ทริปสันหนอกวัว 3 วัน 3 คืน

สันหนอกวัว เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,767 เมตร โดยที่ยอดบนสุดของเขาลูกนี้มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับสันนูนบนหลังของวัว ซึ่งเราจะเรียกกันว่าโหนกหรือหนอก จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกเขาสันหนอกวัว

ทริปนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เราไปขุนตาล (อ่านทริปขุนตาล) กลุ่มที่ไปด้วยกันในขณะนั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่พึ่งรู้จักกัน ได้ถามกันว่าจบทริปนี้เราจะไปไหนกันต่อ ก็มีคนเสนอว่าไปสันหนอกวัวกันมั้ย ทุกคนก็เห็นด้วย หลังจากนั้นก็มีผู้ดำเนินเรื่องขอชื่อและเงินจองเบื้องต้น ซึ่งผมก็ลงชื่อและจ่ายเงินไปเรียบร้อย แต่ใจหนึ่งก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า จะไปได้หรือไม่ เพราะขณะนั้นงานกำลังรัดตัว จะปฏิเสธก็เสียดายโอกาสที่จะไป จะตอบตกลงเป็นหมั่นเป็นเหมาะก็พูดไม่ได้เต็มปาก เรียกว่าเป็นการออกทริปที่ต้องตัดสินใจในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทางจริงๆ

ในที่สุดวันที่ต้องเดินทางก็มาถึง เป็นวันพฤหัสที่ต้องเข้าออฟฟิส หลังจากเลิกงานรีบกลับบ้านเพื่ออาบน้ำและออกไปเดินทางกับกลุ่มที่มีกันทั้งหมด 6 คนที่พระราม 2 แผนคร่าวๆคือเดินทางกลางคืนเพื่อไปนอนที่ป้อมปี่ ตื่นเช้าเดินขึ้นสันหนอกวัว

เราออกจากพระราม 2 ในเวลา 2 ทุ่มกว่าตะบึงรถมุ่งหน้าสู่กาญจนบุรีถึงที่หมายคือป้อมปี่ในเวลาประมาณตี 2 กว่า เราต้องกางเต๊นท์นอนในความมืดอย่างรวดเร็ว เพื่อรีบพักผ่อนให้เร็วที่สุดเพราะพรุ่งนี้ต้องรีบไปลงทะเบียนไม่เกิน 9 โมง

เมื่อคืนมาถึงกลางดึกมา เช้าวันต่อเราเราจึงเห็นว่าที่ๆเรานอนเมื่อคืนมีวิวตอนเช้าที่สวยงามทีเดียว แต่เราไม่มีเวลาสำหรับการดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้า ต้องรีบไปลงทะเบียนเพื่อเดินขึ้นเขาสันหนอกวัว

หลังจากลงทะเบียนเสร็จจะมีรถนำพวกเราไปยังจุดสำหรับการเดินขึ้นเขาสันหนอกวัว กลุ่มเราถือว่าเป็นกลุ่มสุดท้ายของวันนี้

..

..

เริ่มเดินเขา

………..

กลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินขึ้นเขาในวันนี้ เราเลือกจะไม่ใช้ลูกหาบ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น เราแข็งแกร่งพอที่จะแบกสัมภาระที่มีน้ำหนักคนละ 15-20 กิโลเอง (ซึ่งแม้ภายหลังบางคนคิดว่าเราน่าจะใช้ลูกหาบนะ 5555) งานนี้ต้องบอกว่าใครที่ร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ แนะนำให้เสียเงินให้ลูกหาบเถอะครับ เอาแต่สังขารหนักๆของเราขึ้นเขาไปอย่างเดียวก็พอ สำหรับผมซึ่งพอมีประสบการณ์ในการเดินป่าเดินเขาและแบกของหนักอยู่บ้าง จึงไม่ค่อยซีเรียสเรื่องนี้เท่าไรนัก การออกกำลังกายและวิ่งอย่างสม่ำเสมอทำให้การเที่ยวในลักษณะนี้มีความสนุกยิ่งขึ้น

ภาพของสันหนอกวัวในความคิดของผมคือภูเขาโล้นๆ ไม่ค่อยมีต้นไม้ตอนเดินไปต้องใช้ความระมัดระวัังกลัวจะไหลลงจากเขา เป็นความคิดที่เห็นจากภาพที่มีคนถ่ายมาให้ดู ซึ่งพอไปเห็นของจริงต้องบอกว่าสวยกว่าในรูปที่มีคนถ่ายมาให้ดูเยอะมาก แต่การเดินทางขึ้นเขาก็เหมือนเขาอื่นๆทั่วไป คือต้องเดินขึ้นเขาน้อยใหญ่หลายลูกอยู่เหมือนกันกว่าจะถึงจุดหมายที่เรียกว่าเขาสันหนอกวัว และแน่นอนว่ามีทั้งเขาชันและเดินยากง่ายสลับกันไป บางจุดเป็นทางเดินเล็กๆ อีกฝั่งเป็นหน้าผาสูงชัน ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเดินยากแล้ว อย่าลืมว่าเราต้องแบกสัมภาระที่มีน้ำหนักกว่า 15 กิโลด้วย น้ำหนักที่มากกว่าเดิมจะเหวี่ยงเราตกลงจากเขาได้ง่ายๆ

จุดแวะเพื่อทานข้าวเที่ยงระหว่างทาง

ในที่สุดเราก็เดินทางมาจนถึงจุดกางเต๊นท์บนเขาสันหนอกวัวซึ่งมีระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร จุดกางเต๊นท์มีไม่มากนัก รองรับนักท่องเที่ยวได้ครั้งละไม่เกิน 60 คน

