กิน-เที่ยว-ถ่ายรูป-รีวิว

Travel Review ท่องเที่ยว

ความสุขหาได้ง่ายๆเริ่มจากสิ่งที่อยู่รอบตัว

ทริปลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ (ตอนที่ ๓)

ออกเดินทางจากลำพูนตอนบ่ายโมงกว่าๆ มุ่งหน้าสู่อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ จุดหมายคือ “ขุนวาง”

อิฐมอญ

  ผมชอบผนังอิฐมอญ.. ชอบอารมณ์ผนังที่เก่า ๆ เหมือนงานไม่เสร็จหรืองานไม่เรียบร้อย ให้อารมณ์ดิบๆ มันเข้ากับ lifestyle และหน้าตา(ที่เถื่อนๆแบบเรา)

ไหว้พระวัดโพธิ์

สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ชาวต่างชาตินิยมชมชอบ คือถ้ามาเมืองไทยแล้วต้องไปให้ได้ (จะไปเองหรือถูกไกด์บังคับพาไปก็ตาม) เฉพาะในกรุงเทพนะ ถ้ามาถึงแล้วต้องไป นั่นคือ วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ และวัดไตรมิตร เจอ 3 วัดเข้าไป ก็หมดวันละ เฉพาะวัดพระแก้วกับวัดโพธิ์นี่ก็แทบหมดแรงละครับ กว้างขวางแถมร้อนมากด้วยเช่นกัน แต่สำหรับชาวต่างชาติ ผมว่าคุ้มครับ กับการได้เข้าไปชมสถานที่ๆมีความสวยงามขนาดนั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจจะไปไหว้พระวัดโพธิ์ตามหัวเรื่องที่จั่วไว้ ไปทานข้าวริมแม่น้ำที่ปากคลอง ขากลับมีอันต้องผ่านวัดโพธิ์ พี่ที่ไปด้วยแกมาอยู่กรุงเทพหลายสิบปี แต่สาบานได้ว่าไม่เคยมาวัดโพธิ์เลย จึงต้องแวะพาแกไปไหว้พระสักหน่อย ถึงจะร้อนมากก็ตาม เดิมทีว่าจะข้ามไปฝั่งวัดอรุณฯด้วย แต่ดูท่าจะสู้แรงแดดไม่ไหว วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร อยู่ติดกับวัดพระแก้วชนิดรั้วเกือบติดกัน กั้นด้วยถนนเท่านั้นเอง แต่การจะเดินไปมาหาสู่กันไม่ใช่เรื่องสนุก เดินกันขาลากหัวเปียกเลยทีเดียว ประวัติวัดโพธิ์ใครใคร่รู้โดยละเอียดก็ไปหาจากอากู๋เอาเองนะครับ อัตราค่าบริการสำหรับคนไทยฟรี ต่างชาติต้องซื้อตั๋ว เอาภาพเล็กๆน้อยๆของวัดโพธิ์ในวันที่แดดแรงมาก มาให้ชมเพียงเท่านี้นะครับ แนะนำให้ไปเที่ยวชมด้วยตนเองดีกว่า ไปง่าย ถ่ายคล่อง รับรองอร่อย

น้องพฤกษ์

น้องพฤกษ์เป็นลูกชายขององอาจ เพื่อนข้างๆบ้านนี่เอง ถ้าผมมีลูก ก็จะไล่เลี่ยกันกับน้องพฤกษ์นี่แหละครับ กำลังน่ารักน่าชังน่าตี และซุกซนตามประสาเด็ก เรื่องที่เคยกังวลว่า จิ๊กกี๋จะเป็นปัญหาหรือจะรังแกน้องหรือไม่นั้น ดูจากภาพนี้คงหายกังวลครับ ปกติกี๋จะหวงบ้านมาก แต่วันนี้น้องพฤกษ์เดินต๊อกแต๊กๆ เข้าบ้าน นอกจากกี๋จะไม่เห่าแล้ว ยังเดินตามมาส่งกระดิกหางดุกดิกหมามันฉลาดครับ, มันรู้ใครมาดี ใครมาร้าย “จิตใจแม้จะซ่อนไว้ข้างใน แต่หมามันรู้ครับ“

