Skip to content

N E V I K U P

Find your Heart, Find the Happiness.

☰
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ

Month: August 2006

ความรักทำให้คนตาบอด อ่านต่อ

ความรักทำให้คนตาบอด

เรื่องสั้นสั้น 30 August 2006

สุมาดา เธอเป็นหญิงสาวที่น่ารัก อารมณ์ดี อัธยาศัยดี ผิวพรรณดี หน้าดี แต่ตาไม่ดี เธอตาบอด สุมาดาตาบอดตั้งแต่เกิด ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอเกลียดทุกอย่างในโลกนี้ เกลียดทุกคน เกลียดตัวเอง มีคนเดียวเท่านั้นที่เธอไม่เกลียด นั่นคือ แฟนของเธอ .. พานุ พานุ ผู้ชายที่มีรักแท้ และดูแลได้ เขาดูแล ให้ความรัก เฝ้าทะนุถนอมเธออย่างที่คนรักคนหนึ่งจะพึงทำแก่คนที่ตนรักอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดเอาเปรียบหรือล่วงเกินเธอเลย ด้วยเหตุนี้เอง สุมาดา จึงให้ความไว้วางใจ และมอบความรักให้อย่างไม่ลังเล เมื่อความรักก่อตัวจนสุกงอม พานุ ได้เอ่ยปากขอหญิงสาวแต่งงาน ซึ่งเธอก็มิได้ปฏิเสธ แต่เธอเพียงขอแค่ว่า ก่อนจะแต่งงานอยากเห็นหน้าตาคนที่ตนรัก คือ เธออยากมีตามองเห็นเหมือนคนอื่นทั่วไป และหลังจากนั้นเธอก็จะแต่งงานกับเขา ชายหนุ่มยินดียิ่ง การทุ่มเทความรักแล้วได้รับรักตอบ นับเป็นความสุขของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป โดยเฉพาะเขาผู้ที่ทุ่มเทความรักยิ่งสิ่งใด เขาเริ่มประกาศรับบริจาคดวงตา และแสวงหาผู้เสียชีวิตที่ได้บริจาคดวงตาไว้ก่อนตาย ความพยายามของเขาสัมฤทธิ์ผล มีคนบริจาคดวงตา และหมอก็ทำการผ่าตัดดวงตาให้หญิงสาวในเวลาต่อมา ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลังผ่าตัดเพียงเดือนเดียว หมออนุญาตให้เปิดผ้าพันแผล และลืมตาได้ในที่ๆแสงสว่างไม่จ้ามากนัก เธอผู้ที่ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นโลกใบนี้เลย และนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เห็น เธอจึงเลือกที่จะเห็นสิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุดในชีวิตเธอ นั่นคือ พานุ แฟนหนุ่ม หมอค่อยๆแกะผ้าพันแผล และเมื่อแกะผ้าพันแผลหมดสิ้นแล้ว เธอยังหลับตาอยู่ หมอจึงพาเธอมานั่งตรงหน้าพานุแฟนหนุ่ม แล้วบอกให้เธอค่อยๆลืมตาทีละนิด เมื่อเธอลืมตาและมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เธอตกใจแทบสิ้นสติ!พานุแฟนหนุ่มของเธอ .. เป็นคนตาบอด “ดาจะแต่งงานกับเราใช่มั้ย” แฟนหนุ่มเอ่ย พอตั้งสติได้ เธอจึงกล่าวอย่างยากลำบากว่า“พานุ ขอโทษนะ ดาไม่สามารถแต่งงานกับคุณได้” ถ้อยคำที่กล่าว ช่างเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความห่างไกล ไร้ความสนิทสนม ไม่เหมือนสุมาดาหญิงสาวไร้ดวงตาก่อนหน้านี้เลย น้ำตาไหลจากเบ้าที่ไร้ดวงตาของพานุ เขาร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ทวงถามสัญญาหรือเรียกร้องสิ่งใดจากหญิงสาว เขาเดินออกจากห้องนั้นไป และก่อนที่จะก้าวพ้นประตูห้อง เขาได้หันมาพูดกับเธอว่า “ดวงตาคู่นั้น ฝากเธอดูแลแทนฉันด้วย”