อาหารของเราบนสันหนอกวัวคืนนั้นจัดเต็มครับ เราทำชาบูเนื้อที่มีทั้งเนื้อสไลด์ เนื้อชิ้นและผักมากมาย เรียกว่าต้องกินให้หมดเผื่อจะได้ไม่ต้องแบกกลับในวันรุ่งขึ้น อากาศที่ค่อนข้างเย็นประมาณ 16 องศาทำให้ชาบูคืนนั้นอร่อยเป็นพิเศษ หลังอาหารมื้อพิเศษกลุ่มเราที่มีกัน 6 คนก็นั่งสนทนาสัพเพเหระซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นประสบการณ์ในการเดินเขาที่ต่างๆที่แต่ละคนผ่านมา และเรื่องเล่าที่สนุกที่สุดคงไม่พ้นประสบการณ์การเดินขึ้นเขาของวันนี้ ทุกคนดูสนุกและอินกับเรื่องนี้เพราะมีประสบการณ์ร่วมกันมามาดๆ หลังจากนั้นประมาณ 5 ทุ่มเราก็ได้ชมพระจันทร์ที่สวยที่สุดบนยอดเขาที่สูงที่สุด น่าแปลกที่พระจันทร์ก็ดวงเดียวกันกับที่เราเห็นทุกวันจากทุกๆที่ แต่วันนี้พระจันทร์ที่มีแบกกราวด์เป็นทิวเขาป่าไม้ เสียงนกกลางคืนร้อง และกลุ่มดาวนับล้านดวงเป็นบริวาร จึงเป็นพระจันทร์ที่สวยเป็นพิเศษกว่าวันไหนๆ

เสียดายความสวยงามของพระจันทร์ในค่ำคืนนั้นไม่สามารถบันทึกให้สวยได้เท่าหรือได้สักครึ่งหนึ่งของของจริง จึงได้แต่บอกว่า อยากให้ไปสัมผัสความสวยนั้นด้วยตัวเองสักครั้งนะครับ

ลงเขา

…….

เช้าวันต่อมาหลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นเรียบร้อยแล้ว เราก็ทยอยเก็บเต๊นท์ เก็บของ และเก็บขยะลงไปทิ้งด้านล่าง เตรียมตัวสำหรับการเดินลงเขา สำหรับคนที่ไม่ฟิตนี่คือฝันร้าย เพราะความเจ็บขาของการเดินขึ้นยังไม่หายไป นี่คือการซ้ำรอยใหม่ให้เจ็บเพิ่มกว่าเดิม ถ้าเป็นความรักนี่คือการถูกบอกเลิกในวันเดียวกันถึง 2 ครั้ง เจ็บจนอยากตาย แต่ไม่ตาย

จนในที่สุดผมก็ห่างจากกลุ่มที่เดินด้วยกันออกไปเรื่อยๆ เพื่อนหลายคนบอกว่าไปก่อนได้เลย อันนี้จะด้วยความเกรงใจหรือแค่บอกตามมารยาท ผมถือว่าเขาบอกเองนะ จะไม่รอแล้วนะ (5555) ทิ้งหมู่คณะเดินมุ่งหน้าลงจากเขาเพียงลำพัง รีบลงไปอาบน้ำกินข้าวกินน้ำด้านล่างรอน่าจะดีกว่า

ผมลงมาถึงด้านล่างอาบน้ำ กินข้าวเสร็จตอนประมาณบ่ายสองโมง นอนรอคณะที่ทยอยลงมาจนครบในเวลาประมาณบ่ายสี่โมง ได้เวลาบอกลาป้อมปี่ถ่ายรูปหมู่กันสักภาพ

คณะที่ไปด้วยกันในทริปนี้มี 6 คน ทั้ง 5 คนที่ผมไปร่วมด้วยในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองในการเดินทางร่วมกัน (ครั้งแรกขุนตาล) ไม่น่าเชื่อว่าเพียงการเดินด้วยทางกันแค่สองครั้งทำให้พวกเราสนิทกัน คุยกันหัวเราะกันตลอดทาง ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรามีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน จึงคุยเรื่องเดียวกัน มันเลยง่ายมากที่จะสนิทกัน แตกต่างจากคนในที่ทำงาน ต่างคนต่างแตกต่างที่มาทำงานร่วมกัน งานสำหรับบางคนอาจไม่ใช่สิ่งที่ชอบทำ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ในที่ทำงานจึงไม่ค่อยมีมิตรภาพที่แท้จริง

หลังจากออกจากป้อมปี่ก็เย็นมากแล้ว เราจึงคุยกันว่าจะหาที่พักค้างแรมอีกสักคืนในตัวเมืองกาญจนบุรี ในที่สุดเราก็ไปพักที่วังโพแค้มปิ้ง

ช้างเพศหญิงชื่อน้องแอปเปิ้ล

บรรยากาศริมแม่น้ำอากาศกำลังดีอยู่ที่ 25 องศา หลังจากกางเต๊นท์ขนของเสร็จเรียบร้อย เราทานอาหารเย็นกันง่ายๆโดยแวะซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จที่ตลาด วังโพแคมปิ้งมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมช้างอย่างใกล้ชิด โดยเช้าๆ จะมีช้างแวะมาเล่นน้ำและเดินทักทายนักท่องเที่ยว

เช้าวันที่ 3 หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับบ้าน ทริปนี้ใช้เสื้อผ้าที่นำมาจนหมด แม้แต่กางเกงในก็ไม่เหลือ

วันสุดท้ายที่เดินทางกลับรู้สึกตัวเบาโล่งสบาย ไม่ใช่เพราะอากาศดี แต่เพราะไม่มีกางเกงใน!

..

..

ป.ล. ภาพด้านล่างจากกล้องของน้องดิวที่แต่งให้