Cafe’ Review คาเฟ่รีวิว

ความสุขใดเล่าจะเท่าความสุขจากการกิน

เรื่องสั้น

คำโกหก

น้ำไหลย้อยตามกระจกเป็นทาง ละอองน้ำทำให้เกิดไอด้านใน ชายหนุ่มกับหญิงสาวที่นั่งทอดสายตาไปด้านนอกที่มีฝนสลับกับการหันมาสบตากัน แววตาที่บ่งบอกถึงความรักเปล่งปลั่งเป็นสีชมพู ชายหนุ่มทำลายบรรยากาศความสงบนิ่ง ด้วยการใช้นิ้ววาดรูปหัวใจที่ละอองกระจก เขาวาดไว้หนึ่งดวง แล้วหันมาสบตายิ้มหวานให้ฝ่ายหญิง เธอยื่นนิ้วอันเรียวงามบรรจงวาดบ้าง เป็นรูปหัวใจอันโตกว่าดวงแรกและครอบคลุมใจดวงแรกไว้จนมิดชิด อันแสดงถึงความรักที่มีให้มากมายกว่าฝ่ายชายนัก ทั้งคู่หันมาสบตาหลังจากรูปหัวใจค่อยๆจางลง ฝ่ายชายเอื้อมมือไปกุมมือฝ่ายหญิงอย่างแผ่วเบา สายตายังคงจับจ้อง “หนิง..” “ค่ะ” “เสียงฝนตกข้างนอกคึกคะนองดังยิ่งนัก แต่ตอนนี้เสียงหัวใจพี่ มันดังกว่าหลายเท่า” ฝ่ายหญิงเอียงอาย ไม่กล้าสบตา “ทำไมหรือค่ะ” “พี่ต้องตอบด้วยเหรอ ก็หนิงเป็นคนทำให้พี่เป็นอย่างนั้น” เธอยิ่งเอียงอายสายตา ชำเลืองแลไปรอบโต๊ะ “เมื่อวานพี่ไปหาหมอมา หมอบอกว่า…” แทบไม่ทันตั้งตัว ฝ่ายชายเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน เธอใบหน้าหวาดหวั่นหันมาสบตาเขาด้วยความตกใจ นึกถึงละครหรือภาพยนตร์รัก ที่มักจบลงด้วยความพลัดพรากเมื่อรักสุกงอมเต็มที่ ถึงแม้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าจะไม่ได้ชื่อต้นอย่างในภาพยนตร์เรื่องจดหมายรัก แต่เขาก็ไม่ได้แตกต่างจากพระเอกในดวงใจคนนั้น ทั้งการเอาใจใส่ดูแลและความรักที่มอบให้ ..หรือว่า หรือว่าเขาจะเป็นมะเร็งอย่างพระเอกในหนัง ดูเขาพูดติดๆขัดๆ “หมอบอกว่า พี่เป็นโรคไต” เคร้ง..ง ช้อนบนโต๊ะตกลงกระทบพื้นเมื่อถูกมือเธอขยับไปโดนด้วยความตกใจ “แล้ว..ว พี่..เป็น .. เอ่อ” เธอตกใจจนไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้ “โรค ไตหาหัวจามอ่ะจ๊ะ” ฝ่ายชายตอบทำหน้าทะเล้น “ไตหาหัวจาม ตามหาหัวใจ พี่อ่ะ…หนิงตกใจหมดเลย” เธอเปลี่ยนสีหน้าจากหวาดหวั่นเป็นขวยเขินสีแดงเรื่ออีกครั้ง “ก็จริงๆนี่จ๊ะ ตอนนี้พี่ตามหาเจอแล้ว ไม่ต้องไปหาหมออีกแล้ว” “ทีหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะ หนิงตกใจหมดเลย” “หนิงรู้มั้ย หนิงทำให้พี่กลัวตาย” “พี่อย่าพูดเรื่องตายๆ สิ มันไม่เป็นมงคล” ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางด้านนอก ที่ยังมีเม็ดฝนโปรยปราย “อากาศช่างกว้างนัก แต่เขียนคำว่ารักยังไม่พอ” สาวเจ้าเริ่มเอียนกับคำหวาน เปลี่ยนใบหน้าจากแดงเรื่อเป็นสีหน้าธรรมดา อันเป็นความสามารถของอิสตรีที่สามารถปรับเปลียนสีหน้าได้อย่างกระทันหันราว กิ้งก่า เธอสามารถปรับสีหน้าให้ดูซีดเศร้า เมื่อต้องการบางอย่าง สามารถทำหน้าให้เป็นสีชมพู เมื่อต้องการให้ใครมาหลงใหล และปรับเป็นสีแดงดุร้าย เมื่อสิ่งที่ต้องการไม่สมหวัง “พี่เต้ วันนี้พี่แปลกๆนะค่ะ? เมื่อก่อนพี่ไม่ได้พูดกับหนิงแบบนี้สักเท่าไร” “เมื่อก่อนต่างหากที่พี่แปลก แต่ตอนนี้พี่เป็นคนเดิมแล้ว” ฝนเริ่มซาลง ขณะที่บรรยากาศในร้านหรูระดับแอร์กลับเพิ่มความเย็นขึ้น “พี่เต้ มานั่งข้างๆหนิงได้ไหม หนิงหนาว” เมื่อฝ่ายหญิงเป็นคนออกปากอนุญาต เขาจึงไม่ลังเลที่ถือโอกาสนี้ชิดใกล้ เขาโอบไหล่เธอมาซบที่อกของชายชาตรี มือประคองกอดราวกับเกรงว่าเธอจะเล็ดลอดออกจากวงแขน จมูกจรดบนเส้นผมกลิ่นหอมรัญจวน ทั้งคู่ใช้ไออุ่นแห่งความรักช่วยประคับประคองให้ผ่านความหนาว ฝ่ายหญิงหลับตาพริ้มด้วยความอบอุ่น “หนิง” ฝ่ายชายเอ่ยปากทำลายความเงียบ “ค่ะ” “หนิงรักพี่มั้ย”…

ปล้น

เวลา ๐๒.๑๓ นาที “ลุงไปคลองสาน”“ได้ครับ”“ลุงขับแท็กซี่มานานยัง? ชำนาญทางหรือเปล่า”“ยังไม่นาน แต่น่าจะพอรู้ทาง”“อืมมดี ลุงขับรถดึกๆอย่างนี้ไม่กลัวถูกจี้เหรอ”โชเฟอร์มือใหม่แต่หน้าเก่าหัวเราะในลำคอแทนคำตอบ “เออ แล้วก่อนหน้านี้ลุงทำอาชีพอะไร?”“ขับแท็กซี่”“อ่าว ลุงนี่กวนนะเนี่ยะ” เมื่อรถวิ่งไปถึงทางเปลี่ยว มืด และปลอดคน รถแท็กซี่ที่มีโชเฟอร์มือใหม่ และหนุ่มนักท่องราตรีโดยสารมาจอดลง โชเฟอร์หันหน้ามาทางผู้โดยสาร รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ก่อนตอบคำถาม“เมื่อก่อนขับแท็กซี่ แต่เดี๋ยวนี้ผมเป็นโจร”“ไม่ขำนะลุง มุขอะไรครับเนี่ยะ” หนุ่มนักเที่ยวราตรียังทำใจดีสู้เสือ“มึงเห็นหน้ากู เหมือนหม่ำ จ๊กม๊กเหรอ กูไม่ตลก หันหน้าออกไปทางโน้น ไม่งั้นมึงได้กินไอ้นี่แน่” พูดพลางจ่อวัตถุสีดำทมึนมาตรงกลางอก ๒๐ นาทีผ่านไป.. รถแท็กซี่เคลื่อนตัวไปช้้า ๆ จนหายลับตา ทิ้งหนุ่มนักท่องราตรีนอนเปลือยกายครึ่งท่อนอยู่ริมถนน ร้องไห้กระซิก เงินทองของมีค่าอยู่ครบ แต่สิ่งที่หายไป คือ พรหมจรรย์! โจรปล้นสวาท..