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อ่านต่อ

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

เรื่องสั้นสั้น 29 August 200628 September 2016

สายฝนหล่นหลั่งดั่งฟ้ารั่ว มืดสลัวเสียงฟ้าคำรามลั่น ใจเอยใจ..ใจเรายิ่งหนาวสั่น ฤๅ ฟ้ากั้นสองใจด้วยสายน้ำ ฝนตกยิ่งดึกยิ่งหนักขึ้น ชาวบ้านบางส่วนรีบรุดไปดูพืชไร่ที่สวน ด้วยเกรงว่าสายน้ำอันเชี่ยวกราดจะพัดพาไปหมดสิ้น ซึ่งถ้าเป็นดังนั้น หมายถึงปีนี้ทั้งปี นอกจากหนี้สินที่ไม่มีทางสะสางแล้ว แม้อาหารการกินในแต่ละวันล้วนเป็นไปได้ยาก เมื่อวานมีเสียงประกาศแจ้ง เตือนจากรายการทางวิทยุว่า จะมีฝนตกหนัก ชาวบ้านได้ฟังล้วนยินดี เพราะคำว่าฝนตกหนัก ไม่เคยผ่านหูเขามานานมากแล้ว เมื่อฟังว่าพระพิรุณจะมาเยือนล้วนสร้างความปรีดา น้ำท่าก็หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ รินนั่งอยู่ริมระเบียงมองไปทางด้านหน้า ซึ่งมีสายฝนหนาทึบขวางกั้นไม่ให้มองทะลุออกไปได้ถึงบ้านอีกฟากหนึ่ง ถ้าอีกสามสิบนาทีข้างหน้าฝนยังคงตกหนักเช่นนี้ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่แน่นักว่า สายฝนจะหยุดเมื่อไร และเมื่อถึงตอนนั้น อาจจะสายไปแล้ว..สายไปสำหรับการจะถามถึงสัญญากับใครงบางคน.. สัญญา มันอาจจะนานเกินไป แต่เขายังจำได้ดี “ทำไมรินถึงไม่เข้าไปเรียนในกรุงเทพ อุตส่าห์เอ็นฯติด” “ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากไปนะน้ำ ยิ่งเป็นที่เดียวกันกับน้ำด้วยแล้ว เรายินดียิ่ง แต่..น้ำก็รู้ ปีที่แล้วพ่อเราประสบอุบัติเหตุ เป็นอัมพาตเดินไม่ได้ แม่คนเดียวไม่สามารถรับภาระทุกอย่างได้ เราเป็นพี่คนโต…” “ริน..” หญิงสาวจับมือฝ่ายชายมากุมราวกับพยายามส่งพลังทั้งหมดไปให้ เมื่อเห็นน้ำเสียงเขาเริ่มสั่นเครือ “เราเห็นใจเธอนะ แต่คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้น๊ะ น้ำจะขอเป็นกำลังใจให้” “น้ำไปพรุ่งนี้แล้วใช่มั้ย..เราคงคิดถึงน้ำ” “น้ำจะกลับบ้านบ่อยๆ สัญญานะว่า ถ้าน้ำกลับมารินต้องพาน้ำไปเที่ยวน้ำตกบนยอดเขานั่น ไปเก็บดอกไม้ป่า ..” “เราสัญญา..น้ำ” “งั้นเรามาเกี่ยวก้อยกัน” ฤดูฝนปีที่แล้ว สายน้ำขาดช่วง พืชผักผลไม้ในไร่ล้วนได้รับผลกระทบ แมลงวัชพืชตัวร้ายก็กระหน่ำซ้ำเติม ที่ร้ายไปกว่านั้นน้ำตกที่อยู่บนยอดเขา น้ำแห้งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้ที่เดือดร้อนกว่าใครๆจากปัญหาดังกล่าวนี้ นอกจากชาวไร่ชาวสวนแล้ว รินเองร้อนใจยิ่ง เพราะถ้าน้ำกลับมาจากกรุงเทพ เขาจะไม่สามารถพาเธอไปเที่ยวชมน้ำตกที่สวยอย่างเมื่อก่อนได้  ซ้ำร้ายดอกไม้ที่สวยงามกับแห้งเหี่ยวตายเกือบหมด สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้น คือเฝ้าดูแลและปลูกเสริมเหล่าดอกไม้ป่าจนบานสะพรั่ง น้ำที่ไหลจากยอดเขาน้อยลง จนเกือบแห้ง เขาไม่สามารถทำอย่างไรได้ ส่วนดอกไม้ช่างเบ่งบานสวยงามขัดกับความแห้งแล้งบนยอดเขา เขาชุบชีวิตมันขึ้นมา.. แต่แล้วปีนั้น น้ำไม่ได้กลับมา.. มาปีนี้ ฝนตกตั้งแต่ต้นปี สร้างความยินดีแก่รินยิ่ง เหล่าดอกไม้ป่าสวยกว่าทุกปีที่ผ่านมา มีดอกไม้แปลกๆผุดขึ้นจากการได้น้ำฝนที่มาเร็วกว่าทุกปี รินเฝ้ารอการ กลับมาของน้ำอย่างจดจ่อ การที่เธอไม่ได้กลับมาเมื่อปีที่แล้ว ใช่ว่าเธอลืมสัญญา เธออาจยุ่งกับการเรียนมากจนไม่มีเวลา หรืออาจเพราะอากาศที่ผิดปกติเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อย่างที่กรมอุตุได้แจ้งเตือนผ่านทางวิทยุ จึงมาไม่ได้ และแล้ว..น้ำก็ กลับมา รินยังไม่ได้พบเธอ เพียงได้ยินจากญาติๆของเธอ ว่าเธอมาถึงแล้ว เมื่อบ่ายวันนี้ และเย็นนี้เขาตั้งใจจะไปหาเธอ เขาเก็บดอกไม้ป่าสารพัดจัดสรรอย่างสวยงาม เพื่อนำไปกำนัลต่อเธอ เขามองดอกไม้ช่อนั้นอย่างปีติ ละอองฝนกระเซ็นเข้ามาปลุกให้เขาตื่นจากอาการเหม่อลอย…

seasons changes ฝน ฤดูที่แตกต่าง
รักแท้..ดูแลไม่ได้ อ่านต่อ

รักแท้..ดูแลไม่ได้

เรื่องสั้นสั้น 25 August 200614 June 2019

“เมื่อวาน ทำไมรับโทรศัพท์เราช้าจัง” “ตอนไหนอ่ะ” “ก็จะตอนไหนอีกล่ะ?” “ก็เมื่อวาน เพ้นโทรมาตั้งหลายครั้งอ่ะ จะเอาตอนไหนดีล่ะ” “ก็ตอนเช้าๆไง” ฝ่ายหญิงทำหน้างอน “อ้อ ตอนนั้นเราอยู่ในห้องน้ำอยู่อ่ะ ..” เมื่อเห็นฝ่ายหญิงยังไม่หายงอน ฝ่ายชายซึ่งอยู่ในเครื่องแบบนักศึกษา ถึงกับคุกเข่ากำมือฝ่ายหญิงมาแนบอก “เชื่อเราเถอะ.. ตอนนั้นอยู่ในห้องน้ำจริงๆ” “แล้ว…..ทำไรในห้องน้ำอ่ะ” “ปวดหนักอ่ะ” ฝ่ายชายตอบสีหน้าเอียงอาย แต่ฝ่ายหญิงกลับไม่เชื่อใจคำพูด “อะไรกัน เห็นเมื่อก่อน ถ่ายหนักตอนเจ็ดโมงสามสิบห้านาทีไม่ใช่เหรอ เมื่อวานเพ้นโทรไปตอนแปดโมงน๊ะ” “เราท้องเสีย..” “จะท้องเสียทำไมไม่โทรมาบอกเพ้นก่อน หรือไม่ก็เอาโทรศัพท์เข้าไปในห้องน้ำด้วย” “ก็…” ฝ่ายชายรู้สึกเริ่มไม่สบอารมณ์กับความไม่มีเหตุผลของเธอ หากเธอไม่สวยน่ารักและกระเป๋าหนัก เขาคงไม่ลงทุนขนาดนี้ “ก็..เรากลัวเพ้นจะเหม็นอ่ะ” ตอบไปกึ่งมุขกึ่งจริงจัง “บ้า..ปุงไม่เหม็น เพ้นก็ไม่เหม็นเหมือนกัน ลืมแล้วเหรอ..” “ลืมอะไร” ฝ่ายชายทำหน้าเหรอหรา “ก็เรามีแต่กันและกัน ปุงมีอะไร เพ้นก็รับได้หมดแหละ” “ตกลง ไม่โกรธเราแล้วใช่ป่ะ?” “ไม่..ต้องหอมแก้มทีหนึ่งก่อน” “ตอนนี้เลยเหรอ?” “อือ” “นี่มัน..คนเยอะน่ะ” “ไม่กล้าเหรอ งั้น..” “โอ่ๆๆ กล้าจ๊ะ กล้า..” “งั้น..อ่ะ” ฝ่ายหญิงหลับตา บุ้ยแก้มมายังฝ่ายชาย หันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมอง จึงหอมที่แก้มของเธอเบาๆ อย่างรวดเร็ว “หอมมั้ย” ฝ่ายหญิงถาม “อือ..หอม” “อยากหอมอีกมั้ย” “อยาก แต่แค่นี้ก่อนดีกว่าน่ะ” “ตอนเย็นอย่าลืมมารับด้วยน๊ะ” “จ๊ะ นี่มันบ่ายโมงกว่าแล้วน่ะ เดี๋ยวครูก็ดุเอาหรอก เข้าห้องเรียนสาย” “ช่างปะไร บ่ายวิชาคณิต น่าเบื่อจะตาย สั่งแต่การบ้าน ไม่เห็นจะสอนอะไรเลย” “เอาเถอะน่ะ ถ้าตอนมัธยมพื้นไม่ดี ขึ้นมหาลัยจะลำบากนะ” “อือ งั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพักชั่วโมงเพ้นจะโทรไปหานะ” “จ๊ะ” “บ๊าย บาย” “บาย” เมื่อหญิงสาวที่พึ่งเปลี่ยนสภาพจากเด็กหญิงเป็นนางสาวได้ไม่ถึงปีเดินพ้นสายตาไปแล้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น “จ้า หนิง” “กำลังไปจ๊ะ พอดีพึ่งเอารายงานไปเข้าเล่มอ่ะจ๊ะ” “เช็คชื่อให้ด้วยนะ คงเข้าเลทอ่ะ” “คิดถึงจ๊ะ คิดถึง ก็มัวยุ่งๆ เลยไม่ได้ไปหาอ่ะ แต่ก็เดี๋ยวเจอกัน” “อือๆ…

