ทะเลาะ..ทำไม

สายน้ำไหลเลาะเซาะซอกเขาใหญ่น้อย รวมกันเป็นสายน้ำใหญ่ไหลลงมาล่อเลี้ยงชาวเมืองใหญ่ถึงสองเมือง แม่น้ำนี้จึงเปรียบดั่งชีวิตและจิตใจ คราใดที่ขาดน้ำผู้คนดุจจะสิ้นใจ คราวใดที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็เปรมปรีด์มีความสุข แม่น้ำสายนี้จึงเปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ล่อเลี้ยงสองเมือง คือ เมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะตลอดมา

แม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่าแม่น้ำโรหิณี

เมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นเมืองของบิดาของพระพุทธเจ้าของพวกเราตั้งอยูทางเหนือแม่น้ำ ส่วนเมืองเทวทหะซึ่งเป็นเมืองของมารดาของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำ  ทั้งสองเมืองเปรียบเหมือนเป็นเมืองพี่เมืองน้อง เป็นเมืองที่เป็นญาติถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และเป็นเช่นนี้มานานนับปี จนกระทั่งมาปีหนึ่งซึ่งน้ำในแม่น้ำน้อยลง แม่น้ำซึ่งทั้งสองเมืองยืดถือเป็นลมหายใจ ดุจจะลองใจคนทั้งสองเมืองให้สำนึกในบุญคุณ

ว่ากันว่า ถ้าจะดูใจคนให้ดูในตอนที่เกิดเรื่อง เพราะในตอนนั้นธาตุแท้ของคนก็จะออกมาให้เราประจักษ์
ทั้งสองเมืองมีอาชีพทำนาเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อขาดน้ำก็เหมือนขาดข้าวไปด้วย

เมืองที่อยู่ทางเหนือแม่น้ำ เริ่มแสดงความเป็นคนใจแคบโดยการกั้นน้ำไว้ ทดน้ำเข้านาของตน เมืองที่อยู่ทางใต้น้ำเกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติ จึงจำเป็นต้องมาเจรจากันระหว่างสองเมือง การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีทีท่าเหมือนมาเจรจากันเลย เพราะทั้งสองเมืองได้ยกทัพมาประจันหน้า ณ แม่น้ำโรหิณี ความเป็นเมืองที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปันกันในฐานะเมืองพี่เมืองน้อง เมืองญาติกันไม่เหลืออีกต่อไป

 

พระพุทธองค์ทรงเห็นถึงภัยร้ายแรงนี้ จึงเสด็จรุดไปในวันนั้น ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้งสองเมือง พระองค์ทรงประทับยืนกลางแดด จนพระญาติทูลถามว่า “ไยพระองค์ถึงเสด็จยืนท่ามกลางแดดที่ร้อน” พระองค์ตรัสว่า “ถึงแดดจะร้อน แต่ร่มเงาของพระญาตินั้นเย็นกว่าร่มเงาใต้ต้นไม้นัก”
เมื่อเห็นพระญาติทั้งสองฝ่ายเงียบ จึงตรัสถามต่อไปว่า  “มหาบพิตรทั้งสอง ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร”

“เรื่องน้ำพระพุทธเจ้าข้า”
“ระหว่างน้ำกับชีวิตคนนี่อย่างไหนจะมีค่ามากกว่ากัน” พระองค์ตรัสถาม
 “ชีวิตคนมากกว่า  พระพุทธเจ้าข้า”
 “ควรแล้วหรือที่ทำอย่างนี้”
  พระญาติดุษณีภาพทุกคน   ไม่มีใครกราบทูลเลย
  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า      “ถ้าเราตถาคตไม่มาที่นี่วันนี้  ทะเลเลือดจะไหลนองดุจสายน้ำ”
 
  เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พระญาติทั้งสองเมืองได้สติ และไม่รบราฆ่าฟันกันในวันนั้น


