใครเขายืนสำนึกผิดอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่หัวค่ำ ที่ฝนยังไม่ลงเม็ด จนถึง ๕ ทุ่มที่ฝนกระหน่ำเทอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้ว เธอยังไม่สงสารเราอีกเหรอ เธอรู้ไหม…เราหิวเหลือเกิน เรากลัวเสียงฟ้าผ่า เสียงฟ้าร้อง มันเหมือนฟ้าจะลงโทษคนผิด เราผิด เราสำนึกแล้ว..ขอได้ผ่อนโทษจากหนักเป็นเบาด้วยเถิด อย่างน้อยแค่หันมามองสักหน่อยก็ยังดี หลังจากที่ยืนมาเป็นเวลานาน อิริยาบถเปลี่ยนเป็นนั่ง และนอนลงกับพื้นข้างถังขยะในที่สุด รุ่งเช้า..รถตำรวจ ๒-๓ วัน จอดอยู่หน้าบ้าน ผู้ที่ถูกจับ คือ ชายที่ยืนขอโทษทั้งคืนนอนหมดเรี่ยวแรงตำรวจระบุข้อหา : ฆ่าคนตายจำเลยให้สารภาพว่า : ผู้ตายหลอกลวง ทำให้คนรักต้องเข้าใจผิด ด้วยความโมโหถึงขีดสุด จึงทำร้ายร่างกายเธอจนเสียชีวิต เหตุผลที่เธอคนนั้นไม่ให้อภัย คงไม่ใช่เพราะเข้าใจผิด แต่เพราะเหตุนี้ต่างหาก! ตำรวจใส่กุญแจมือชายคนนั้น ล็อกคอดันตัวให้เข้าไปในรถ..เขาเหลือบมองหน้าต่างบานนั้นที่เขาเฝ้ามองมาแล้วทั้งคืน.. ปรากฏร่างของเธอคนนั้นยืนมองด้วยสีหน้าเย้ยหยันสมน้ำหน้า..อย่างน่าสมเพช ก่อนประตูรถจะปิดลง..ผู้ต้องหาฆ่าคนตายตะโกนอย่างสุดเสียง “ผมขอโทษ……ษ ผมรัก….คุ” ปัง! ประตูรถปิดสนิท ไร้เสียงใดๆเล็ดลอดออกมา รถตำรวจวิ่งหายไปจนลับตา ทุกอย่างปกติอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ใบสั่ง

ฝนตกตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ล่วงถึงเวลาเย็นเลิกงานยังคงโปรยปรายไม่จางหาย สภาพรถบนถนนจึงติดแง่ก ถนนลื่น ตำรวจจราจรในชุดกันฝนสีส้มตะเบะหนึ่งครั้ง ก่อนกระแทกเสียง “ขอดูใบขับขี่หน่อยสิ” เหยื่อผู้ประสบเหตุเป็นพนักงานส่งเอกสารที่พึ่งเลิกงานพอดี เขาชื่อวิชิต วิชิตมีภรรยาผู้น่ารัก 1 คน และลูกตัวเล็กๆ อีก 2 คนโตกำลังเรียนชั้นป. ๕ ส่วนคนเล็กพึ่งเข้าอนุบาล เขาจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ต้องถูกเรียกและถามหาใบขับขี่อย่างนี้ ถ้ามีใบขับขี่ให้ ก็หาเรื่องเพื่อจะจับข้อหาอื่นน กระจกต่ำไปบ้าง หมวกกันน็อกไม่ได้มาตรฐานบ้าง หรือกระทั่งเสียงดังรบกวนประชาชน .. วันนี้เช่นกัน วิชิตถูกเรียกอีกแล้ว โดยตำรวจจราจรคนเดิม เขารู้ชะตากรรมดีว่า ตำรวจนายนี้ต้องการอะไร “พอดีรีบ วันนี้จึงไม่ได้เอามาครับจ่า” “งั้น แวะเข้ามาข้างทางก่อน สงสัยต้องมีเรื่องคุยกันยาว คุยที่นี่คงไม่จบ” “จ่าครับ ลูกผมอยู่ที่รร.ยังไม่มีใครไปรับเลย” “เฮ้ย..นั่นมันเรื่องของคุณ ไหน ไม่มีใบขับขี่ เอาบัตรอย่างอื่นมาดูสิ” “บัตรประชาชนเหรอครับ ผมมีๆ” “บัตรสีแดงๆนะ มีป่าว ใบเก่าๆสักใบสองใบ” วิชิตรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ในกระเป๋ามีเงินเหลือ 120 บาท เมื่อวานสัญญากับลูกว่าจะพาไปซื้อกระเป๋าใส่หนังสือใบใหม่แทนใบเก่าที่มันเก่าจนขาดรุ่งริ่ง ตอนส่งลูกไปรร.เมื่อเช้าแวะไปดูแล้ว ราคาแค่ 89 บาท หลังจากซื้อกระเป๋า น่าจะพอมีเงินซื้อลูกชิ้นกินกับลูกอีกคนละ 2-3 ไม้ แต่ถ้าไปโรงพักอาจเสียมากกว่านี้ ตัดใจ ล้วงกระเป๋าตังค์ หยิบแบงค์ร้อย “เฮ้ยๆๆ หยิบให้กันอย่างนี้ เดี๋ยวก็ซวยหรอก คนอื่นเห็นไม่เท่าไร เสือกมีกล้องวงจรปิดถ่ายติด ได้ซวยหมดโรงพัก โน่น เห็นป้อมโน่นไหม” ตำรวจจราจรชี้ไปที่ป้อมตำรวจตรงสี่แยก “เห็นครับ” “นั่นแหละ เดินไปตรงนั้น จะมีหมวกตำรวจวางหงายไว้ วางเงินไว้ในนั่นเลย โอเค๊?” วิชิตดุ่มๆไปป้อมตำรวจ ซึ่งมีระยะทางจากที่เกิดเหตุประมาณ 50 เมตร เมื่อถึงป้อมตำรวจ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น ตรงช่องหน้าต่างเล็กๆ มีหมวกตำรวจตั้งหงายอยู่ “คงหมายถึงหมวกใบนี้สินะ” เมื่อชำเลืองมองในหมวก ก็เห็นเงินใบสีแดงเต็มไปหมดเกือบเต็มหมวก หันไปมองตำรวจที่รอเขาอยู่ที่รถมอไซค์ ตำรวจพยักหน้าเป็นอันให้รู้ว่า ให้หย่อนมันลงไปในหมวกใบนั้นซะ วิชิตหยิบธนบัตรแบงค์ร้อยจากกระเป๋าสตางค์ หย่อนชัดๆให้ตำรวจเห็นว่าเขาได้ให้เงินแล้ว ขณะที่กำลังหย่อนเงินลงไปนั้น แว่บนึงเขาแอบชำเลืองมองไปที่นายตำรวจจคนเดิม เมื่อเห็นว่าตำรวจจราจรไม่ได้มองมาที่เขาอีกแล้ว จึงหยิบแบงค์ร้อยจากหมวกมา 3…

BLOG I FOUND

เรื่องราวที่พบที่เจอมาระหว่างทาง