เธอ เขา และเขม่าแค้น

ผมลืมตาอีกครั้ง..กลับพบตัวเองในความมืด เงียบ ไม่มีแสงสว่างหรือเสียงจากที่ใด

ขาที่ค่อย ๆ ย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผมไม่หยุดอยู่กับที่อีกแล้ว อดีตที่ผ่านมามันเป็นอุทาหรณ์ให้ผมต้องไม่หยุดอยู่กับที่ แม้มีเพียงความมืดอยู่เบื้องหน้า แต่ขาไม่ควรหยุดเดิน เมื่อเราหยุดแม้เพียงนาทีเดียว โอกาสของเราก็ยิ่งจะเลือนรางจางหายไปในทุกที

ความปราณีมันไม่มีอีกแล้วในยุคที่ทุกคนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ภาพรอยยิ้มของเพื่อนผู้ที่ผมไว้ใจที่สุดปรากฏในห้วงแห่งอดีต เพื่อนที่แย่งทุกอย่างไปจากผม ตำแหน่งหน้าที่ และฤดีแฟนสาวของผม ไอ้เพื่อนระยำ..!

สายลมเบา ๆ พัดมากับความมืดแล้วผ่านหน้าผมไปอย่างวังเวง ผมเริ่มขยับก้าวที่สอง และก้าวที่สามไปตามลำดับเรื่อย ๆ ช้า ๆ เท้าที่ไร้รองเท้ารองรับได้สัมผัสกับพื้นที่ไม่คุ้นตีน เกิดความรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่มันที่ไหน พื้นไม่ใช่พื้นทราย และไม่ใช่พื้นปูน สัมผัสจากฝ่าเท้าบอกแค่ว่ามันเป็นพื้นที่ขรุขระ บางครั้งเป็นพื้นชื้น ๆ ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเดินไปไหน และไปเพื่ออะไร ในหัวสมองผมปวดขึ้นมาทันทีเมื่อพยายามคิดถึงเรื่องนี ้

ถ้าผมจำไม่ ผิด เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ ผมยังนอนบนเตียงที่รายล้อมด้วยแพทย์และพยาบาลในชุดสี เขียว ตรงกลางมีไฟขนาดให*่ส่องลงมาทำให้ต้องปิดตาอยู่ตลอด ทุกคนต่างสนใจอยู่ที่กลางท้องของผม นางพยาบาลส่งอุปกรณ์ให้หมอเป็นระยะ ๆ แม้ที่หน้าของหมอจะมีผ้าคาดไว้ แต่ก็ปรากฏแววตาเครียดอย่างเห็นได้ขัด พยาบาลคอยซับเหงื่อให้หมออยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้อง และสุดท้ายก็ไร้สติหลับใหลไปในที่สุด

ผมพยายามคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่ผมจะต้องมานอนรายล้อมด้วยหมอและพยาบาล ภาพฤดีเดินไปช้า ๆ กับเพื่อนอัปรีย์ค่อย ๆปรากฏขึ้น เธอและเขาขึ้นรถหรูซึ่งเคยเป็นของผมออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแกมเยาะเย้ย

5 ปีที่ผมทุ่มเทให้กับบริษัทเล็ก ๆ นี้จนเจริญขึ้นทุกปีมีหน้ามีตา กลับถูกตอบแทนด้วยข้อหายักยอกเงินบริษัท ผมถูกฟ้องร้องในชั้นศาล และแพ้ความในทุกกรณีด้วยหลักฐาน และพยานชิ้นสำคัญนั่นก็คือ ฤดีแฟนรัก และประจักษ์ เพื่อนที่ไว้ใจ

ผมกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวชั่วคืนเดียว ความเครียดที่มีอยู่แล้วในทุกวัน กลับพลันเพิ่มขึ้นทวี มันเกิดที่ขึ้นศีรษะ และปะทะลงในกระเพาะอาหาร ผมปวดท้องอย่างแรง ชนิดที่ไม่เคยปวดอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนมีแผลเน่า ๆ อยู่กลางท้อง แล้วถูกราดลงด้วยทิงเจอร์ ขณะที่ศีรษะก็ปวดมากไม่แพ้กัน ที่ร้ายไปกว่านั้นในใจผมแหลกเหลว เมื่อคิดถึงเพื่อนเลวและแฟนทรยศ บัดสบ..!