  
  วันนี้ยกพระพุทธประวัติบางส่วนมาเล่า เพราะเดี๋ยวนี้เกิดเรื่องทะเลาะ ขัดแย้งกันเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะทะเลาะกับเพื่อน แฟน ทะเลาะกับคนข้างบ้าน ทะเลาะกับคนที่ไม่รู้จักบนท้องถนนที่เราเห็นว่าเขาขับรถไร้มารยาท(แต่เราก็เคยทำแบบนั้นในวันที่รีบ) ทะเลาะกับแท็กซี่ ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ทะเลาะกับเจ้านาย ทะเลาะกับพี่น้อง ทะเลาะกับญาติ ทะเลาะกับคนข้างประเทศ ฯลฯ
 
  การทะเลาะกันเกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างมองว่าอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง และฝ่ายเราถูกเอาเปรียบ
  การทะเลาะยอดฮิต ก็คือ ทะเลาะด้วยเรื่องผลประโยชน์ ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้มักจบไม่สวยและลุกลามใหญ่โตกลายเป็นทะเลาะเรื่องอื่นๆ สาวไส้มาทะเลาะมาเกลียด จนลืมต้นเค้าว่าเดิมเราทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร
 
  รองลงทะเลาะกันด้วยเข้าใจผิด เห็นแฟนคุยโทรศัพท์นาน ก็เข้าใจว่าเขาคุยกับกิ๊ก ได้ยินคนโน้นบอกว่า เพื่อนของเราคนนี้นินทาเราอย่างนั้น ก็โกรธเพื่อน เชื่อคนอื่นมากกว่าเพื่อน  เห็นคนอื่นขับรถปาดหน้า โกรธอยากลงไปด่า ไปฆ่าซะได้ก็ดี โดยที่ไม่พยายามเข้าใจเลยว่า เขาคนนั้นที่ทำอย่างนั้น อาจเพราะ..ลูกป่วยอยู่รพ. แม่ไม่สบาย เจ้านายขู่จะไล่ออกถ้าไปสาย 1 นาที หรืออาจปวดขี้จนบ้าเลือด(ขี้ขึ้นหัว) และอีกเยอะแยะมากมาย
 
  ยอมได้ก็ยอมกันบ้างเถอะ ใช้ชีวิตให้ช้าลงสักนิด จะได้มีสติ รู้จักคิด รู้จักให้อภัย
  อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเตือนพระญาติ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตคน
 
  ก่อนจะอ้าปากทะเลาะเพาะ(เพาะ แปลว่า ปลูก บ่มเพาะ)ความโกรธ ลองถามสติซึ่งถูกความโกรธเหยียบอยู่ว่า มันมีผลดี ผลร้ายอย่างไรมั้ย หากคำว่า ไอ้เหี้ย ไอ้ห่า ไอ้สัตว์ ไอ้เลว ไอ้เป็ด ไอ้แพนด้า ฯลฯ หลุดออกจากปากเราไปแล้วนั้น จะมีผลดีมากกว่าผลเสียมั้ย เราสะใจแล้วได้อะไร เราโกรธคนเดียวไม่พอ ยังจะชวนคนอื่นมาโกรธกับเราอีก  อะไรที่พูด ที่ทำไปแล้วเดือดร้อนในภายหลัง นับเป็นสิ่งไม่ดีทั้งนั้น เรากำลังจะทำในสิ่งไม่ดีเหรอ…ทำทำไม ชีวิตเราสั้นนิดเดียว จะมาเสียเวลาทะเลาะ เสียเวลาโกรธ เสียเวลาง้องอนกันทำไม เอาเวลาไปหาความสุข ทำบุญ ทำประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ?
 
  ถ้าสติมา..ปัญหาก็ไป
  ถ้ายังหาสติไม่เจอ ก็ต้องเริ่มหากันตั้งแต่วันนี้ หายังไง หาที่ไหน?
 
  นั่งด้วยท่าที่สบาย แล้วหลับตา กำหนดใจให้นิ่ง ไม่ให้คิดเรื่องอื่น ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งจะสงบได้ แล้วสติก็จะมาให้เห็น