จ่าฝูง อ่านต่อ

จ่าฝูง

เรื่องสั้นสั้น 22 August 2006

ลูกแพะอ้อยอิ๋งยืนเลียแผลให้แพะผู้แม่ ซึ่งนอนหายใจรวยริน สีหน้าบ่งถึงความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เกินการคาดคิด ขณะที่ทุกคนหลับสนิท สุนัขจรจัดตัวหนึ่งเตร็ดเตร่ตามทางเล็กๆมา กระทั่งถึงบ้านเธอ กลิ่นสิ่งมีชีวิตเชื้อเชิญให้มันกระโจนข้ามรั้วเข้ามา ด้วยความเหนื่อยล้าจากเมื่อกลางวัน ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงผู้บุกรุก เธอรู้สึกตัวอีกที เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่น่องขาซ้าย เมื่อลืมตาขึ้น เธอหวีดร้องสุดขีด สุนัขจรจัดพยายามลากเธอออกไปด้านนอก โชคยังดี เสียงที่หวีดร้องของเธอไม่ไร้ผลเสียทีเดียว ฝูงแพะหลายสิบตัวแตกตื่นด้วยเสียงนั้น วิ่งออกมาจากที่พัก แม้ไม่มีอาวุธคือเขี้ยวอันแหลมคมอย่างสุนัข และถึงแม้มีเขาอันแข็งแกร่ง แต่ด้วยพื้นฐานเป็นผู้ที่ไม่นิยมความรุนแรง หมู่แพะเหล่านั้น จึงได้แค่กระโจนไปข้างหน้าขู่สุนัขให้ล่าถอยไป ผลจากการจู่โจมของสุนัขจรจรไร้หัวนอนปลายเท้าครั้งนี้ ทำให้แม่แพะบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดเดินไม่ได้ ผู้ที่รับภาระจึงตกมาแก่แพะผู้ลูกวัย ๑ ขวบเศษ ทุกๆเช้าแพะผู้ลูกจะลัดเลาะตามชายทุ่ง หลังจากกินหญ้าจนพอแล้ว ก็เลือกเด็ดยอดหญ้าอ่อนๆคาบไปฝากแม่แพะด้วย และทุกวัน ลูกแพะจะเฝ้าดูแลเลียแผลให้แพะผู้แม่อยู่ไม่ห่าง วันแล้ววันเล่าลูกแพะยังคงปฏิบัติเช่นเดิม แม่แพะเองก็มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น แผลหายดีเกือบปกติ แต่ยังไม่สามารถยืน เดิน วิ่งได้เหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่เคราะห์กรรมของแพะแม่ลูกดูเหมือนยังไม่หมดสิ้น วันนั้นท้องฟ้ามืดครื้ม ฝนทำท่าจะตก แต่แม่แพะยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย แม้เวลาจะล่วงเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ทุกวันลูกแพะจะกลับมาก่อนเที่ยง ดูแลแม่ และจะออกไปอีกทีเมื่อบ่ายคล้อย ยิ่งคิดยิ่งเป็นห่วง แม่แพะนอนชะเง้อดูต้นทางลูกอย่างห่วงใย ซึ่งเธอสามารถทำได้แค่นั้น เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนเข้าสู่เวลาเย็นย่ำ ความมืดเริ่มปกคลุมทั้วพื้นที่ โชคยังดีที่แม่แพะยังมีน้ำให้ประทังหิว แต่เวลานี้ความหิวไม่อาจเทียบได้กับความเป็นห่วงลูก เธอเริ่มร้องหาลูก การร้องในเวลาค่ำคืนนับเป็นการฝืนกฏ เพราะนั่นจะเป็นการนำพาอันตรายมาสู่ตัวเอง แต่เธอเลือกที่จะทำโดยไม่เกรงกลัวอันตราย และการกระทำของเธอในครั้งนี้นับเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด ฝูงสุนัขป่าไม่ต่ำกว่า ๕ ตัวเดินมาตามเสียงนั้น และปรากฏตัวรายล้อมแม่แพะ เธอตื่นตระหนกกับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาล แต่กระนั้นยังข่มความกลัวไว้ ยังคงร้องเรียกหาลูกแพะอยู่อย่างนั้น ครั้งนี้ฝูงแพะตัวอื่นๆ ไม่มีเหมือนครั้งก่อนนั่นแล้ว เพราะตั้งแต่เธอเดินไม่ได้ ฝูงแพะซึ่งมีการเปลี่ยนที่หากินอยู่ตลอดเวลา ก็ได้เคลื่อนฝูงไป ทิ้งแม่แพะกับลูกไว้เพียงลำพัง ลูกไปไหน..มาช่วยแม่ทีเถอะลูกเอย ย ย ..ย สิ้นเสียงร้องครั้งสุดท้าย สุนัขป่าจ่าฝูงก็ย่างกรายเข้าใกล้ สายตามันจับจ้องที่แม่แพะแล้วเงยหน้าขึ้นท้องฟ้า คำรามกึกก้องทั้วป่า เสียงเกรี้ยวกราดน่ายำเกรง มันเขยิบตัวเข้าใกล้แม่แพะยิ่งขึ้น แยกเขี้ยวหมายขย้ำเข้าที่แผลเก่าของแม่แพะ เพื่อหวังฉีกเนื้อให้ขาดกระเซ็น แม่แพะหลับตาพริ้มนึกปลงถึงโชคชะตา สิ่งที่เธอหวังในใจตอนนี้ เพียงหวังให้ลูกชายปลอดภัย และอย่าได้มาในขณะนี้ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตที่ต้องถูกสังเวยอีกเช่นกัน และแล้ว..แม่แพะกลับรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แทนความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวของสุนัขป่าจ่าฝูง เธอกลับได้ลิ้มรสถึงสัมผัสอันสบายที่คุ้นเคย เธอลืมตาขึ้น ร้องด้ วยความดีใจ ลูกก ก…

อ่านต่อ

เฟะ !