คนที่ฆ่าฉัน

ฉันเกิดมาท่ามกลางบ้านหลังโต ทุ่งหญ้า คนรัก ความอบอุ่น แต่เมื่อฉันเริ่มโตขึ้น ฉันเริ่มรับรู้ถึงรังษีความชิงชัง เพียงไม่รู้ว่ารังสีนี้มันมาจากไหน เพราะคนรอบข้างล้วนเป็นคนที่รัก เอ็นดูฉันยิ่ง บ้านหลังนี้ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า คุณป้าอรผู้ดูแลฉัน พี่แองจี้ เพื่อนเล่นของฉัน และน้าสมพรคนดูแลสวน ฉันชักกลัวกับความรู้สึกถึงรังษีแย่ๆนั่นอีกแล้ว มันจะทวีความรุนแรงทุกครั้งที่ฉันเล่นกับพี่แองจี้ และหัวเราะเสียงดัง ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ถึงกับต้องหันไปดู แต่สิ่งที่พบกับเป็นรอยยิ้มจากสมาชิกในครอบครัว คุณพ่อ ไม่นะ ท่านออกจะรักฉันขนาดนั้น คุณแม่ พาฉันไปเที่ยวทุกอาทิตย์ คุณย่า ถึงแม้ท่านจะรำคาญเวลาที่ฉันเสียงดัง แต่ยืนยันว่าท่านเป็นคนแก่ใจดีคนหนึ่ง คนป้าอร แม้ไม่มีเชื้อสายทางญาติกับบ้านนี้ แต่ระยะเวลาที่แกอาศัยอยู่ในบ้านคงเป็นเครื่องการันตีได้ ปีนี้เข้าปีที่ ๘ แล้ว น้าสมพร คนสวน น้อยครั้งที่แกจะขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ฉันจึงไม่รู้จักแกมากเท่าไร รอยยิ้มจากปากของแก คุณแม่บอกหายากพอๆกับความสัตย์ซื่อของนักการเมือง..นักการเมือง ใครนะ นักการเมือง พอคิดถึงชื่อนี้ทีไร ทำเอาหายใจไม่ออกทุกที คงเป็นชื่อของยักษ์ตัวใดตัวหนึ่งในนิทานก่อนนอนที่พ่อชอบเล่าให้ฟัง ฉันจะไม่ใส่ใจถึงรังสีนั่น ฉันอาจคิดไปเอง ฉันกำลังมองโลกในแง่ร้ายรึ หรือฉันชอบคิดมาก ไม่นะ ฉันชอบคิดน้อยๆ แต่ความรู้สึกนั่นมันแรงจริงๆ เมื่อความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นมากๆเข้า ฉันจึงกลัวที่จะอยู่คนเดียว และเวลาที่ฉันต้องอยู่คนเดียวมากที่สุด คือ เวลากลางวัน เพราะ.. ..คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน ..พี่แองจี้ไปเรียน ..คุณย่าแชททางอินเทอร์เนต ท่านมีความสุขกับการหลอกใครต่อใครว่าตัวเองยังเป็นสาวและสวย ..คุณป้าอรผู้ดูแลฉันมักแอบงีบตอนกลางวัน ..น้าสมพร น้าสมพรทำอะไรในตอนบ่าย ฉันไม่เคยรู้เลย ..ใช่ น้าสมพรทำอะไร แกควรจะอยู่ในสวนในเวลาเช่นนี้ วันนี้บ้านเงียบอีกแล้ว แต่ความรู้สึกถึงรังษีน่ากลัวนั่นกลับไม่มี ฉันควรจะรู้ว่าน้าสมพรอยู่ที่ไหนในเวลานี้ ฉันเดินลัดเลาะสวนหย่อมหน้าบ้าน ย่องอย่างเงียบๆ ที่นี่ไม่มีใคร เลยวกออกไปทางหลังบ้าน มีกองดินปุ๋ย พลั้ว จอบ เสียม ต้นไม้ที่ถูกเพาะพันธุ์ไว้เตรียมลงกระถางเยอะแยะมากมาย ต้นดอกไม้ถูกวางเรียงราย บางต้นบานสะพรั่งดอกโต ขณะที่บางต้นพึ่งแตกหน่อ พื้นดินยังเปียกแฉะ คาดไม่พึ่งถูกรดน้ำไปไม่นาน น้าสมพรน่าจะอยู่ละแวกนี้ ขณะที่ฉันกำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นั่นเอง ที่หน้าบ้านมีเสียงคนกดกริ่ง.. น้าสมพร ..หน้าที่เปิดประตู เป็นหน้าที่ของน้าสมพร ฉันจะคอยแอบดูว่าแกจะออกจากตรงส่วนไหนของบ้าน เมื่อเสียงกริ่งดังเป็นครั้งที่สองและครั้งที่สาม ผู้ที่ไปเปิดกลับเป็นป้าอร! น้าสมพรละ น้าสมพรไปไหน…

