คนที่ฆ่าฉัน

bk14.jpg

ฉันเกิดมาท่ามกลางบ้านหลังโต ทุ่งหญ้า คนรัก ความอบอุ่น
แต่เมื่อฉันเริ่มโตขึ้น ฉันเริ่มรับรู้ถึงรังษีความชิงชัง เพียงไม่รู้ว่ารังสีนี้มันมาจากไหน เพราะคนรอบข้างล้วนเป็นคนที่รัก เอ็นดูฉันยิ่ง

บ้านหลังนี้ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า คุณป้าอรผู้ดูแลฉัน พี่แองจี้ เพื่อนเล่นของฉัน และน้าสมพรคนดูแลสวน

ฉันชักกลัวกับความรู้สึกถึงรังษีแย่ๆนั่นอีกแล้ว มันจะทวีความรุนแรงทุกครั้งที่ฉันเล่นกับพี่แองจี้ และหัวเราะเสียงดัง ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ถึงกับต้องหันไปดู แต่สิ่งที่พบกับเป็นรอยยิ้มจากสมาชิกในครอบครัว

คุณพ่อ ไม่นะ ท่านออกจะรักฉันขนาดนั้น
คุณแม่ พาฉันไปเที่ยวทุกอาทิตย์
คุณย่า ถึงแม้ท่านจะรำคาญเวลาที่ฉันเสียงดัง แต่ยืนยันว่าท่านเป็นคนแก่ใจดีคนหนึ่ง
คนป้าอร แม้ไม่มีเชื้อสายทางญาติกับบ้านนี้ แต่ระยะเวลาที่แกอาศัยอยู่ในบ้านคงเป็นเครื่องการันตีได้ ปีนี้เข้าปีที่ ๘ แล้ว
น้าสมพร คนสวน น้อยครั้งที่แกจะขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ฉันจึงไม่รู้จักแกมากเท่าไร รอยยิ้มจากปากของแก คุณแม่บอกหายากพอๆกับความสัตย์ซื่อของนักการเมือง..นักการเมือง ใครนะ นักการเมือง พอคิดถึงชื่อนี้ทีไร ทำเอาหายใจไม่ออกทุกที คงเป็นชื่อของยักษ์ตัวใดตัวหนึ่งในนิทานก่อนนอนที่พ่อชอบเล่าให้ฟัง

ฉันจะไม่ใส่ใจถึงรังสีนั่น ฉันอาจคิดไปเอง
ฉันกำลังมองโลกในแง่ร้ายรึ หรือฉันชอบคิดมาก ไม่นะ ฉันชอบคิดน้อยๆ แต่ความรู้สึกนั่นมันแรงจริงๆ

เมื่อความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นมากๆเข้า ฉันจึงกลัวที่จะอยู่คนเดียว และเวลาที่ฉันต้องอยู่คนเดียวมากที่สุด คือ เวลากลางวัน เพราะ..
..คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน
..พี่แองจี้ไปเรียน
..คุณย่าแชททางอินเทอร์เนต ท่านมีความสุขกับการหลอกใครต่อใครว่าตัวเองยังเป็นสาวและสวย
..คุณป้าอรผู้ดูแลฉันมักแอบงีบตอนกลางวัน
..น้าสมพร น้าสมพรทำอะไรในตอนบ่าย ฉันไม่เคยรู้เลย ..ใช่ น้าสมพรทำอะไร แกควรจะอยู่ในสวนในเวลาเช่นนี้ วันนี้บ้านเงียบอีกแล้ว แต่ความรู้สึกถึงรังษีน่ากลัวนั่นกลับไม่มี ฉันควรจะรู้ว่าน้าสมพรอยู่ที่ไหนในเวลานี้

ฉันเดินลัดเลาะสวนหย่อมหน้าบ้าน ย่องอย่างเงียบๆ ที่นี่ไม่มีใคร เลยวกออกไปทางหลังบ้าน มีกองดินปุ๋ย พลั้ว จอบ เสียม ต้นไม้ที่ถูกเพาะพันธุ์ไว้เตรียมลงกระถางเยอะแยะมากมาย ต้นดอกไม้ถูกวางเรียงราย บางต้นบานสะพรั่งดอกโต ขณะที่บางต้นพึ่งแตกหน่อ พื้นดินยังเปียกแฉะ คาดไม่พึ่งถูกรดน้ำไปไม่นาน น้าสมพรน่าจะอยู่ละแวกนี้ ขณะที่ฉันกำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นั่นเอง ที่หน้าบ้านมีเสียงคนกดกริ่ง..