เรื่องสั้นสั้น 18 August 20068 June 2019

คืนนี้ไม่รู้จะได้เงินพอกับค่าเช่ารถหรือเปล่า รถแท็กซี่เดี๋ยวนี้ ถ้าคันเก่าก็ไม่มีคนโบก ถ้าคันใหม่หน่อยค่าเช่าก็แพงเหลือเกิน วันหนึ่งต้องวิ่งรถให้ได้อย่างต่ำ ๒ พันบาท ถึงจะมีเหลือจุนเจือลูกๆ ค่าเช่ารถแปดร้อย ค่าแก๊สสองถึงสามร้อย ค่าเทอมลูก ค่ากับข้าว ดึกๆคึกคะนองค่าพาน้องหนูขึ้นห้องอีก ฯลฯ ..เฮ้อ เอี้ยดดด..ด “ไอ้สัตว์! จะรีบไปตายรึไงว่ะ” เขาไขกระจกออกไปตะโกนด่ามอเตอร์ไซค์ที่ขับปาดหน้าไป เฮ้อ..สงสัยต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางอย่าง ค่าเทอมลูก ค่ากับข้าว ค่าพาน้องหนูขึ้นห้อง สามอย่างนี้จะลดอันไหนดีหว่า ตอนนี้คิดไม่ออกไม่เป็นไร ค่ำคืนนี้อีกยาวนานนัก ขับรถแท็กซี่หาผู้โดยสารสักพักคงคิดได้ ยามค่ำคืนรถราเริ่มน้อยลง หมู่นักเที่ยวหญิงชายทั้งอายุเกิน ๑๘ และต่ำกว่า ต่างแต่งหน้าทาปากตะแล่นสู่สถานที่เริงรมย์ ราวแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ผู้โดยสารรายแรกของค่ำคืนนี้กำลังกวักมือเรียกไวไวนั่นแล้ว“ไปรัชดาพี่” เขาพยักหน้า ผู้โดยสารเป็นนักศึกษาหญิง ๔ คน ดูจากรูปร่างหน้าตาน่าจะเกิน ๒๐“วันนี้อาจารย์แม่งงี่เง่า รู้ก็รู้วันนี้วันศุกร์ ยังลากให้ทำโน่นทำนี่กว่าจะปล่อย” สาวผมตั้งหน้าขาวพูดทำลายความเงียบ“จะไปเที่ยว มึงจะพูดเรื่องเรียนหาห่าอะไรวะ” สาวสายเดี่ยวตัดบทหญิงสาวที่นั่งด้านหน้ารู้สึกคันปากจึงหันไปพูดบ้าง “ว่าแต่แกนัดพวกไอ้โจ๊กยังว่าไปเจอกันที่ไหน เดี๋ยวแม่งไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าหรอก”“มึงกลัวไอ้ต้นไม่มาด้วยละซี มันมาอยู่แล้วน่า มึงกลัวคืนนี้ไม่มีคนนอนกกละซี ฮ่ะ ฮะ ฮ่าาา” สาวผมตั้งหน้าขาวหัวเราะอารมณ์ดี ขณะที่อีกฝ่ายหน้าแดง แต่แววตาเคลิบเคลิ้ม รถแท็กซี่วิ่งตรงไปยังเป้าหมาย เขายังคงขับรถอย่างสงบเงี่ยม หลายครั้งที่เขารับเด็กสาวในยามค่ำคืน เมื่อได้พูดคุยจึงได้รู้ว่า เธอกำลังไปหาเงินกลางคืน นั่นคือ ไปขายบริการ เขาจึงไม่รอช้าที่จะเลียบเคียงขอซื้อบริการในราคาพิเศษ และบ่อยครั้งที่หญิงสาวมีเงินไม่พอค่าแท็กซี่ เรือนร่างจึงเป็นค่าตอบแทนค่าแท็กซี่ไป เพียงไม่กี่แยกไฟแดงก็ถึงที่หมาย สาวเซ็กซี่ใส่เกาะอกหลังจากเงียบอยู่นาน จึงเอ่ยขึ้นบ้าง“พวกมึงเอาบัตรประชาชนปลอมมาด้วยป่าว ขืนลืมเอามาได้อดแดกกันหมด”“ไม่ลืมหรอกน่า ไอ้พวกตรวจมันก็ไม่ได้กวดขันอะไรมากมายหรอก มันอยากให้เข้าร้านมันจะตายไป” “ตายห่า..เด็กพวกนี้อายุยังไม่ถึง ๑๘ ริอาจเที่ยวซะแล้ว” เขารำพึงในใจ “เฮ้ย พวกแก เงียบๆหน่อย แม่กูโทรมา” หญิงสาวสายเดี่ยวตะโกนบอกเพื่อน“ฮัลโหล ค่ะ คุณแม่…….ค่ะ อยู่บ้านเพื่อนค่ะ ทำรายงานกลุ่มกันอ่ะคะ คงไม่ได้กลับบ้านนะค่ะคืนนี้ บ้านเพื่อนๆ ๆ ค่ะ หนูก็รักแม่ค่ะ สวัสดีค่าาาา” “ตอแหล” เขาสบถเบาๆ “มึงนี่หลอกแม่เนียนจริงๆ เห็นหน้าใสซื่ออย่างนี้ ใครจะรู้”“แจน แกไม่โทรไปบอกพ่อแม่แกหน่อยหรอ บอกว่าทำรายงานก็ได้ เขาคงเชื่ออยู่หรอก”“พวกเขาไม่สนใจว่ากูจะอยู่ไหนอยู่แล้ว โทรเปลืองตังค์เปล่า ๆ”…