วันนี้ผมไม่ตอแหล

ในชีวิตประจำวันที่ซ้ำซาก ผมเลือกที่จะตื่นตอน ๖ โมงเช้า เพื่อดูข่าว และดื่มกาแฟ แดดตอนเช้ามีอะไรน่าพิศมัย ทำไมใครต่อใครอยากให้ตื่นเช้านัก ..เข้างานตอน ๙ โมง จะรีบไปทำไม ข่าวตอนเช้า มีแต่ข่าวเน่าๆ ไม่ฆ่าข่มขื่น ก็ข่าวนักการเมืองแต่งตัวดี แต่ปากเสียดสีด่าทอ มันน่าดูตรงไหน เป็นหยั่งงี้แต่ไหนแต่ไหรแล้ววว ..น่าเบื่อ นอนต่ออีกสัก ๑๕ นาทีเอง..น่าน่ะ เก้าอี้โยกหน้าระเบียง ช่างรับกับอากาศยามเช้าดีนัก หมู่นกบินสู่ท้องฟ้า พระอาทิตย์อ่อนๆ ทอประกายส่องแสง เหมือนเป็นการส่งพลังแก่สิ่งมีชีวิต ให้ลุกต่อสู้กันต่อไป ผมรับรู้ถึงพลังที่ได้รับ ร่างกายกระปรี้กระเปร่า หัวใจสูบฉีดพลังเต็มที่ พร้อมที่จะต่อสู้กับทุกปัญหาในวันนี้แล้ว.. ขอนอนต่ออีกสัก ๕ นาที อาบน้ำแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว.. ผมหยิบเสื้อผ้าที่รีดเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ ส่วมเข้าอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมจากเนื้อผ้า รัญจวนใจยิ่ง ไม่ลืมที่จะประทินผิวอีกครั้งด้วยน้ำหอมจากฝรั่งเศส คุณป้าซื้อมาฝากเมื่อเดือนที่แล้ว นอนต่ออีกสัก ๓ นาทีคงทัน ๆ สำรวจตัวเองหน้ากระจกอีกครั้ง ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผมเรียบแปร้ หน้าตาสะอาดสะอ้าน พร้อมออกไปทำงานแล้ว ห๊าาา…นี่มัน ๘ โมงครึ่งแล้วเหร๊ออ ตายห่า..า ภาวนาว่ารถอย่าติดทีเถอะ.. ตาย ๆ ๆ ..ๆ อากาศวันนี้ดีจริงๆ ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่ผมตื่นเช้า อารมณ์ดีเป็นพิเศษ รถราวิ่งดีไม่ติดขัด อย่างนี้คงไปถึงที่ทำงานเร็วกว่าปกติแน่ๆ เวลาที่เหลือเฝือขนาดนี้ ผมเลือกที่พกหนังสือไปอ่านด้วย ส่วนหนึ่งมันจะช่วยทำให้เราไม่เบื่อ และช่วยคลายเครียดได้อย่างดี โดยไม่ต้องลงทุนมากมายเลย ระยำจริงๆ วันนี้เป็นห่าอะไรว่ะ รถแม่งติดชะมัด นี่อุตส่าห์ไม่อาบน้ำ ไม่แปรงฟัน แค่กลั้วน้ำ ๒-๓ นาที แล้วฉีดน้ำหอมกลิ่นหยั่งกะฟอมาลีน เพื่อประหยัดเวลาแล้วน่ะ ..ก็ยังจะมาช้าตรงนี้อีก แดดร้อนชะมัด เหงื่อโทรมชวนให้หงุดหงิดแต่เช้า ..หงุดหงิดเว้ย หงุดหงิด ลงจากรถเมล์ พอมีเศษเงินเหลือ ผมจุนเจือขอทานที่นั่งตรงเชิงสะพานลอย สายแล้วววว​…กว่ารถจะมาถึง คนเบียดเสียดแย่งกันลงจากรถเมล์ราวกับบนรถมีระเบิดต้องรีบหนีงั้นแหละ .. ทางแคบๆขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มีคนขอทานมานั่งแย่งพื้นทีอีก ..หงุดหงิดเว้ย ผมเตะขันขอทานกระเด็นไปกลางถนน เหรียญบาท เหรียญสลึงกระจาย รถเก๋งเหยียบขันใบนั้นแตกกระจาย…

ความรักทำให้คนตาบอด

สุมาดา เธอเป็นหญิงสาวที่น่ารัก อารมณ์ดี อัธยาศัยดี ผิวพรรณดี หน้าดี แต่ตาไม่ดี เธอตาบอด สุมาดาตาบอดตั้งแต่เกิด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอเกลียดทุกอย่างในโลกนี้ เกลียดทุกคน เกลียดตัวเอง มีคนเดียวเท่านั้นที่เธอไม่เกลียด นั่นคือ แฟนของเธอ .. พานุ พานุ ผู้ชายที่มีรักแท้ และดูแลได้ เขาดูแล ให้ความรัก เฝ้าทะนุถนอมเธออย่างที่คนรักคนหนึ่งจะพึงทำแก่คนที่ตนรักอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดเอาเปรียบหรือล่วงเกินเธอเลย ด้วยเหตุนี้เอง สุมาดา จึงให้ความไว้วางใจ และมอบความรักให้อย่างไม่ลังเล เมื่อความรักก่อตัวจนสุกงอม พานุ ได้เอ่ยปากขอหญิงสาวแต่งงาน ซึ่งเธอก็มิได้ปฏิเสธ แต่เธอเพียงขอแค่ว่า ก่อนจะแต่งงานอยากเห็นหน้าตาคนที่ตนรัก คือ เธออยากมีตามองเห็นเหมือนคนอื่นทั่วไป และหลังจากนั้นเธอก็จะแต่งงานกับเขา ชายหนุ่มยินดียิ่ง การทุ่มเทความรักแล้วได้รับรักตอบ นับเป็นความสุขของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป โดยเฉพาะเขาผู้ที่ทุ่มเทความรักยิ่งสิ่งใด เขาเริ่มประกาศรับบริจาคดวงตา และแสวงหาผู้เสียชีวิตที่ได้บริจาคดวงตาไว้ก่อนตาย ความพยายามของเขาสัมฤทธิ์ผล มีคนบริจาคดวงตา และหมอก็ทำการผ่าตัดดวงตาให้หญิงสาวในเวลาต่อมา ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลังผ่าตัดเพียงเดือนเดียว หมออนุญาตให้เปิดผ้าพันแผล และลืมตาได้ในที่ๆแสงสว่างไม่จ้ามากนัก เธอผู้ที่ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นโลกใบนี้เลย และนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เห็น เธอจึงเลือกที่จะเห็นสิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุดในชีวิตเธอ นั่นคือ พานุ แฟนหนุ่ม หมอค่อยๆแกะผ้าพันแผล และเมื่อแกะผ้าพันแผลหมดสิ้นแล้ว เธอยังหลับตาอยู่ หมอจึงพาเธอมานั่งตรงหน้าพานุแฟนหนุ่ม แล้วบอกให้เธอค่อยๆลืมตาทีละนิด เมื่อเธอลืมตาและมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เธอตกใจแทบสิ้นสติ!พานุแฟนหนุ่มของเธอ .. เป็นคนตาบอด “ดาจะแต่งงานกับเราใช่มั้ย” แฟนหนุ่มเอ่ย พอตั้งสติได้ เธอจึงกล่าวอย่างยากลำบากว่า“พานุ ขอโทษนะ ดาไม่สามารถแต่งงานกับคุณได้” ถ้อยคำที่กล่าว ช่างเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความห่างไกล ไร้ความสนิทสนม ไม่เหมือนสุมาดาหญิงสาวไร้ดวงตาก่อนหน้านี้เลย น้ำตาไหลจากเบ้าที่ไร้ดวงตาของพานุ เขาร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ทวงถามสัญญาหรือเรียกร้องสิ่งใดจากหญิงสาว เขาเดินออกจากห้องนั้นไป และก่อนที่จะก้าวพ้นประตูห้อง เขาได้หันมาพูดกับเธอว่า “ดวงตาคู่นั้น ฝากเธอดูแลแทนฉันด้วย”

