ประสบการณ์มาราธอนแรก บางแสน42

ย้อนไปเมื่อครั้งแรกที่เริ่มวิ่ง ก็เมื่อเดือนเมษายน 2559 จนถึงวันนี้ก็ปาไปแล้ว 1 ปี 7 เดือน รวมรายการวิ่งทั้งหมดเรียงตามลำดับ ดังนี้

ครั้งที่ 1 Samsung Galaxy 10k 2016 ระยะ 10 กิโลเมตร
ครั้งที่ 2 ไทยพีบีเอส ครั้งที่ 1 ระยะ 10 กิโลเมตร
ครั้งที่ 3 วิ่งสามัคคีศรีรัชต์ ระยะ 21 กิโลเมตร
ครั้งที่ 4 ระยองมาราธอน ครั้งที่ 16 – 2016 ระยะ 21 กิโลเมตร
ครั้งที่ 5 จอมบึงมาราธอน ครั้งที่ 32 – 2017 ระยะ 21 กิโลเมตร
ครั้งที่ 6 ไทยคม 10 k 2017 ระยะ 10 กิโลเมตร
ครั้งที่ 7 เขาใหญ่ฮาล์ฟมาราธอน ระยะ 21 กิโลเมตร
ครั้งที่ 8 Samsung Galaxy 10k 2017 ระยะ 10 กิโลเมตร
ครั้งที่ 9 The Mall Korat Marathon 2017 ระยะ 21 กิโลเมตร
ครั้งที่ 10 KMUTNB Run Walk 2017 ระยะ 12 กิโลเมตร
ครั้งที่ 11 อยุธยา เวิร์ด เฮริเทจ รัน ระยะ 21 กิโลเมตร

และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 คือ บางแสน 42  ระยะฟูลมาราธอน เป็นมาราธอนแรกในชีวิต

ผมเลือกมาราธอนแรกที่บางแสน เพราะ 1. ไม่วิ่งในกรุงเทพ  2. ไม่ไกลจากรุงเทพ 3. ชื่อเสียงผู้จัดที่ได้รับการกล่าวถึงตั้งแต่บางแสน21 และ 4.รายการนี้มีแค่ระยะเดียวคือระยะ 42 เคยมีปัญหาตอนวิ่งฮาล์ฟมาราธอนถูกระยะ 10 กิโลเมตรและ 5 กิโลเมตรขวางทางวิ่งจนวิ่งไม่ออก

อีกอย่างหนึ่ง บางแสนมาราธอน มิใช่งานวิ่งธรรมดาๆ แต่สิ่งที่ทำให้งานนี้พิเศษจริงๆ คือการที่ผู้จัดวางเป้าให้เป็นสนามระดับโลก ที่ใช้มาตรฐานเดียวกันกับ บอสตันมาราธอน, โตเกียวมาราธอน, เบอร์ลินมาราธอน “IAAF gold label road race” ภายในปี 2565

IAFF ย่อมาจาก International Association of Athletics Federations โดยสถาบันนี้ทำหน้าที่รับรองการแข่งขันสำคัญทั่วโลกให้อยู่ในระดับมาตรฐาน สถาบันนี้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดและชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นการปิดถนน 100%, การตรวจสารกระตุ้น, การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็นสามระดับคือ ทอง/เงิน/บรอนซ์ ระดับทองคืองานแข่งที่ได้มาตรฐานสูงสุด ตัวอย่างเช่นบอสตันมาราธอน, โตเกียวมาราธอนเป็นต้น

ผมมีแค่เหตุผล 4 ข้อเท่านี้เอง จริงๆแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ควรเอามาตัดสินใจสำหรับมาราธอนแรก แต่ผมลืมคิดไป ซึ่งนั่นทำให้ผมเกือบไม่รอดสำหรับมาราธอนแรก นั่นคือ เส้นทางวิ่ง!

ผมเริ่มวางแผนสำหรับมาราธอนแรกตั้งแต่เดือนกรกฏาคม ซึ่งมีเวลาประมาณ 4 เดือน โดยใช้ตารางฝึกของการ์มินเป็นหลัก ซ้อมวิ่งอาทิตย์ละ 3-4 วัน โดยจะมี 1 วันเป็นวันวิ่งยาว โดยวิ่งยาวนั้นจะเพิ่มระยะทุกสัปดาห์ เริ่มจากสัปดาห์แรก 10 กิโลเมตร สัปดาห์ต่อไป 12 กิโลเมตร บางสัปดาห์มีลงงานวิ่งก็ถือเป็นการซ้อมยาวไปในตัว

2 เดือนสุดท้ายก่อนถึงงานวิ่งมาราธอน เริ่มซ้อมระยะยาว 25 กิโลเมตร จนถึงสูงสุดคือ 35 กิโลเมตร อยากจะเก็บระยะ 42 ไว้เป็นมาราธอนแรกในงานวิ่งจริง