ทั้งปวดหัว ปวดท้อง ปวดหัวใจ ความปวดทั้งหลายมันประดังมาเต็มที่ จน ..ผมไม่สามารถจะทานทนได้ด้วยกำลังของตนที่มีอยู่ ..

ฟ้ายังปรานี มีคนพาผมเข้าโรงพยาบาล ผมอยากจะขอบคุณเขา แต่ตอนนี้ล่ะ ผมกำลังอยู่ที่ไหน ..โอ๊ยย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มันปวดหัวขึ้นทุกที ให้ตายสิ!

ผมเดินมา นานเท่าไรแล้วไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ข้างหน้าผม ผมเจอเพื่อนร่วมทางแล้ว แต่น่าแปลกใจทำไมตั้งใจเดินให้ทันทีไร เหมือนจะทันแต่ก็ไม่ทันสักที นี่ถ้าทัน ผมคงได้คำตอบให้หายสงสัยเสียทีว่าที่นี่มันที่ไหน ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลออกไปทุกที ๆ ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วสิ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทันเขาแน่ ๆ “พี่ชายครับ ๆ พี่ชายยย ขอถามอะไรหน่อยสิ”

เมื่อ ชายคนนั้นหันมา สีหน้าที่ดุดัน แววตาโตที่แดงก่ำ และการแต่งตัวที่ผมเคยเห็นแต่ในรูปที่ติดตามวัด ทำให้ผมขนลุกซู่ คิดถึงโฆษณาลูกอมชนิดหนึ่งที่มีคำติดปากว่า “ได้ฮออล์เม็ดเดียว ทำยังกะได้ขึ้นสวรรค์แน่ะ” แล้วชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เผยริมฝีปากช้า ๆ และกล่าวว่า ““แกถึงฆาตแล้ว”

.

ไม่จริงงงงง ง ง ง….

.

แม้เป็น เสียงที่ไม่ดังนัก แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ ..ช่างเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต นี่ถ้าผมไม่กรีดร้องขนาดนั้นคงไม่สะดุ้งตื่น และคงจะถึงฆาตตามคำที่ชายคนนั้นบอกแน่ ๆ เลย อึ๋ยส์ พูดแล้วให้ขนลุก แต่เอ ..ทำไมยังไม่เช้าสักที มันมืดมิดน่ากลัวเหมือนในฝันเลย ผมพยายามยกมือขึ้นมาขยี้ตาในขณะที่ตัวเองยังนอนอยู่ ..แต่เอ๊ะ ใครมัดมือผมไว้นี่ กลางพุ่มมือมีดอกไม้เสียบไว้ ดอกกุหลาบ ไม่ใช่นี่ ถึงจะมีหนาม แต่ก็ไม่น่าใช่ดอกกุหลาบ เพราะดอกกุหลาบลำต้นไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ เมื่อผมเอามือคลำ ๆ ดูจึงได้รู้ มันเป็นดอกบัว!

มีแสงเล็ดลอดออกจาก มุมไม้ทั้งสี่ช่อง ผมกำลังอยู่ที่ไหน ใครก็ได้ช่วยบอกที ช่วยย ด้วยย ..ย ย เสียง! ผมเป็นใบ้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากปากผมเลย ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามตะเบ็งมันสุดเสียง โชคยังดีที่หูผมยังไม่หนวกไปด้วย ผมได้ยินเสียงคนร้องไห้ เสียงคนพูดกันเซ็งแซ่..และเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกแย่

“เอาล่ะ สัปปะเหร่อคง เอาศพเข้าเตาเผาได้”