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

สายฝนหล่นหลั่งดั่งฟ้ารั่ว มืดสลัวเสียงฟ้าคำรามลั่น ใจเอยใจ..ใจเรายิ่งหนาวสั่น ฤๅ ฟ้ากั้นสองใจด้วยสายน้ำ ฝนตกยิ่งดึกยิ่งหนักขึ้น ชาวบ้านบางส่วนรีบรุดไปดูพืชไร่ที่สวน ด้วยเกรงว่าสายน้ำอันเชี่ยวกราดจะพัดพาไปหมดสิ้น ซึ่งถ้าเป็นดังนั้น หมายถึงปีนี้ทั้งปี นอกจากหนี้สินที่ไม่มีทางสะสางแล้ว แม้อาหารการกินในแต่ละวันล้วนเป็นไปได้ยาก เมื่อวานมีเสียงประกาศแจ้ง เตือนจากรายการทางวิทยุว่า จะมีฝนตกหนัก ชาวบ้านได้ฟังล้วนยินดี เพราะคำว่าฝนตกหนัก ไม่เคยผ่านหูเขามานานมากแล้ว เมื่อฟังว่าพระพิรุณจะมาเยือนล้วนสร้างความปรีดา น้ำท่าก็หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ รินนั่งอยู่ริมระเบียงมองไปทางด้านหน้า ซึ่งมีสายฝนหนาทึบขวางกั้นไม่ให้มองทะลุออกไปได้ถึงบ้านอีกฟากหนึ่ง ถ้าอีกสามสิบนาทีข้างหน้าฝนยังคงตกหนักเช่นนี้ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่แน่นักว่า สายฝนจะหยุดเมื่อไร และเมื่อถึงตอนนั้น อาจจะสายไปแล้ว..สายไปสำหรับการจะถามถึงสัญญากับใครงบางคน.. สัญญา มันอาจจะนานเกินไป แต่เขายังจำได้ดี “ทำไมรินถึงไม่เข้าไปเรียนในกรุงเทพ อุตส่าห์เอ็นฯติด” “ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากไปนะน้ำ ยิ่งเป็นที่เดียวกันกับน้ำด้วยแล้ว เรายินดียิ่ง แต่..น้ำก็รู้ ปีที่แล้วพ่อเราประสบอุบัติเหตุ เป็นอัมพาตเดินไม่ได้ แม่คนเดียวไม่สามารถรับภาระทุกอย่างได้ เราเป็นพี่คนโต…” “ริน..” หญิงสาวจับมือฝ่ายชายมากุมราวกับพยายามส่งพลังทั้งหมดไปให้ เมื่อเห็นน้ำเสียงเขาเริ่มสั่นเครือ “เราเห็นใจเธอนะ แต่คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้น๊ะ น้ำจะขอเป็นกำลังใจให้” “น้ำไปพรุ่งนี้แล้วใช่มั้ย..เราคงคิดถึงน้ำ” “น้ำจะกลับบ้านบ่อยๆ สัญญานะว่า ถ้าน้ำกลับมารินต้องพาน้ำไปเที่ยวน้ำตกบนยอดเขานั่น ไปเก็บดอกไม้ป่า ..” “เราสัญญา..น้ำ” “งั้นเรามาเกี่ยวก้อยกัน” ฤดูฝนปีที่แล้ว สายน้ำขาดช่วง พืชผักผลไม้ในไร่ล้วนได้รับผลกระทบ แมลงวัชพืชตัวร้ายก็กระหน่ำซ้ำเติม ที่ร้ายไปกว่านั้นน้ำตกที่อยู่บนยอดเขา น้ำแห้งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้ที่เดือดร้อนกว่าใครๆจากปัญหาดังกล่าวนี้ นอกจากชาวไร่ชาวสวนแล้ว รินเองร้อนใจยิ่ง เพราะถ้าน้ำกลับมาจากกรุงเทพ เขาจะไม่สามารถพาเธอไปเที่ยวชมน้ำตกที่สวยอย่างเมื่อก่อนได้  ซ้ำร้ายดอกไม้ที่สวยงามกับแห้งเหี่ยวตายเกือบหมด สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้น คือเฝ้าดูแลและปลูกเสริมเหล่าดอกไม้ป่าจนบานสะพรั่ง น้ำที่ไหลจากยอดเขาน้อยลง จนเกือบแห้ง เขาไม่สามารถทำอย่างไรได้ ส่วนดอกไม้ช่างเบ่งบานสวยงามขัดกับความแห้งแล้งบนยอดเขา เขาชุบชีวิตมันขึ้นมา.. แต่แล้วปีนั้น น้ำไม่ได้กลับมา.. มาปีนี้ ฝนตกตั้งแต่ต้นปี สร้างความยินดีแก่รินยิ่ง เหล่าดอกไม้ป่าสวยกว่าทุกปีที่ผ่านมา มีดอกไม้แปลกๆผุดขึ้นจากการได้น้ำฝนที่มาเร็วกว่าทุกปี รินเฝ้ารอการ กลับมาของน้ำอย่างจดจ่อ การที่เธอไม่ได้กลับมาเมื่อปีที่แล้ว ใช่ว่าเธอลืมสัญญา เธออาจยุ่งกับการเรียนมากจนไม่มีเวลา หรืออาจเพราะอากาศที่ผิดปกติเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อย่างที่กรมอุตุได้แจ้งเตือนผ่านทางวิทยุ จึงมาไม่ได้ และแล้ว..น้ำก็ กลับมา รินยังไม่ได้พบเธอ เพียงได้ยินจากญาติๆของเธอ ว่าเธอมาถึงแล้ว เมื่อบ่ายวันนี้ และเย็นนี้เขาตั้งใจจะไปหาเธอ เขาเก็บดอกไม้ป่าสารพัดจัดสรรอย่างสวยงาม เพื่อนำไปกำนัลต่อเธอ เขามองดอกไม้ช่อนั้นอย่างปีติ ละอองฝนกระเซ็นเข้ามาปลุกให้เขาตื่นจากอาการเหม่อลอย…

