อย่างที่ทราบกันดีว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาโลกของเราประสบกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือ “โควิด” ทุกกิจกรรมที่ทำนอกบ้านต้องหยุดและเปลี่ยนมาทำในบ้านแทน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอน การทำงาน หรือแม้แต่การออกกำลังกาย
อย่างอื่นพอทำในบ้านได้ครับ แต่สำหรับผมการออกกำลังกายต้องทำนอกบ้านเท่านั้น เพราะการออกกำลังกายของผมนั่นคือ “วิ่ง”
นั่นเองถึงทำให้ผมมีข้ออ้างสำหรับการไม่ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องตั้ง 3 ปี!!
สำหรับคนที่วิ่งบ่อยๆ จะรู้เลยว่า ถ้าหยุดวิ่งนานๆ การกลับมาวิ่งใหม่มันเท่ากับการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ความฟิตของร่างกายแทบไม่มี ความสนุกในการวิ่งที่เคยสัมผัสจะหายไป เราต้องเริ่มหัดวิ่งใหม่ตั้งแต่ระยะ 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร และจะผ่าน 10 กิโลเมตรแบบยากลำบากมาก
การจะวิ่งด้วยตัวเองในระยะ 21 กิโลเมตรนั้นคงทำไม่ได้แน่ คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มหางานวิ่งที่กำลังเริ่มกลับมาคึกคักใหม่..ผมไปเจองาน UTMUthaiThaniMarathon
หลังจากสมัครก็เริ่มซ้อมวิ่งครับ เหมือนเริ่มวิ่งใหม่ ครั้งแรกได้ 5 กิโลเมตร วิ่งด้วยระยะนี้ 2-3 วันก่อนแล้วค่อยขยับไปกิโลเมตรที่ 10 เริ่มวิ่ง 10 กิโลเมตรแบบสบายๆได้ แต่แล้ว..ดันไปติดโควิด ทำให้การซ้อมที่กำลังต่อเนื่องต้องหยุดไปถึง 10 วัน หลังจากหายโควิดมีเวลาซ้อมแค่ 10 วันอีกต่างหาก งานนี้จึงซ้อมได้แค่ 10 กิโลเมตรก่อนงานวิ่งแค่ 5 วัน
วันงาน
งานนี้ฉายเดี่ยวอีกเช่นเคยครับ ผมจองห้องพักไว้ใกล้จุดสตาร์ทซึ่งก็คือสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ห่างแค่ 3 กิโลเมตร หลังจากไปรับบิบเสร็จเรียบร้อยก็เช็คอินเข้าที่พัก งานนี้ปล่อยตัวตอนตี 4.30 ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงจุดปล่อยตัวในเวลาตี 4 หลังจากอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็น เตรียมเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับพรุ่งนี้ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 3.40 เสร็จแล้วเข้านอน
ค่ำคืนนี้ฝนตกหนักมาก ถึงจะหลับๆตื่นๆ และฝันว่าตัวเองออกไปวิ่งแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้หลับบ้าง ก่อนนาฬิกาจะปลุก 5 นาที ผมลุกจากที่นอนเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวไม่นานก็พาตัวเองออกจากห้องพักไปยังจุดสตาร์ท
ปล่อยตัว
ตี 4.30 เมื่อสิ้นสุดสัญญาณปล่อยตัว นักวิ่งพันกว่าคนรวมระยะ 21 และ 42 ก็ทะยานออกจากเส้นสตาร์ท ขาแรงที่อยู่แนวหน้าทั้งหลายตะบึ่งวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มีราวกับว่าจะวิ่งแค่ 400 เมตร แน่นอนสำหรับนักวิ่งขาแรงแล้ว 21 หรือ 42 กิโลเมตรมันก็แค่อึดใจเท่านั้น!
ผมออกวิ่งด้วยจังหวะและความเร็วของตัวเอง นั่นคือวิ่งด้วย pace 6 ปลายๆถึง 7 ( Pace 6 เท่ากับเวลา 6 นาทีในระยะทาง 1 กิโลเมตร)
ด้วยความที่ไม่ได้ไปงานวิ่งมานานและไม่ได้วิ่งระยะทางเกินกว่า 10 กิโลเมตรมานานเช่นกัน ในใจก็กริ่งเกรงว่าจะไม่จบ หวนคิดถึงเมื่อแรกเริ่มวิ่งครั้งแรก ในใจที่เต็มไปด้วยความกังวลพยายามเร่งสปีดตามความเร็วคนอื่นจนตัวเองเหนื่อยเกินไปมีผลให้เกือบวิ่งไม่จบ
ครั้งนี้เราจะอยู่กับตัวเองเข้าใจความฟิตของตัวเองหมั่นเช็คร่างกายเรื่อยๆ และก็ได้ผลครับ 10 กิโลเมตรแรกผ่านไปอย่างไม่ยากเย็นนัก
เข้าสู่ครึ่งหลังของการวิ่ง ผมยังรักษาความเร็วและความเหนื่อยของตัวเองได้ดี pace เฉลี่ยอยู่ที่ 6.30 ซึ่งถือว่าไม่เลวสำหรับการเริ่มต้นใหม่ แม้จะเป็นการวิ่งในเวลาเช้ามืดใกล้สว่าง แต่เราก็สัมผัสได้ถึงวิวข้างทางที่มีอยู่หลากหลาย ทั้งทุ่งนา วัด สะพานข้ามแม่น้ำ และวิวเลียบแม่น้ำสะแกกรัง มีอยู่จุดหนึ่งขณะวิ่งเลียบแม่น้ำ น้องหมาผอมโซตัวหนึ่งวิ่งตามผมและเหมือนรู้มุมกล้อง เมื่อถึงจุดที่มีช่างภาพ น้องหมาก็สปีดมาวิ่งตีคู่กันมา
ผมวิ่งเรื่อยๆด้วยความเร็วคงที่จนที่สุดก็เข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 2.23 นาที pace เฉลี่ย 6.45 ถือว่าไม่เลวสำหรับการกลับมาวิ่งใหม่ ผมเคยวิ่งระยะ 21 ด้วยความเวลาที่น้อยกว่านี้ ถ้าเรายังยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ ชีวิตจะเดินหน้าไปได้อย่างไร วันพรุ่งนี้คือการเริ่มใหม่ สถิติใหม่ นับหนึ่งใหม่ และเป็นคนใหม่ในทุกๆวัน อย่าแปลกใจเมื่อมีใครบอกว่าเราไม่เหมือนเดิม ไม่มีใครเหมือนเดิมเพราะขนาดเวลายังเดินหน้าตลอด
เราแค่ต้องเดินหน้าไปให้ดีกว่าเดิม.