น้าสมพร ..หน้าที่เปิดประตู เป็นหน้าที่ของน้าสมพร ฉันจะคอยแอบดูว่าแกจะออกจากตรงส่วนไหนของบ้าน

เมื่อเสียงกริ่งดังเป็นครั้งที่สองและครั้งที่สาม ผู้ที่ไปเปิดกลับเป็นป้าอร!
น้าสมพรละ น้าสมพรไปไหน
พอรถเลี้ยวเข้ามาในบ้าน ฉันจึงร้องอ๋อ.. น้าสมพรเป็นคนขับรถ และผู้ที่นั่งอยู่เบาะหลังคือพี่แองจี้
วันนี้โรงเรียนเลิกเร็วกว่าปกติ คงมีรายการพิเศษที่โรงเรียน

พอรถเข้ามาในบ้าน ฉันเริ่มรับรู้ถึงรังษีอันน่ากลัวนั่น..

พ่อกับแม่ลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู เมื่อฉันเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ฉันไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟังถึงความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ เพราะฉันไม่แน่ใจว่า รังษีน่ากลัวนั้นอาจจะออกมาจากคนที่ฉันกำลังเล่าให้ฟัง

ตอนเย็นฝนตกพร่ำๆ บรรยากาศหนาวๆอย่างนี้ หลังอาหารค่ำ คุณแม่จึงแนะนำให้คุณย่ารีบเข้านอนแต่หัววัน กลัวอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยจะทำให้เป็นหวัด คุณย่าเข้าห้องนอนอย่างว่าง่าย พร้อมเหน็บโน๊ตบุ๊คเข้าไปด้วย

ฉันเกลียดอากาศแบบนี้ เพราะความรู้สึกอันน่ากลัวมันทวีขึ้น ชัดเจนขึ้น มันแผ่ไปทั่วบ้านจนฉันนอนไม่หลับ และเมื่อเวลาสี่ทุ่มสิ่งที่ทำให้ฉันแทบช็อกก็เกิดขึ้น ไฟดับ!

คุณย่าที่เข้านอนตั้งแต่หนึ่งทุ่มโวยวายออกจากห้องก่อนใคร ห้องท่านปิดไฟนอนเงียบ แต่ท่านรู้ว่าไฟดับ
คุณพ่อคุณแม่จุดเทียน ทำให้สว่างขึ้นมาบ้าง ถึงแม้จะกลัวความมืดแต่เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเดินเพ่นพ่าน ฉันยังนอนตาแป๋วบนที่นอน ได้แต่ภาวนาให้ค่ำคืนอันน่ากลัวเช่นนี้ ผ่านไปเร็วๆ

รุ่งขึ้น ..ฉันควรจะดีใจที่ผ่านคืนอันน่ากลัวนั่นมาได้ แต่ดีใจได้ไม่นาน วันนี้นอกจากคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงาน พี่แองจี้ต้องไปเรียนแล้ว คุณป้าอรถูกรบเร้าจากคุณย่าให้ออกไปพบคู่แชทที่คุยกันมาแล้วหนึ่งเดือน

วันนี้ จึงมีแค่คุณย่า ฉันและน้าสมพร
ฉันรับรู้ถึงรังษีอันน่ากลัวทั่วร่างเลยทีเดียว แน่นอนตอนนี้ฉันสงสัยเพียงคนเดียว น้าสมพร!