คนเลว อ่านต่อ

คนเลว

เรื่องยาว 17 August 2006

เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะรถวิ่งพล่าน เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จาก ๓๐ นาที เข้าสู่นาทีที่ ๓๑ จากป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนเพียง ๔-๕ คน เพิ่มเป็น ๑๐-๑๕ คน รถเมล์เป้าหมายยังมาไม่ถึง แม้จะเร่งรีบ แต่เขาก็เข้าใจในความจริงที่ว่า มีหลายอย่างในโลกนี้ ที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเรา การแสดงอาการร้อนรน คำสบถด่า การบ่น การด่ารัฐบาล มิได้ช่วยให้รถเมล์มาเร็วขึ้น ที่แย่กว่านั้น มันทำให้คนรอบข้าง หรือกระทั่งบรรยากาศแย่ไปด้วย เวลาผ่านไปอีก ๑๕ นาที รถเมล์ที่เขาเฝ้ารอมานานเดินทางมาถึง คนเกือบทั้งหมดในป้ายรถเมล์กรูขึ้นอย่างเร่งรีบ ส่งผลให้หญิงชรานางหนึ่งถูกเบียดเสียดเสียหลักล้มลงหน้าประตูรถเมล์ ข้าวของในมือร่วงกระจายเต็มพื้น ไม่ปรากฏผู้กระทำผิดลงมายอมรับผิดพร้อมยื่นค่าชดใช้หรือไม่มีแม้กระทั่งคำขอโทษ เขาเดินเข้าไปช่วยเก็บข้าวของ พร้อมตะโกนบอกรถเมล์ที่ทำท่าจะออกจากท่าให้หยุดรอก่อน กระเป๋ารถเมล์ทำท่าไม่พอใจ ไม่รู้แม่มันจะตายหรือยังไง ถึงต้องรีบอะไรขนาดนั้น เขาถือของให้หญิงชราแล้วค่อยๆพยุงให้เธอขึ้นรถอย่างระมัดระวัง บนรถเมล์แทบไม่มีแม้ที่จะยืน ไม่ต้องกล่าวถึงที่นั่งสำหรับหญิงชราวัย ๗๐ อย่างเธอ และไม่ปรากฏผู้ใดผู้หนึ่งเสียสละลุกให้เธอนั่ง“ขอที่นั่งให้คนแก่หน่อยครับ” เขาพยายามพูดอย่างสุภาพ พร้อมก้มตัวเล็กน้อยขอความเห็นใจ ชายผู้เป็นเจ้าของที่นั่งวัย ๓๐ ต้นๆ ลุกให้อย่างไม่เต็มใจ มีคำสบถเล็ดลอดออกจากมุมปาก แต่เขาไม่สนใจ ชายหนุ่มพาหญิงชราเข้าที่นั่งอย่างนิ่มนวล“ขอบใจนะ พ่อหนุ่ม” เขายิ้มแทนคำตอบ รถเมล์ค่อยๆผ่าดงรถติดทีละนิด จนกระทั่งลุถึงที่หมายปลายทาง เขาขยับตัวยืนรอที่หน้าประตูรถเมล์ก่อนถึงป้ายประมาณ ๓๐ เมตร กดกริ่งเพื่อให้คนขับรู้ว่า ป้ายหน้ามีคนลง เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น โชเฟอร์เหลือบมองกระจกหลังดูผู้ที่จะลง เมื่อเห็นว่าเป็นเขา จึงแกล้งแถมให้อีก ๒ ป้าย เขายังนิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจ สบถ หรือก่นด่าสาปแช่ง รถเมล์จอดลง เขาลงจากรถอย่างเยือกเย็น หันมายิ้มให้โชเฟอร์และกระเป๋ารถเมล์อีกครั้งก่อนก้าวลงจากรถไป ถึงที่ทำงานแล้ว เขาเดินเข้าไปในตึกสูงตระหง่าน กดลิฟต์ไปยังชั้น ๒๖ภายในลิฟต์ยัดเยียดด้วยมนุษย์เงินเดือนที่ฟุ้งด้วยน้ำหอมจากนานาประเทศ ยกเว้นประเทศไทย ดูเหมือนว่า นอกจากเขาแล้ว คงไม่มีใครในลิฟต์ที่ใช้เสื้อผ้า ชนิด Made in Thailand ไม่น่าแปลกที่เขาถูกมองอย่างเหยียดๆ และไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกคนล้วนครองตัวด้วยชุดสูทโก้หรู เสื้อกางเกงเรียบแปร้ รองเท้าหนังมันแวววับ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเนียบไร้ที่ติ แต่น่าเสียดาย เขาเนียบเฉพาะภายนอก ภายในรกร้างยิ่ง หลายคนสีหน้าบึงตึง…

เมมโมรี่

เรื่องทั่วไป 26 August 2008

พึ่งเช่าวีซีดีเรื่อง เมมโมรี่ รัก-หลอน มาดู หนังแนวลึกลับ ซ่อนเงื่อน มีปมอดีต เมมโมรี่ ในหนังเรื่องนี้ หมายถึงความทรงจำที่แย่ๆในอดีต ซึ่งมีผลในปัจจุบัน ทำให้คนๆหนึ่งมองโลกแปลกไป มองโลกในแง่ร้าย เกลียด กลัว สำหรับตัวละครที่รับบทนี้คือ คุณใหม่ เจริญปุระ   ใหม่เป็นอิงอร ที่ถูกพ่อข่มขื่นตั้งแต่เด็กจนเป็นสาว เธอจึงเกลียดพ่อ ลามไปถึงเกลียดผู้ชายทุกคน เกลียดแม่ตัวเองที่ไม่ห้ามพ่อ ปล่อยให้เรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นกับเธอ   เธอโตมาด้วยความรู้สึกแบบนี้ จนเธอมีโอกาสแต่งงานกับเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งแต่งไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เธอก็เจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบเดิมๆอีกครั้ง กล่าวคือ สามีของเธอชอบใช้ความรุนแรงกับเธอ ขืนใจเธอ จนเธอมีลูก เธอแบบวางยาพิษชนิดสะสมให้สามีกิน จนกระทั่งสามีตาย เธอจึงได้พาลูกไปอยู่ที่อื่น จนมาเจอกับอนันดา หมอโรคจิต (หมอรักษาคนโรคจิต) อิงอรมักทำร้ายลูก เมื่อลูกขัดใจเธอ แต่เมื่อทำร้ายแล้วก็รู้สึกผิด รู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้ทำ (อาการแบบนี้เกิดขึ้นกับหลายๆคน มากหรือน้อยเท่านั้น ผมก็คนหนึ่ง เคยเป็นแบบนี้บ่อยครั้ง) ขณะที่หมออนันดาพยายามจะช่วยเธอกับลูก แต่ถูกปฏิเสธ อนันดาเองก็มีเมมโมรี่เล็กๆอยู่ในอดีตเช่นกัน เมื่อมาเจอกับอิงอร เขาจึงรู้สึกสงสาร เห็นใจ และเกิดความรักในที่สุด แต่อิงอร เธอไม่รู้สึกเช่นนั้น เธอเกลียดผุ้ชาย สุดท้ายเธอก็ลงมือทำแบบเดิมอีกครั้ง นั่นคือวางยาหมอ   แต่ครั้งนี้หมอยังไม่ถึงฆาต.. ปมประเด็นทั้งหมดจะถูกเปิดเผยออก ความลับ และเมมโมรี่ร้ายๆในอดีตของอิงอรน่ากลัวขนาดไหน และเมมโมรี่ของอนันดาคืออะไร …ลองแวะร้านเช่าวีซีดีมาชมดูกันครับ   ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่า ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี สิ่งที่ทุกคนเรียกว่าผีนั้น เป็นโรคเมมโมรี่นี่เอง โรคของความทรงจำร้ายๆในอดีตคอยหลอกหลอน และเกิดภาพซ้อนในสมอง อยู่กับความจริงแท้ และความจริงเทียมจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือจริง อันไหนคือแท้ ท้ายที่สุดก็เป็นโรคประสาท โรคบ้า เห็นอะไรแปลกๆที่คนอื่นไม่เห็น   คนที่กลัวผีน่าจะลองดูหนังเรื่องนี้นะครับ ถ้าทฤษฏีของหนังเรื่องนี้ถูก ผีไม่น่าจะมีในโลก   ป.ล. เมื่อคืนนั่งดูรายการ จับเข่าคุย แขกรับเชิญคือคุณสมจิตร จงจอหอ ฮี่โร่โอลิมปิก ปักกิ่งเกมส์ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว สมจิตรก็มารายการนี้ แต่อารมณ์ตรงกันข้ามกับครั้งนี้ ตอนนั้นเขากลับจากโอลิมปิกอย่างผู้แพ้ เขาท้อ…