ตลอดระยะเวลาในการซ้อม ผมเจอปัญหาหลายอย่าง และก็แก้ทีละอย่างจนหมดจนถึงวันจริง

ปัญหาแรกคือ วิ่งแล้วเสียดท้อง แก้โดยฝึกหายใจให้ถูกวิธีจนหาย
ปัญหาต่อมาคือ เหงื่อออกมาก จนท่วมร้องเท้าทำให้วิ่งไม่ออก แก้โดยสวมกางเกง dry fit และสวนทับด้วยกางเองวิ่งอีกชั้น ช่วยได้ในระดับหนึ่ง
แต่ปัญหาหนักปัญหาใหญ่คืออาการนิ้วพอง โดยเฉพาะนิ้วก้อยพอง จนเส้นเลือดฝอยแตก เลือดคั่งในนิ้ว เจ็บปวดมาก ผมแก้โดยทาครึมเพื่อให้เกิดความหล่อลื่นไม่แห้งเสียดสีจนพอง ติดพลาสเตอร์ชนิดบาง สวนถุงเท้าหนาขึ้น ปัญหานี้แก้ได้ในระยะวิ่ง 25 – 30 กิโลเมตร แต่ถ้ามากกว่านั้นไม่รู้ว่าจะช่วยได้ไหม

มีปัญหาให้กังวลตลอดก่อนถึงงานวิ่ง 1 เดือน ผมป่วย และก่อนถึงงานวิ่ง 2 สัปดาห์ มีอาการปวดเข่า แต่ก็หายก่อนถึงวันจริง

จนมาถึงวันจริง ผมเลือกที่พักที่ไม่ห่างจากจุดปล่อยตัวมากนัก ได้ที่พัก เลอ คาซ่า บางแสน ห่างจากจุดปล่อยตัว 3 กิโลเมตร

เสื้อ Recon Run ที่ใส่มาแล้วเกือบทุกรายการวิ่ง

สิ่งที่เตรียมสำหรับงานวิ่งมาราธอนแรก คือ กระเป๋าคาดเอวมีกระติกน้ำ เจล 3 ซอง และหมวกกันแดด

รายการนี้ว่ากันว่ามีเจลแจกทุก 6 กิโลเมตร หลังจากกิโลเมตรที่ 12 เป็นต้นไป และน้ำมีทุก 2 กิโลเมตร ทีแรกว่าจะไม่พกอะไร แต่ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจพก เพราะช่วยได้จริงๆ

เช้ามือดวันงาน ผมตื่นตี 2 กินกล้วยหอมไป 1 ลูก และพยายามนั่งถ่าย แต่ถ่ายไม่ออก T_T
ตี 2 ครึ่งเรียกมอเตอร์ไซต์วินมารับ ให้ไปส่งที่จุดปล่อยตัว

ไปถึงจุดปล่อยตัวมีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับการยืดเส้นยืดสาย จนกระทั่งเวลา ตี 3.30 ก็ได้เวลาปล่อยตัว เสียงพลุดังขึ้น

ผมอยู่ในบล็อก D ซึ่งเป็นบล็อกท้ายสุด กว่าจะเริ่มวิ่งได้ก็ผ่านไปเกือบ 1 นาที

อากาศวันนี้คือว่าโหดร้ายมาก  ไม่มีลมเลย อบอ้าวจนอึดอัด ผมมีอาการตึงๆเหมือนจะปวดหัว แต่คิดว่าถ้าวิ่งให้เหงื่อออกซะหน่อย น่าจะดีขึ้น

กิโลเมตรแรกผ่านไปเแบบงงๆ ผมใช้เวลามากกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่เริ่มปรับความเร็วขึ้นเมื่อถึงกิโลเมตรที่ 2 ที่ 3  และที่  4 พอถึงกิโลเมตรที่ 5 ความเร็วตกเพราะมีจุดให้น้ำ ต้องรับน้ำเพื่อรักษาสภาพของร่างกายไม่ให้ร้อนจนเกินไป

ผ่านกิโลเมตรที่ 10 และ 15 โดยไม่ยากนัก  แต่เมื่อถึงระยะที่ 20 ผมเริ่มออกอาการไม่ดี เหนื่อยและหายใจติดขัด เนื่องจากอากาศที่อบอ้าวมาก

จนกระทั่งกิโลเมตรที่ 22 ช่วงกลับตัวจากสะพาน สิ่งที่ผมกลัวมาตลอดก็เกินขึ้น

ตะคริว!!

เริ่มเป็นที่ขาข้างขวาก่อน ก่อตัวเป็นลูก ผมต้องปรับการวิ่งให้ช้าลง ถ่ายน้ำหนักมาทางขาซ้ายมากหน่อย พอวิ่งไปได้จนถึงกิโลเมตรที่ 25 ตะคริวลามมาถึงขาซ้าย!

