หนีความวุ่นวาย..ไปบ้านไร่โอโซน

หลังสงกรานต์มา นอกจากทริปสั้นๆ แบบไปเช้าเย็นกลับแล้ว ผมยังไม่มีทริปไปเที่ยวแบบพักยาวๆ หรืออย่างน้อยได้ค้างสักคืนเลย อาทิตย์นี้เลยเข้าสู่ห้องBlueplanet แหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่และได้ประสิทธิภาพที่สุดในโลกไซเบอร์

ได้ความมาว่า หน้านี้ต้องไป ภูเขา ลำเนาไพร เพราะกำลังเขียวชะอุ่มได้ที่..ผมคิดถึงสวนผึ้ง ราชบุรี ป่าเขียวขจี รีสอร์ทแบบบูติก น่ารักๆ มีแกะกระโดดข้ามรั้วฯลฯ หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาทันที !!

รีสอร์ทดีๆ เด็ดๆของสวนผึ้งถูกจับจองไปหมดแล้ว บางแห่ง เช่นเซนเนอรี่ , อ้อมกอดขุนเขา หรือ นากาย่า ถูกจองข้ามปีไปถึงปีหน้าโน่นแล้ว แอบเสียใจเล็กๆ แต่ไม่สิ้นหวัง สถานที่ๆให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน แต่อยู่กันคนละที่ นั่นคือ เขาใหญ่ ~

เนื่องจากเขาใหญ่ไปบ่อยแล้ว งานนี้เลยแฉล่บจากเขาใหญ่ไปหน่อย ผมจะไปวังน้ำเขียว !!!!!!!!

วังน้ำเขียวมีอาณาเขตติดกันกับเขาใหญ่ ดังนั้น บรรยากาศจึงไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่า เราไม่ต้องขึ้นไปบนเขาใหญ่ เราจะอยู่ริมเขา ลัดเลาะเลี้ยวสู่เขาเขียวในทันใด

การเดินทางไปวังน้ำเขียว ก็ไปทางเดียวกับเขาใหญ่นั่นแหละครับ แต่ก่อนจะถึงด่านเก็บตั๋วขึ้นเขาใหญ่ เราแฉล่บไปทางซ้ายแทน มีป้ายบอกชัดเจน ไปวังน้ำเขียว บรรยากาศข้างทางสวยมากครับ เขียว สดชื่น

ก่อนจะไปวังน้ำเขียวก็เป็นธรรมดา(ไปแล้ว) ของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย ว่าต้องแวะถ่ายรูปกันที่นี่ซะก่อน ร้านกาแฟ และขนมชื่อดังของเขาใหญ่เขาละ Primo Posto

ระหว่างทางบรรยากาศดีมากครับ แว่บไปเห็นยอดเจดีย์กลางหุบเขา เลยหาทางเข้าไปจนเจอ พบว่าเป็นวัดสร้างใหม่ครับ เจดีย์ตั้งตระหง่านมาก ในอนาคตอันใกล้แสนใกล้นี้ น่าจะเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่คนต้องแวะไปกราบไหว้ (ขออภัย ผมจำชื่อวัดไม่ได้ ดูภาพแทนละกันนะครับ)

ขณะที่ไปถึง ฟ้ากำลังปั่นป่วนครับ เริ่มจะเปลี่ยนจากฟ้าใสเป็นฟ้าสีดำ ท่าทางฝนจะตก

ออกจากวัดดังกล่าว ก็ตรงดิ่งไปยังวังน้ำเขียวอันเป็นเป้าหมายสักที.. ~

ผมจะไปพักที่รีสอร์ท บ้านไร่โอโซน เป็นรีสอร์ทที่อยู่ไกลที่สุดของบรรดารีสอร์ทในวังน้ำเขียว ตั้งอยู่ในหมู่บ้านไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว งานนี้ผิดพลาดไปนิ๊ดนึงตรงที่ว่า วังน้ำเขียว ถ้าอยู่ทางฝั่งของเขาใหญ่ ถนนหนทางจะดีเลิศประเสริฐศรีมากครับ แต่ถ้าหากข้ามถนนอีกฟากไปยังหมู่บ้านไทยสามัคคีที่ผมกำลังจะไปนี้ ถนนหนทาง นรกมากครับ เป็นหลุมเป็นบ่อเรากับอยู่บนดวงจันทร์ งานนี้่ต้องขับรถราวกับเต่าคลาน ขับรถไปก็สงสารรถไป ด้วยรถเป็นแจ๊สสีชมพูหวานแหวว (เกิดมามันคงพึ่งเคยเจอกับสภาพที่เลวร้ายขนาดนี้ -_-“)

แต่บรรยากาศรีสอร์ทก็ทำให้หายเหนื่อยได้ครับ เป็นส่วนตัว สงบ สะอาด และสดชื่นยิ่งนัก งานนี้ได้ชาร์จพลังพอสมควร (ผมไม่ค่อยได้ถ่ายภาพรีสอร์ทเท่าไร อยากดูภาพก็คลิกไปดูที่เว็บเขาได้เลยครับ คลิกที่นี่นะ)

เนื่องจากเป็นรีสอร์ทที่อยุ่กลางหุบเขา พอตกเย็นรีสอร์ทไม่มีอาหารให้ ไม่มีแม้แต่อาหารขาย เลยต้องนั่งรถออกมาหาอะไรทานในยามค่ำคืน (นี่คืออีกหนึ่งข้อเสียนอกจากถนนที่ไม่เป็นมิตรกับรถ)

กลางคืนอากาศดีครับ หน้าบ้านที่พักมีตุ๊กแกขนาดหนึ่งฝ่ามือผู้ใหญ่เป็นเวรยามให้

เช้าวันอาทิตย์ ต้องกลับแล้วครับ..ที่นี่เขามีอาหารเช้าให้ครับ เป็นข้าวต้มที่ดารดาษด้วยเห็ด อร่อยดีทีเดียว ขากลับแวะตลอดทาง ตรงไหนสวย ตรงไหนดี เป็นต้องชะแว่บเข้าไปเยี่ยมชม และที่นี่ก็เป็นอีกที่ๆเราแวะครับ .. ศูนย์เพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ไร่แผงม้า ออคิด ที่นี่ กล้วยไม้ราคาถูกมาก คุณภาพดี เพราะเขาเพาะเอง เลี้ยงเอง ปลูกเอง ขายเอง คนดูแลใจดี๊ดี ให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับกล้วยไม้เยอะแยะมาก

ขับรถมาทางเดิม ผ่านร้าน primo posto แต่เราไม่เข้า เลยไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร จะเจออีกร้านหนึ่ง แนวๆ primo  แต่ยังไม่สวยเท่า มีแนวเป็นของตัวเอง แวะเข้าไปกินกาแฟ และสปาเก็ตตี้ แอบชะแว่บถ่ายรูปมาหน่อยหนึ่ง วิวยังสู้ primo ไม่ได้ และคนยังน้อยกว่ามากนัก ..แต่อากาศไม่แพ้กันเลย

กลับถึงบ้าน ตอนประมาณ 5 โมง ยังเหนื่อยไม่พอครับ ตีตั๋วดูบุปผาราตรี 3.2 ต่อ เอากันเข้าไปให้ตายกันไปข้างเลยงานนนี้..

ทริปสั้นๆ แต่มันส์ดีครับ