ถ้าผมเดาไม่ผิด นี่ผมกำลังนอนอยู่ในโลงแคบ ๆ แคบซะจนไม่สามารถขนอะไรไปด้วยนอกเสียจากบาป และบุ*ที่ทำไว้ ถึงเขาอนุญาตให้ขนไปด้วยได้ ตอนนี้ผมคงไม่มีอะไรจะขนไปด้วยแล้ว รถ บ้าน ที่ดิน หรือแม้แต่แฟนสุดที่รัก ก็ไม่มีแล้ว ใช่สิ .. ในเมื่อผมไม่มีอะไรแล้ว ความตายน่าจะเหมาะที่สุดสำหรับผม ผมไม่มีที่ว่างบนโลกมนุษย์แล้ว ตอนนี้ผมก็กำลังจะตายแล้วนี่ ..

อากาศ ที่จะใช้หายใจมันเริ่มหมดแล้ว แสงสว่างที่เคยมีตามรอยแยกทั้งสี่มุมของกระดานไม้สี่ เหลี่ยมก็หายไป ตอนนี้ผมคงอยู่ในเตาเผาสิน่ะ

เตาเผา ทำให้ผมคิดถึงเมื่อตอนเด็ก ๆ ผมชอบกินปลาเผา มีครั้งหนึ่งแม่ซื้อปลาช่อนมาหลายตัว และปรากฏว่ามีตัวหนึ่งที่ยังไม่ตาย แม่ไม่กล้าฆ่ามัน จึงให้ผมเอามันไปปล่อยเสียที่สระ ขณะที่ผมกำลังถือมันจะเอาไปปล่อยอยู่นั้น พอดีผ่านเตาสำหรับเผาขยะ กุศลจิตที่คิดจะปล่อยปลาตามเจตนาของแม่ ถูกเปลี่ยนแปรโดยอกุศลจิตคิดจะกินปลาเผา นี่ถ้าผมได้ปล่อยปลาตามเจตนาของแม่ ผมอาจจะไม่ต้องมานอนอึดอัดอยู่ในเตาเผาผีขณะที่ยังหายใจอยู่ก็ได้

ปลาที่ผมเผาในตอนนั้นมันคงไม่ต่างอะไรจากผมในตอนนี้ พอโดนไฟมันก็ดิ้นไปมาเพื่อเอาตัวรอดจากไฟร้อนแรง เมื่อมันดิ้นหลุดออกจากกองไฟ ผมก็ใช้ไม้เขี่ยให้มันเข้าไปในกองไฟใหม่ ทำอยู่อย่างนี้แล้ว ๆ เล่า ๆ จนมันแน่นิ่งอยู่บนกองเพลิง และเป็นอาหารอันโอชะของผมในที่สุด

ผมเริ่มรับรู้ความปวดร้าวของปลาใน ครั้งนั้นบ้าง ภาพของปลาแสยะยิ้มเหมือนจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า “แกกำลังจะโดนเผาเหมือนข้าบ้างแล้ว” ปรากฏทุกครั้งที่ผมพยายามจะหลับตา อึดอัด ผมเริ่มหายใจไม่ออก ควันพวยพุ่งมาจากรอบด้าน ทั้งข้างบน ข้างล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา ถึงจะคิดปลงในชีวิตได้บ้างแล้ว แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของผมยังคงมี แรงที่มีอยู่ในตัวทั้งหมดถูกส่งไปที่ขาทั้งสอง ผมใช้ขาถีบฝาโลงเต็มที่ จนฝาไม้ที่ไฟกำลังไหม้เปิดอ้า ผมหวังว่าสัปปะเหร่อคงอะไรนั่นจะเห็น แล้วช่วยชีวิตผมไว้ทัน ถึงตอนนั้นคงจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลาย ฉบับ รายการทีวีคงจะเชิญผมไปสัมภาษณ์ ..