หน่องทั้งสองข้างตะคริวสลับกันขึ้นลงเหมือนก้อนฟองน้ำ ระยะทางยังอีกไกลมาก ยิ่งคิดยิ่งเครียด บางจังหวะตะคริวมาหนักๆ จนต้องหยุดวิ่ง เดินก็ไม่ได้ ต้องยืนเฉยๆ ให้ทุเลาก่อน


ระยะก่อนเข้าเส้นชัย 200 เมตร

ผมใช้วิธีวิ่งเบาๆ ประครองตะคริว เจอจุดให้น้ำ ก็ขอเติมน้ำใส่ขวด และขอให้พ่นสเปรย์ตรงจุดที่เป็นคริว

กิโลเมตรที่ 30 ร่างกายผมเริ่มไม่ไหว เจลที่พกมาทั้ง 3 ซองกินหมดแล้ว วิ่งช้าๆได้ แต่พอเหนื่อยอยากจะหยุดเดิน พอหยุดปุ้บตะคริวมาทันที!

ลูกโป่ง  pacer 5.15 แซงผมไปแล้ว แม้ทีแรกผมพยายามจะเกาะเขาไว้ก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล
และหลังจากนั้นไม่นาน ลูกโป่ง pacer 5.30 ก็แซงผมไปอีก สารภาพตามตรงว่า ณ ตอนนี้เริ่มกลัวลูกโป่ง 5.45 และ 6.00 และที่กลัวที่สุดคือลูกโป่งแดงคัทออฟ รู้สึกเหมือนเขาเข้ามาใกล้ผมทุกทีๆแล้ว T_T

ถึงจุดแจกเจล ผมกิน 1 ซองและขอเพิ่มอีกซองเพื่อพกไปกินระหว่างทาง พร้อมกล้วยหอม 1 ชิ้น

ความโหดเริ่มขึ้นตั้งแต่ 30 กิโลเมตรเป็นต้นไป เพราะเริ่มเข้าสู่อำเภออ่างศิลาแล้ว..

ถ้าใครเคยไปบางแสนจะรู้ดี ว่าเส้นทางอางศิลาเป็นเนิน ประกอบกับพระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้ว แดดจ้าปะทะกับพื้นถนนยิ่งเพิ่มความร้อนอีกเท่าตัว

ผมวิ่งสลับเดินจนมาถึงกิโลเมตรที่  36 จุดนี้ คึกคักมาก มีน้ำ มีเจล มีกล้วย มีขนม มีเกลือแร่ มีสเปรย์  และมีกำลังใจจากน้องๆทีมงานมากมาย

หลังจากกิโลเมตรที่  36  คือเส้นทางขึ้นเขาสามมุข จุดสูงสุดของเส้นทางวิ่งบางแสน

นักวิ่งทุกคนพร้อมใจกันเดิน เก็บแรงเอาไว้ตอนลงเขาดีกว่า ช่างภาพก็โหดร้ายมาก มาดักถ่ายภาพตรงนี้เยอะเป็นพิเศษ

พูดถึงถ่ายภาพ งานนี้ดีต่อใจสำหรับนักวิ่งสายถ่ายรูปมาก เพราะจะมีป้ายบอกก่อนถึงจุดถ่ายรูปทุกครั้งในระยะก่อนถ่าย 50 เมตร

ตอนนี้นอกจากตะคริวแล้ว ฝ่าเท้า นิ้วเท้าที่พองเริ่มออกอาการ ปวดแสบหมดไปทั้งฝ่าเท้า ผมพยายามรวบรวมสมาธิเพ่งที่ความเจ็บปวด คิดถึงแม่ ตอนแม่เลี้ยงเรามาลำบากกว่านี้มากนัก แค่นี้เทียบไม่ได้กับที่แม่เหนื่อย คิดได้ดังนั้นก็ได้กำลังใจขึ้นมาบ้าง

กิโลเมตรที่ 38  อยู่บนยอดเขาสามมุข แม้จะพอมีลมมาบ้าง แต่นักวิ่งทุกคนก็ยังวิ่งเบาๆ สลับเดิน
กิโลเมตรที่ 39  จังหวะเดินลงเขา ช่วงนี้ยังพอวิ่งได้บ้าง วิ่งสลับเดินไป
กิโลเมตรที่ 40  จุดคัทออฟจุดสุดท้าย ยังไงก็ไม่โดนคัทออฟแล้ว เรารอดแล้ว จุดนี้เป็นจุดให้น้ำจุดสุดท้าย

สองกิโลเมตรสุดท้ายช่างไกลเหลือเกิน แม้จะลงจากเขาแล้วก็ตาม แต่แสงแดดที่สะท้อนจากถนนและทะเลก็ถาโถมใส่ให้เราไหม้และเป็นลมได้

เริ่มใกล้จุดเส้นชัยเรื่อยๆ มีกองเชียร์และต่างชาติคอยยืนให้กำลังใจระหว่างทาง

และแล้วผมก็เข้าเสันชัยมาราธอนแรกจนได้ ในเวลา 5 ชั่วโมง 39 นาที 20 วินาที

สำเร็จแล้วครับ, สำหรับมาราธอนแรกของผม.

มาราธอนแรกที่นี่สาหัสจริงๆ

ขอขอบคุณคุณแฟนมา ณ ที่นี้ ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอดอย่างเข้าใจ.

 

สถิติบางแสน42 ปี 2017
ลงทะเบียนทั้งหมด 6,034 คน นักวิ่งมาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้นจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เข้าเส้นชัย 4,024 คน
DNF (Did not finish) 2,010 คน