ไม่รู้ว่าหลอก..แต่เต็มใจให้หลอก

เรื่องทั่วไป 13 May 2010

วันก่อนมีโอกาสคุยกะเพื่อนที่ฝั่งธนฯ  เพื่อนคนนี้มีอัธยาศัยดี หน้าตาเป็นมิตรกะคนทั่วไป ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ซึ่งบุคลิกอย่างนี้ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี ข้อเสีย คือ นอกจากจะทำให้คนรอบข้าง(ที่เรารู้จัก)รู้สึกดีแล้ว ยังมีผลถึงคนรอบข้าง(ที่เราไม่รู้จัก)อีกด้วย เขาเป็นเหมือนแรงดึงดูดเอามิจฉาชีพ 18 มงกุฏมาหาตัวเองเรื่อยๆ ด้วยบุคลิกยิ้มง่า่ย อัธยาศัยดี และขี้เกรงใจนี่เอง  จึงทำให้เป็นที่หมายปองของมิจฉาชีพบ่อยๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน มันมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง (อีกแล้ว) ว่า ผมโพสต์ไว้วันที่ 13 พ.ค. รอดูวันที่ 16 ซึ่งเป็นวันหวยออก มันจะถูกหวยจริงๆหรือไม่? 18 มงกุฏรายนี้ร้ายจริงๆ นอกจากจะหลอกเอาเงินไปแล้ว ยังหลอกให้เสียเงินซื้อหวย(ผิดๆ) อีกต่างหาก .. เงินที่เสียค่าโง่ไป 700 บาทนะไม่เท่าไร แต่ถ้าคนถูกหลอกเชื่อจริงๆจังๆ ซื้อหวยหมดเป็นพัน หรือถึงหมื่น .. นี่นับว่าร้ายแรงเลยทีเดียว

พิภพ หวย

ชิงเถิดหมา

ไดอารี่ 20 February 2011

ถ้าพูดถึง “พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง” หลายๆคนก็คงจะคิดภาพผู้ชายดิบๆ เถื่อนๆ สมัยวัยรุ่นเป็นนักร้องร็อค เพลงกวนตีนอย่าง ครายจะทำมาย หรือเพลงที่โดนใจจิ๊กโก๋อย่าง หัวใจนักเลง เพลงซึ่งๆอย่าง สั่งเสีย และอื่นๆอีกมากมาย ภายหลังนักร้องร็อครุ่นใหญ่ได้มาเอาดีทางการแสดง ก็จัดได้ว่าเป็นนักแสดงขั้นเทพคนหนึ่ง จนปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับเต็มตัว สร้างชื่อให้ตัวเองโด่งดังจากเรื่อง Be myself ขอให้รักจงเจริญ และเรื่อง Happy Birthday ส่วนงานละครก็มีให้ชมอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าฝีมือเป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังคอละครทีเดียว จนมาถึงเรื่องล่าสุด “ชิงหมาเถิด” ทีแรกก็คิดว่าเป็นหนังตลก เพราะดูจากตัวอย่างหนังที่ตัดมา มีแต่ฉากตลก แต่พอได้ดูจึงรู้ว่าเป็นหนังเสียดสีแดกดันประชดประชันสังคมแทบจะถูกอณูหนัง คือทุกฉากมีการแอบกัดแอบประชดสังคมตลอด อยู่ที่ว่าผู้ดูสามารถตีความหรือดูออกหรือไม่? หนังเล่าถึงยุคที่สังคมเป็นโรคบ้าเห่อ ในหนังทุกคนกำลังเห่อสัตว์ตัวหนึ่งที่เรียกกันว่าเป็น “หมาหิมะ” หมาหิมะเป็นขวัญใจของคนทั้งประเทศ ยกเว้นสามคน คือ ลูกเจ้าของหมาหิมะที่พ่อสนใจแต่หมาจนไม่สนใจตน รู้สึกตัวเองว่าถูกหมาหิมะแย่งความรักไปจนหมด อีกคนคือ “เด่น” ผู้ถูกให้ออกจากงาน เพราะไม่เอาการเอางาน แต่พาลไปโกรธ “หมาหิมะ” พยายามประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ก็ไร้ผล และอีกคนคือ “อาท” เด็กอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังทางหน้าหนังสือพิมพ์ แต่แล้วทุกคนก็ลืมเขาผู้เป็นเด็กอัจฉริยะ หันไปสนใจและกล่าวถึงแต่หมาหิมะ จนเขารู้สึกมั่นไส้จึงเขียนประกาศในห้องน้ำชายว่า เขาจะลักหมาหิมะมาให้ดู หนังก็เล่าถึงระบบรักษาความปลอดภัยหมาหิมะขั้นสูง พอๆกับระบบรักษาความปลอดภัยของภาพโมนาลิซ่า หรือเพชรพันล้าน  ภาพตอนผ่านเข้าไปทีละขั้น ดูไฮเทคดี แต่พอตัดมาที่ฉากบัญชาการภายใต้ระบบที่โคตรไฮเทคนั้น โลเทคสิ้นดี มีคอมพิวเตอร์เก่าๆ 4-5ตัว และเจ้าหน้าที่หน้าตาโบราณเหมือนข้าราชการแก่ที่ไม่ค่อยรู้จักคอมพิวเตอร์นั่งบัญชาการอยู่ สภาพห้องยิ่งหดหู่ ฉากที่แดกดันประชดประชันมากที่สุดคงเป็นฉากที่ผู้บัญชาการตำรวจกำลังนำทีมสืบหาหมาหิมะที่หายไป แต่แล้วนายตำรวจท่านหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า จังหวัดหนึ่งของประเทศกำลังถูกยึดไปแล้ว ผู้บัญชาการตำรวจกล่าวด้วยเสียงมีอารมณ์ว่า “ประเทศเรามีหลายจังหวัด เสียไปจังหวัดเดียวก็เท่ากับเสียไปแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเสียหมาหิมะที่มีแค่ตัวเดียวในโลกเท่ากับเสียไป 100 ปอร์เซ็นต์ เท่านี้พวกคุณก็เรียงลำดับความสำคัญไม่ได้!!” แต่โดยรวมแล้วหนังก็สนุกดี ส่วนหนึ่งเพราะได้นักแสดงคุณภาพอย่าง บอย ปกรณ์  โก๊ะตี๋ มีฉากซึ้งๆระหว่างพ่อกับลูกให้ซึ่งได้เหมือนกัน แต่ที่ยังสงสัยจนหนังจบแล้วยังไม่หายสงสัยคือ พี่อ็อฟ พงษ์พัฒน์ในเรื่องเป็นใคร??? ดูจนจบแล้วหนังก็ไม่บอกว่าพี่แกเป็นใครมาจากไหน ไล่ยิงชาวบ้านอย่างเดียว พอถามก็บอกแค่ว่า เป็นหน้าที่ !! ยังบอกไม่ได้ว่า หนังของพี่อ็อฟเรื่องเป็นหนังแนวไหน สันนิษฐานว่าเป็นหนังตามใจผู้กำกับที่พยายามจะถ่ายทอดสังคมปัจจุบันในมุมมองของพี่แกเอง ตอนจบเป็นยังไง ไม่ขอบอก เผื่อบางคนอยากไปดู แต่ถ้าใครดูแล้วได้คำตอบว่าพี่อ็อฟเป็นใคร รบกวนช่วยมาบอกด้วยนะ อยากรู้จริงๆ