“อย่างนี้แหละ ..เส้นเอ็นมันยึดเมื่อถูกไฟไหม้ ขาจะชี้ขึ้น ไม่มีอะไร”

เสียงสัปปะเหร่อพูดพร้อมกับใช้เหล็กง่ามดันผมให้เข้า ไปสู่กองไฟ และกดขาผมไม่ให้ขี้ขึ้นอีก ผมรู้สึกร้อนที่แผ่นหลัง ท่อนขา ที่หน้า และร้อนไปหมดทั้งตัว .. ผมไม่สามารถจะทานทนเวทนาอันรุนแรงปานนี้ได้ จน จนผม..ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป

ผมตายแล้วรึนี่!

แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน ความมืด ความวังเวง ผมต้องเจอกับมันอีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้เหมือนผมเคยเจอมาก่อน มีอะไรบางอย่างบอกผมว่า ต้องเดินไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน พื้นที่สัมผัสฝ่าเท้าชื้น ๆ ขรุขระบ้างบางคราวเอ๊ะนั่น..ชายที่ผมเคยเห็นในความฝัน เอ หรือจะเป็นความจริง ช่างเถอะไม่จำเป็นแล้วสำหรับผมในตอนนี้

“พี่ชายครับ ๆ พี่ชายยย ขอถามอะไรหน่อยสิ”

แม้ภาพเบื้องหน้าที่ชายคนนั้นหันมาจะน่า กลัวเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมเกิดขนลุกชูชันไม่ เพราะผมเคยเห็นเค้าแล้ว เดี๋ยวเขาก็จะพูดว่า “แกถึงฆาตแล้ว” หึ ๆ ผมรู้ทัน ๆ นี่ถ้าเวลายังพอมีอยู่บ้าง ผมจะขอเวลากับเขา แล้วรีบกลับไปบอกคนบนโลกมนุษย์ว่าตายแล้วเค้าไปไหน? ตายแล้วต้องไปเจอกับความมืด และชายหน้าตาน่ากลัวพร้อมกับคำพูดว่า “แกถึงฆาตแล้ว” จะได้หายสงสัยกันเสียที

“แกยังไม่ถึงที่ตาย”

ผิดคาด ชายคนนั้นไม่ได้พูดดั่งที่ผมคิดไว้ “ตามกำหนดแกจะต้องตายเมื่ออายุ 48 ด้วยโรคมะเร็งที่ปอด แต่ตอนนี้ศพของแกก็ถูกไฟไหม้จนเหลือเพียงกระดูก จึงจำเป็นที่จะต้องส่งแกไปเกิดใหม่ในร่างใหม่ แต่แกจะมีชีวิตเพียง 23 ปี”

“อ้าว ทำไมไม่ให้อายุผมครบ 48 ปีเหมือนเดิม” ผมทักท้วงขึ้น

“ตอนนี้แกอายุเท่าไร?”

“27ปี”

“27 บวกกับ 23 ได้เท่าไร?”

“48” ผมตอบอย่างไม่ลังเล

“ก็ถูกต้องแล้ว ชีวิตแกก็เท่าเดิมคือ 48 อีก 23 ปีข้าจะกลับมารับใหม่”

ผมยืนงงอยู่ท่ามกลางความมืดอีกครั้ง .. ก่อนจะมีแสงสว่างมหึมาจากด้านบนจนผมแสบตา ..

เด็กทารพเพศชาย ถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอุ้มอย่างเอ็นดู ผมกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ความผิดพลาดคงเกิดขึ้นอีกแล้ว เขาลืมลบความจำของผม ก่อนที่จะส่งผมมาเกิดใหม่ ผมควรจะดีใจ หรือเสียใจกันแน่ ภาพเพื่อนผู้แทงหลัง และแฟนสาวผู้น่าชิงชังยังอยู่ในหน่วยความจำผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่อยากให้มันอยู่

ผมพยายามจะพูดในสิ่งที่อยากพูด แต่ออกมาเป็นแค่ภาษาเด็ก อ้อแอ้ ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ พ่อ แม่ ใครกันหนอเป็นพ่อแม่คนใหม่ของผม ผมพยายามมองดูไปรอบ ๆ

ผมควรจะดีใจหรือเสียใจดี

พ่อคนใหม่ผมชื่อประจักษ์ และแม่คนใหม่ของผมชื่อฤดี