ฉันไม่กล้าที่จะอยู่เฉยๆอีกต่อไป เมื่อสงสัยผู้ที่จะทำอันตรายแล้ว การลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ฉันย่องไปที่โรงเก็บรถ น้าสมพรอยู่ที่นั่นจริงๆ เขากำลังล้างรถและฮัมเพลงเบาๆ ขณะที่ร้องเพลง ยังไม่ปรากฏกระทั่งรอยยิ้มของคนอารมณ์ดี รถทั้งสองคันที่จอดนิ่งอยู่ล้วนเปื้อนเปรอะด้วยฝุ่นโคลนเพราะฝนตก ฉันแอบข้างๆรถที่่ล้างสะอาดแล้ว ถัดไปเป็นรถที่น้าสมพรกำลังล้าง

ขณะกำลังแอบๆย่องๆมองน้าสมพรอยู่นั้น ฉันแทบหยุดหายใจ เมื่อจู่ๆ น้าสมพรก็วกเดินมายังรถที่ฉันแอบอยู่ แกเดินมาเอาน้ำยาล้างรถที่ตั้งอยู่ฝั่งนี้ ด้วยความตกใจ ฉันหมุดตัวไปใต้รถด้วยใจระทึก น้าสมพรเดินอ้อมมาด้านหลังฉัน และเงียบไป..น้าสมพรไปไหน?

ขณะนั้นเอง…ฉันร้องหวีดสุดเสียง มันเจ็บแปล๊บที่ต้นขาทั้งสอง เจ็บจนชาแทบไม่รู้สึกอะไร ตาพร่ามัว มองไม่ค่อยเห็น ถึงสติเริ่มเลือนลาง แต่ฉันยังพยายามเหลือบมองไปยังสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวด
มันคือ…ล้อรถ แล้วฉันก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

“เป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ มี่ซี่เป็นยังไงบ้าง?”
“อืมม..ขาขวาไม่เป็นอะไรมากครับ แต่ขาซ้ายอาจใช้การไม่ได้ตลอดชีวิต ส่วนอื่นๆ ต้องรอหมอตรวจเช็คอาการอีกทีนะครับ”
“โถ่..มี่ซี่ไม่น่าเลย ป้าอรไม่น่าทิ้งให้ไว้เลย”

ฉันนอนอยู่บนเตียง ฟังว่าต้องพิการถึงกับหมดสติไปอีกครั้งหนึ่ง
และเมื่อฉันฟื้นขึ้น ทุกอย่างจึงกระจ่างชัด ..

น้าสมพรเป็นคนพาฉันมาโรงพยาบาลหลังจากที่แกถอยรถทับฉัน ฉันแน่ใจว่าน้าสมพรไม่ได้คิดร้ายกับฉัน เพราะฉันเห็นน้าสมพรร้องไห้

ฉันยังรู้อีกว่า
น้าสมพร..เป็นคนอีสาน ในอดีตแกเคยรับประทานเนื้อสุนัข และรังษีอันน่ากลัวนั่นออกมาจากตัวแกเพราะเหตุนั้น

ถึงฉันจะต้องเป็นสุนัขพูเดิลขาเป๋ แต่ทุกคนก็ยังรักฉันเหมือนเดิม แองจี้ยังหยอกล้อกับฉันทุกเย็น คุณพ่อคุณแม่ ถึงแม้จะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ แต่ท่านรักฉันเยี่ยงลูกคนหนึ่ง และรักมากขึ้นเมื่อฉันเสียขา คุณป้าอร อยู่ไม่ห่างฉันเลยละ คุณน้าสมพร ..ฉันเห็นรอยยิ้มจากแกมากขึ้น รังษีอันน่ากลัวจากตัวแกเริ่มเปลี่ยนเป็นรังษีอันอบอุ่น

ลืมแนะนำตัวไปในตอนแรก ฉันชื่อมี่ซี่ สายพันธุ์พุเดิล (POODLE) เกิดในไทย ถึงแม้จะมีเชื้อสายจากต่างประเทศ ปัจจุบันอายุ ๑ ขวบ กับ ๔ เดือน

คนที่ฆ่าฉันที่แท้คือความรู้สึกฉันเอง .. ความรู้สึกในแง่ลบ มองโลกในแง่ร้าย

ถ้าเริ่มที่จะมองอะไรร้ายๆ สิ่งร้ายๆก็จะตามมา..


ป.ล. นายแบบภาพปะที่เห็นครึ่งท่อน เขาเป็นคนดี ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรือเป็นฆาตกรแต่อย่างใด