ชิงหมาเถิด พงษ์พัฒน์
อ่านต่อ

เที่ยวน้ำตกโกรกอีดก

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 13 October 202213 October 2022

นอนเต๊นท์เล่นน้ำตก

กางเต๊นท์ น้ำตกโกรกอีดก โป่งก้อนเส้า
อ่านต่อ

ทริปปั่นปั่น กับ น้องขาวเพรียว

สุขกะภาพ 30 March 201525 August 2022

เมื่อต้นปีมีโอกาสไปต่างจังหวัด ครั้งนี้ไปคนเดียวครับ  อย่ากระนั้นเลย เดี๋ยวรถจะเบา จึงหิ้วน้องเพรียวขาวขึ้นรถไปด้วย .. ก็จึงเกิดมีภาพน้องเพรียวขาวกับบรรยากาศลูกทุ่งๆ ฉะนี้แล

ขาวเพรียว จักรยาน
อ่านต่อ

จิ๊กกี๋ในวัย 70 กะรัต

สุขกะภาพ, ไดอารี่ 23 September 20163 November 2017

เข้าสู่วัย 10 ขวบแล้วสำหรับจิ๊กกี๋ ถ้าเป็นคนก็เริ่มเข้าสู่วัย 70 นิสัยเธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม ขี้อ้อน ขี้กลัว กลัวฝนกลัวฟ้าร้องกลัวฝนตก สายตาเริ่มพร่ามัว มองไกลๆไม่ค่อยเห็นตามประสาหมาสูงอายุ แต่ยังเป็นหมาที่กินยาก ฉี่ยาก อึยากเช่นเคย เอาภาพมาอัพเดตไว้เท่านี้แหละ

จิ๊กกี๋

เมื่อผมอยากมีสี

ไดอารี่ 12 February 2010

ช่วงนี้เหนื่อยหน่อย ต้องตื่นเช้าหลายวันแหละ..เรื่องของเรื่องคือ ผมไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการทหาร !! หลังจากปีที่แล้วพลาดท่า ปีนี้เลยขอโอกาสอีกครั้ง การสอบมีเรื่องให้ยากลำบากทั้งกายและใจอยู่หลายอย่าง  1. ลำบากใจ เพราะการสอบมีตั้ง 5 วัน โชคดีที่ไม่ติดกันทั้ง 5 วัน การจะลาหลายๆวันในเดือนเดียวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากใจ ผู้จัดการไม่ว่ากระไร แต่เราก็เกรงใจเหลือแสน  2. ลำบากกาย การสอบทหารนอกจากจะต้องทำข้อสอบได้แล้ว ร่างกายต้องแข็งแรง มีการทดสอบดันพื้น ลุกนั่ง และวิ่งรอบสนามฟุตบอล 2 รอบ ประมาณ 800 เมตรในเวลาไม่เกิน 4 นาที !! ด่านอื่นๆไม่ว่าจะดันพื้น หรือลุกนั่ง เราต้องแข่งกับตัวเอง และไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก แต่ตอนวิ่งนี่สิ ต้องวิ่งพร้อมกับคนอื่นและทุกคนก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขคือต้องวิ่งไม่เกิน 4 นาที ดังนั้น สิ้นเสียงนกหวีด ทุกคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุในเวลา 11.00 น. นาทีนั้น ผมคิดถึงครั้งแรกในชีวิตของทุกคนที่ต้องแข่ง คือ การแข่งกันของสเปิร์มที่ว่ายเพื่อไปถึงไข่ในมดลูก สเปิร์มตัวที่แข็งแรงที่สุดจะเป็นผู้กำชัยชนะ ทุกคนเป็นสเปิร์ม ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งโดยไม่หันมอง ทักทาย หรือสนใจคนข้างๆที่วิ่งไม่ไหวแล้ว สนใจแต่เป้าหมายของตน มันต่างจากวิ่งจ๊อกกิ้งในเวลาเช้าที่สวนสาธารณะ ไม่มีการทักทาย ยิ้มแย้ม ทุกคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ ผมวิ่งตามจังหวะและระดับความเร็วของตัวเองที่เคยทำตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เหนื่อยเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าครั้งแรกที่มาซ้อมวิ่งที่สวนสาธารณะ ผมได้ความเร็วที่ 3.39 นาที ถือว่าผ่าน วันพฤหัส ไปสอบข้อเขียน บ่ายวันนั้นฤกษ์ไม่ดีเอาซะเลย ใกล้จะถึงกรมยุทธฯอยู่แล้วแท้ๆ เจอด่านตำรวจ ผมนั่งมอเตอร์ไซต์วินจาก รถไฟใต้ดินบางซื่อ ไม่ใส่หมวกกันน็อค คนขับเป็นผุ้หญิง แกตกใจมาก ตำรวจถามว่า ทำไมไม่หาหมวกกันน็อคให้ผุ้โดยสาร ..แกเงอะงะพูดไม่ออก ตำรวจเลยหันมาทางผม ..”ผมจะรีบไปสอบนายร้อยครับ” พูดพร้อมยื่นบัตรให้ดู ..ตำรวจกล่าวตักเตือนคนขับมอไซต์นิดหน่อย แล้วก็ปล่อยไป  ดวงไม่ดีจริงๆ เพราะผมทำข้อสอบข้อเขียนไม่ได้เลย !!! วันนี้(วันศุกร์) พึ่งไปสอบสัมภาษณ์มา..เฮ้อ ต้องถอนหายใจแรงๆอีกสักที รู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามได้ไม่น่าประทับใจสักเท่าไร .. แต่ช่างเถอะ หมดหน้าที่ของเราแล้ว ..เราทำดีที่สุดที่สามารถทำได้แล้ว…