รักแท้..ดูแลไม่ได้

“เมื่อวาน ทำไมรับโทรศัพท์เราช้าจัง” “ตอนไหนอ่ะ” “ก็จะตอนไหนอีกล่ะ?” “ก็เมื่อวาน เพ้นโทรมาตั้งหลายครั้งอ่ะ จะเอาตอนไหนดีล่ะ” “ก็ตอนเช้าๆไง” ฝ่ายหญิงทำหน้างอน “อ้อ ตอนนั้นเราอยู่ในห้องน้ำอยู่อ่ะ ..” เมื่อเห็นฝ่ายหญิงยังไม่หายงอน ฝ่ายชายซึ่งอยู่ในเครื่องแบบนักศึกษา ถึงกับคุกเข่ากำมือฝ่ายหญิงมาแนบอก “เชื่อเราเถอะ.. ตอนนั้นอยู่ในห้องน้ำจริงๆ” “แล้ว…..ทำไรในห้องน้ำอ่ะ” “ปวดหนักอ่ะ” ฝ่ายชายตอบสีหน้าเอียงอาย แต่ฝ่ายหญิงกลับไม่เชื่อใจคำพูด “อะไรกัน เห็นเมื่อก่อน ถ่ายหนักตอนเจ็ดโมงสามสิบห้านาทีไม่ใช่เหรอ เมื่อวานเพ้นโทรไปตอนแปดโมงน๊ะ” “เราท้องเสีย..” “จะท้องเสียทำไมไม่โทรมาบอกเพ้นก่อน หรือไม่ก็เอาโทรศัพท์เข้าไปในห้องน้ำด้วย” “ก็…” ฝ่ายชายรู้สึกเริ่มไม่สบอารมณ์กับความไม่มีเหตุผลของเธอ หากเธอไม่สวยน่ารักและกระเป๋าหนัก เขาคงไม่ลงทุนขนาดนี้ “ก็..เรากลัวเพ้นจะเหม็นอ่ะ” ตอบไปกึ่งมุขกึ่งจริงจัง “บ้า..ปุงไม่เหม็น เพ้นก็ไม่เหม็นเหมือนกัน ลืมแล้วเหรอ..” “ลืมอะไร” ฝ่ายชายทำหน้าเหรอหรา “ก็เรามีแต่กันและกัน ปุงมีอะไร เพ้นก็รับได้หมดแหละ” “ตกลง ไม่โกรธเราแล้วใช่ป่ะ?” “ไม่..ต้องหอมแก้มทีหนึ่งก่อน” “ตอนนี้เลยเหรอ?” “อือ” “นี่มัน..คนเยอะน่ะ” “ไม่กล้าเหรอ งั้น..” “โอ่ๆๆ กล้าจ๊ะ กล้า..” “งั้น..อ่ะ” ฝ่ายหญิงหลับตา บุ้ยแก้มมายังฝ่ายชาย หันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมอง จึงหอมที่แก้มของเธอเบาๆ อย่างรวดเร็ว “หอมมั้ย” ฝ่ายหญิงถาม “อือ..หอม” “อยากหอมอีกมั้ย” “อยาก แต่แค่นี้ก่อนดีกว่าน่ะ” “ตอนเย็นอย่าลืมมารับด้วยน๊ะ” “จ๊ะ นี่มันบ่ายโมงกว่าแล้วน่ะ เดี๋ยวครูก็ดุเอาหรอก เข้าห้องเรียนสาย” “ช่างปะไร บ่ายวิชาคณิต น่าเบื่อจะตาย สั่งแต่การบ้าน ไม่เห็นจะสอนอะไรเลย” “เอาเถอะน่ะ ถ้าตอนมัธยมพื้นไม่ดี ขึ้นมหาลัยจะลำบากนะ” “อือ งั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพักชั่วโมงเพ้นจะโทรไปหานะ” “จ๊ะ” “บ๊าย บาย” “บาย” เมื่อหญิงสาวที่พึ่งเปลี่ยนสภาพจากเด็กหญิงเป็นนางสาวได้ไม่ถึงปีเดินพ้นสายตาไปแล้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น “จ้า หนิง” “กำลังไปจ๊ะ พอดีพึ่งเอารายงานไปเข้าเล่มอ่ะจ๊ะ” “เช็คชื่อให้ด้วยนะ คงเข้าเลทอ่ะ” “คิดถึงจ๊ะ คิดถึง ก็มัวยุ่งๆ เลยไม่ได้ไปหาอ่ะ แต่ก็เดี๋ยวเจอกัน” “อือๆ…