ศรีษะนี้..มอบแด่พระเจ้าแผ่นดิน!!

เรื่องทั่วไป 16 May 2010

พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง พูดในงานนาฏราช..ฟังแล้วขนลุก ดาราหลายคนน้ำตาคลอ มีดาราไม่กี่คนที่กล้าแสดงออกทางความคิดในเรื่องการเมือง ด้วยพวกเขาอยู่ในอาชีพที่ต้องอาศัยแรงศรัทธาจากผู้ชม หากชัดเจนว่าอยู่ฝั่งหนึ่ง แฟนานุแฟนที่อยู่อีกฝั่งคงจะไม่ชอบ ดาราจึงออกมาพูดเรื่องการเมืองน้อย และถึงพูดก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก แต่การพูดของพี่อ็อฟ พงษ์พัฒน์ในครั้งนี้ ได้ใจคนทั้งสองฝั่ง

พงษ์พัฒน์

โบราณว่า

ไดอารี่ 9 February 2011

โบราณว่า ‘ไม้ล้ม..อย่าข้าม’ แต่วันนี้ผมเจอคนชอบฉวยโอกาส รายแรกที่เคยเจอคือ คนขับรถตู้ ถ้าผู้โดยสารโนเนมคือไม่รู้อัตราค่าโดยสารมาก่อน จะแอบบวกเข้าไปอีก 5 – 10 บาท เิงินเท่านั้นจะทำให้รวยขึ้นเท่าไรกัน มันคุ้มมั้ยกับคำว่า “โกง” ที่ปรากฏบนหน้าผาก “มึง” รายที่สองมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ถ้าวันไหนรถติดเยอะๆ คนกลัวไปทำงานไม่ทันก็ต้องทิ้งรถเมล์ สละแท็กซี่ เพื่อปรี่ไปหามอ’ไซต์รับจ้าง มันเริ่มเล่นตัวทันที จากเคยคิด 20 บวกไปอีก 10 – 20 บาท หรือมากกว่านั้น พวกแบบนี้ยังมีอยู่เยอะ ไม่ได้เสียดายเงินที่ต้องเพิ่มให้ แต่เสียความรู้สึกที่ถูกโกง ขึ้นรถเมล์จะขึ้นเวลาไหนวันไหนก็ยังราคาเดียวตลอด เข้าเซ่เว่น ไม่ว่าจะเข้าเช้า สาย บ่าย เย็น ดึกๆดื่นๆ ของก็ยังราคาเดิม ไม่เคยเห็นพนักงานขายบอกว่า ดึกแล้วขอค่าล่วงเวลาอีก 5 บาท เศษเงินไม่เท่ากับความรู้สึกที่ต้องเสียไปหรอก โบราณว่าไว้ว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

มอไซต์รับจ้าง รถตู้ เหี้ย โกง

มาม่า

ไดอารี่ 9 June 2008

ยุคนี้ยุคประหยัดครับ ใครๆต่างช่วยกันประหยัด หลายหน่วยงานมีกิจกรรมรณรงค์ส่งเสิรมกันมากมาย  มีกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ และทำคล้ายๆกันหลายองค์กร นั่นคือ การสมนาคุณลูกค้า ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็น มาม่า หรือไวไว หากใครมีซองเปล่าครบ 10 ซองสามารถไปแลกฟรีได้ 1 ซอง ผมทานมาม่าเป็นจริงเป็นจัง ซองที่มีน่าจะมากกว่า 10 ซอง พอมีโปรโมชั่นนี้มา เลยไม่ช้าที่จะหอบซองมาม่าไปที่ร้านสะดวกซื้อ 24 ชม. (เซเว่นนะแหละ) ..ติ๊ง ต๊อง.. “เซเว่น อีเลเว่น รับอะไรดีค๋ะ” “เอ่อ..เอาซองเปล่ามาม่า มาแลกมาม่าครับ” ผมตอบอย่างมั่นใจ พนักงานขาย..มองหน้าอย่างเหยียดๆ พร้อมรวบรวมซองเปล่านับอย่างไม่ค่อยสนใจ เสร็จสรรพเธอหยิบมาม่าใส่ถุงให้ผม 3 ห่อ ผมรับถุงมาม่า พร้อมกับทำหน้าแปลกใจ..และพอผมก้าวขาออกจากเซเว่นเท่านั้นแหละ ผมก็ได้คำตอบของอาการของเธอนั้น..มีเสียงแว่วๆ ของพนักงานคุยกันเบาๆ ตามผมมา “หน้าตาก็ดี..แต่จ๊น จน กินแต่มาม่าได้ทั้งเดือนนน”

แบ่งตามหมวด

  • say (8)
  • กลอน (1)
  • คุยกับคอม (9)
  • ช่วยชิม (11)
  • ท่องเที่ยว (61)
  • บ่น (35)
  • บ้านบ้าน (16)
  • พูดจาภาษาฝรั่ง (9)
  • วิ่ง (26)
  • สุขกะภาพ (74)
  • เพลงสั้น (11)
  • เรื่องทั่วไป (88)
  • เรื่องยาว (9)
  • เรื่องสั้นสั้น (52)
  • แมคบุค (4)
  • ไดอารี่ (63)

Copyright © 2020. All rights reserved.

Contact me : nevikup@gmail.com
Facebook.com/aroundmeTH