จ่าฝูง

ลูกแพะอ้อยอิ๋งยืนเลียแผลให้แพะผู้แม่ ซึ่งนอนหายใจรวยริน สีหน้าบ่งถึงความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เกินการคาดคิด ขณะที่ทุกคนหลับสนิท สุนัขจรจัดตัวหนึ่งเตร็ดเตร่ตามทางเล็กๆมา กระทั่งถึงบ้านเธอ กลิ่นสิ่งมีชีวิตเชื้อเชิญให้มันกระโจนข้ามรั้วเข้ามา ด้วยความเหนื่อยล้าจากเมื่อกลางวัน ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงผู้บุกรุก เธอรู้สึกตัวอีกที เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่น่องขาซ้าย เมื่อลืมตาขึ้น เธอหวีดร้องสุดขีด สุนัขจรจัดพยายามลากเธอออกไปด้านนอก โชคยังดี เสียงที่หวีดร้องของเธอไม่ไร้ผลเสียทีเดียว ฝูงแพะหลายสิบตัวแตกตื่นด้วยเสียงนั้น วิ่งออกมาจากที่พัก แม้ไม่มีอาวุธคือเขี้ยวอันแหลมคมอย่างสุนัข และถึงแม้มีเขาอันแข็งแกร่ง แต่ด้วยพื้นฐานเป็นผู้ที่ไม่นิยมความรุนแรง หมู่แพะเหล่านั้น จึงได้แค่กระโจนไปข้างหน้าขู่สุนัขให้ล่าถอยไป ผลจากการจู่โจมของสุนัขจรจรไร้หัวนอนปลายเท้าครั้งนี้ ทำให้แม่แพะบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดเดินไม่ได้ ผู้ที่รับภาระจึงตกมาแก่แพะผู้ลูกวัย ๑ ขวบเศษ ทุกๆเช้าแพะผู้ลูกจะลัดเลาะตามชายทุ่ง หลังจากกินหญ้าจนพอแล้ว ก็เลือกเด็ดยอดหญ้าอ่อนๆคาบไปฝากแม่แพะด้วย และทุกวัน ลูกแพะจะเฝ้าดูแลเลียแผลให้แพะผู้แม่อยู่ไม่ห่าง วันแล้ววันเล่าลูกแพะยังคงปฏิบัติเช่นเดิม แม่แพะเองก็มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น แผลหายดีเกือบปกติ แต่ยังไม่สามารถยืน เดิน วิ่งได้เหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่เคราะห์กรรมของแพะแม่ลูกดูเหมือนยังไม่หมดสิ้น วันนั้นท้องฟ้ามืดครื้ม ฝนทำท่าจะตก แต่แม่แพะยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย แม้เวลาจะล่วงเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ทุกวันลูกแพะจะกลับมาก่อนเที่ยง ดูแลแม่ และจะออกไปอีกทีเมื่อบ่ายคล้อย ยิ่งคิดยิ่งเป็นห่วง แม่แพะนอนชะเง้อดูต้นทางลูกอย่างห่วงใย ซึ่งเธอสามารถทำได้แค่นั้น เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนเข้าสู่เวลาเย็นย่ำ ความมืดเริ่มปกคลุมทั้วพื้นที่ โชคยังดีที่แม่แพะยังมีน้ำให้ประทังหิว แต่เวลานี้ความหิวไม่อาจเทียบได้กับความเป็นห่วงลูก เธอเริ่มร้องหาลูก การร้องในเวลาค่ำคืนนับเป็นการฝืนกฏ เพราะนั่นจะเป็นการนำพาอันตรายมาสู่ตัวเอง แต่เธอเลือกที่จะทำโดยไม่เกรงกลัวอันตราย และการกระทำของเธอในครั้งนี้นับเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด ฝูงสุนัขป่าไม่ต่ำกว่า ๕ ตัวเดินมาตามเสียงนั้น และปรากฏตัวรายล้อมแม่แพะ เธอตื่นตระหนกกับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาล แต่กระนั้นยังข่มความกลัวไว้ ยังคงร้องเรียกหาลูกแพะอยู่อย่างนั้น ครั้งนี้ฝูงแพะตัวอื่นๆ ไม่มีเหมือนครั้งก่อนนั่นแล้ว เพราะตั้งแต่เธอเดินไม่ได้ ฝูงแพะซึ่งมีการเปลี่ยนที่หากินอยู่ตลอดเวลา ก็ได้เคลื่อนฝูงไป ทิ้งแม่แพะกับลูกไว้เพียงลำพัง ลูกไปไหน..มาช่วยแม่ทีเถอะลูกเอย ย ย ..ย สิ้นเสียงร้องครั้งสุดท้าย สุนัขป่าจ่าฝูงก็ย่างกรายเข้าใกล้ สายตามันจับจ้องที่แม่แพะแล้วเงยหน้าขึ้นท้องฟ้า คำรามกึกก้องทั้วป่า เสียงเกรี้ยวกราดน่ายำเกรง มันเขยิบตัวเข้าใกล้แม่แพะยิ่งขึ้น แยกเขี้ยวหมายขย้ำเข้าที่แผลเก่าของแม่แพะ เพื่อหวังฉีกเนื้อให้ขาดกระเซ็น แม่แพะหลับตาพริ้มนึกปลงถึงโชคชะตา สิ่งที่เธอหวังในใจตอนนี้ เพียงหวังให้ลูกชายปลอดภัย และอย่าได้มาในขณะนี้ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตที่ต้องถูกสังเวยอีกเช่นกัน และแล้ว..แม่แพะกลับรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แทนความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวของสุนัขป่าจ่าฝูง เธอกลับได้ลิ้มรสถึงสัมผัสอันสบายที่คุ้นเคย เธอลืมตาขึ้น ร้องด้ วยความดีใจ ลูกก ก…

เฟะ !

คืนนี้ไม่รู้จะได้เงินพอกับค่าเช่ารถหรือเปล่า รถแท็กซี่เดี๋ยวนี้ ถ้าคันเก่าก็ไม่มีคนโบก ถ้าคันใหม่หน่อยค่าเช่าก็แพงเหลือเกิน วันหนึ่งต้องวิ่งรถให้ได้อย่างต่ำ ๒ พันบาท ถึงจะมีเหลือจุนเจือลูกๆ ค่าเช่ารถแปดร้อย ค่าแก๊สสองถึงสามร้อย ค่าเทอมลูก ค่ากับข้าว ดึกๆคึกคะนองค่าพาน้องหนูขึ้นห้องอีก ฯลฯ ..เฮ้อ เอี้ยดดด..ด “ไอ้สัตว์! จะรีบไปตายรึไงว่ะ” เขาไขกระจกออกไปตะโกนด่ามอเตอร์ไซค์ที่ขับปาดหน้าไป เฮ้อ..สงสัยต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางอย่าง ค่าเทอมลูก ค่ากับข้าว ค่าพาน้องหนูขึ้นห้อง สามอย่างนี้จะลดอันไหนดีหว่า ตอนนี้คิดไม่ออกไม่เป็นไร ค่ำคืนนี้อีกยาวนานนัก ขับรถแท็กซี่หาผู้โดยสารสักพักคงคิดได้ ยามค่ำคืนรถราเริ่มน้อยลง หมู่นักเที่ยวหญิงชายทั้งอายุเกิน ๑๘ และต่ำกว่า ต่างแต่งหน้าทาปากตะแล่นสู่สถานที่เริงรมย์ ราวแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ผู้โดยสารรายแรกของค่ำคืนนี้กำลังกวักมือเรียกไวไวนั่นแล้ว“ไปรัชดาพี่” เขาพยักหน้า ผู้โดยสารเป็นนักศึกษาหญิง ๔ คน ดูจากรูปร่างหน้าตาน่าจะเกิน ๒๐“วันนี้อาจารย์แม่งงี่เง่า รู้ก็รู้วันนี้วันศุกร์ ยังลากให้ทำโน่นทำนี่กว่าจะปล่อย” สาวผมตั้งหน้าขาวพูดทำลายความเงียบ“จะไปเที่ยว มึงจะพูดเรื่องเรียนหาห่าอะไรวะ” สาวสายเดี่ยวตัดบทหญิงสาวที่นั่งด้านหน้ารู้สึกคันปากจึงหันไปพูดบ้าง “ว่าแต่แกนัดพวกไอ้โจ๊กยังว่าไปเจอกันที่ไหน เดี๋ยวแม่งไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าหรอก”“มึงกลัวไอ้ต้นไม่มาด้วยละซี มันมาอยู่แล้วน่า มึงกลัวคืนนี้ไม่มีคนนอนกกละซี ฮ่ะ ฮะ ฮ่าาา” สาวผมตั้งหน้าขาวหัวเราะอารมณ์ดี ขณะที่อีกฝ่ายหน้าแดง แต่แววตาเคลิบเคลิ้ม รถแท็กซี่วิ่งตรงไปยังเป้าหมาย เขายังคงขับรถอย่างสงบเงี่ยม หลายครั้งที่เขารับเด็กสาวในยามค่ำคืน เมื่อได้พูดคุยจึงได้รู้ว่า เธอกำลังไปหาเงินกลางคืน นั่นคือ ไปขายบริการ เขาจึงไม่รอช้าที่จะเลียบเคียงขอซื้อบริการในราคาพิเศษ และบ่อยครั้งที่หญิงสาวมีเงินไม่พอค่าแท็กซี่ เรือนร่างจึงเป็นค่าตอบแทนค่าแท็กซี่ไป เพียงไม่กี่แยกไฟแดงก็ถึงที่หมาย สาวเซ็กซี่ใส่เกาะอกหลังจากเงียบอยู่นาน จึงเอ่ยขึ้นบ้าง“พวกมึงเอาบัตรประชาชนปลอมมาด้วยป่าว ขืนลืมเอามาได้อดแดกกันหมด”“ไม่ลืมหรอกน่า ไอ้พวกตรวจมันก็ไม่ได้กวดขันอะไรมากมายหรอก มันอยากให้เข้าร้านมันจะตายไป” “ตายห่า..เด็กพวกนี้อายุยังไม่ถึง ๑๘ ริอาจเที่ยวซะแล้ว” เขารำพึงในใจ “เฮ้ย พวกแก เงียบๆหน่อย แม่กูโทรมา” หญิงสาวสายเดี่ยวตะโกนบอกเพื่อน“ฮัลโหล ค่ะ คุณแม่…….ค่ะ อยู่บ้านเพื่อนค่ะ ทำรายงานกลุ่มกันอ่ะคะ คงไม่ได้กลับบ้านนะค่ะคืนนี้ บ้านเพื่อนๆ ๆ ค่ะ หนูก็รักแม่ค่ะ สวัสดีค่าาาา” “ตอแหล” เขาสบถเบาๆ “มึงนี่หลอกแม่เนียนจริงๆ เห็นหน้าใสซื่ออย่างนี้ ใครจะรู้”“แจน แกไม่โทรไปบอกพ่อแม่แกหน่อยหรอ บอกว่าทำรายงานก็ได้ เขาคงเชื่ออยู่หรอก”“พวกเขาไม่สนใจว่ากูจะอยู่ไหนอยู่แล้ว โทรเปลืองตังค์เปล่า ๆ”…

BLOG I FOUND

เรื่องราวที่พบที่เจอมาระหว่างทาง