ลาก่อนน้องมารชมพู
ความผูกพันธ์ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ที่ หรือสิ่งของ หากเราใช้ชีวิตกับมันนานๆย่อมมีความผูกพันธ์..และครั้งนี้ก็เช่นกัน จำใจจากน้องมารชมพูด้วยความอาลัยรัก
Find your Heart, Find the Happiness.
ความผูกพันธ์ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ที่ หรือสิ่งของ หากเราใช้ชีวิตกับมันนานๆย่อมมีความผูกพันธ์..และครั้งนี้ก็เช่นกัน จำใจจากน้องมารชมพูด้วยความอาลัยรัก
งานนี้ถือเป็นฮาล์ฟมาราธอนครั้งที่ 4 และเช่นเคยครับ ไปวิ่งคนเดียวแม้ตอนสมัครจะสมัครด้วยกันสองคนก็ตาม!
ไปพักผ่อนเฉยๆนี่แหละครับ แต่จะไปวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันเสาร์อาทิตย์นั้นนะหรือ คนก็เยอะเกิ๊น เลยเลือกเดินทางวันศุกร์และกลับบ่ายๆวันอาทิตย์ดีกว่า ไปโคราชไปเยี่ยมพี่กุ้ง พี่ต้อมผู้ดูแลรีสอร์ทอารมณ์ดี และวินดีรีสอร์ท วันแรกไปโคราชก่อน ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพี่กุ้งพี่ต้อมเช่นเคย ..ทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องกันที่น่าเอาตัวอย่างในเรื่องความรักพี่รักน้องและเรื่องการต้อนรับปฏิสันถาร ดูแลดีมาก ทั้งที่พัก อาหารการกิน กระทั่งพาไปเที่ยวในที่ๆพอจะไปได้ในเวลาอันจำกัด การดูแลเอาใส่ใจต่อแขกนี้ ใช่ว่าจะทำกับคนรู้จักเท่านั้นนะครับ แกดูแลแขกที่มาพักที่รีสอร์ทด้วยอัธยาศัยอันดีเช่นกัน จึงทำให้รีสอร์ทเล็กๆ มีคนเข้ามาพักเต็มตลอดปี เช้าวันเสาร์แม้จะตื่นสายสักหน่อย แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะหยิบรองเท้าออกไปวิ่ง ..เมื่อตอนเย็นแอบเห็นแล้วละว่าแถวนี้มีสวนสาธารณะกว้างขวางและมีคนออกกำลังกายมากมาย สวนนี้มีชื่อว่่า “สวนน้ำบุ่งตาหลั่ว” ตรงกลางเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รอบๆมีถนนอย่างดีสำหรับวิ่ง เดิน และปั่นจักรยาน แยกเลนสำหรับนักปั่นและนักวิ่งโดยเฉพาะครับ คือดีงามมาก กว้างพอสมควร วิ่ง 1 รอบระยะทาง 3.2 กิโลเมตร เช้าวันนั้นจัดไป 10 กิโลเมตร อยากจะวิ่งให้มากกว่านั้น แต่แดดเริ่มแยงตา เสียดายที่ตื่นสายไปหน่อย.. วันที่สองจากโคราชมา มุ่งหน้าเขาใหญ่ งานนี้จัดที่พักพรีเมี่ยมเลยครับ เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ สนนราคาที่พักคืนละ 4,200 บาท ถือว่าแพงที่สุดเท่าที่เคยพักมา ตัวโรงแรมอยู่ในถนนธนรัชต์ที่จะมุ่งหน้าขึ้นเขาใหญ่ไม่ห่างจากปาลิโอมากนัก ตัวโรงแรมอลังการอย่างที่เขาว่าจริงๆ สไตล์ยุโรป (ยุโรปไหนนี่ไม่รู้) บรรยากาศในตัวโรงแรมก็เหมือนอยู่ต่างประเทศ เปิดเพลงคันทรี่เบาๆ ทั่วโรงแรม แต่ละตึกเน้นปลูกต้นตีนตุ๊กแกให้เลื้อยไปทั่วตัวโรงแรม งานนี้เอาภาพมาโชว์อย่างเดียวดีกว่า เล่าแล้วบรรยายไม่ถูก..
งานวิ่งของไทยคมจัดที่สะพานพระราม ๘ นั่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมสนใจใคร่หยิบรองเท้าออกไปวิ่งด้วย สะพานพระราม ๘ เป็นสัญลักษณ์ของงานวิ่งหลายๆงานในกรุงเทพฯ และสักครั้งหนึ่งก็อยากไปสัมผัสบรรยากาศบนสะพานนั้นบ้าง การเปิดรับสมัครในรอบแรกเต็มไปตั้งนานแล้ว เพราะจำกัดจำนวนแค่ 2,000 เท่านั้น แต่เหมือนเทพแห่งการวิ่งได้ยินเสียงวิงวอนจากผม มีการรับเพิ่มอีก 500 ซึ่งผมไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน พอถึงวันวิ่ง ..จุดปล่อยตัวอยู่ตรงสวนสาธารณะพระราม ๘ มุ่งหน้าไปแยกอรุณอัมรินทร์ แล้วเลี้ยวเข้าไปจุดกลับรถใต้สะพาน เนื่องจากวันนี้มีงานวิ่งของกรุงเทพมาราธอนด้วย แม้จะปล่อยตัวกันคนละจุด แต่ใช้สะพานเดียวกัน ดังนั้น การปล่อยตัวจึงต้องเลื่อนออกจากไป จากเดิม 6 โมง เลื่อนเป็น 6 โมงครึ่ง และปล่อยตัวจริงๆคือ 6 โมง 45 นาที การวิ่งในครั้งนี้ผมตั้งใจจะทำเวลาให้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เหมือนสถานที่จะไม่ค่อยอำนวย คนเยอะบนสะพานแคบๆ การแซง การวิ่งเป็นไปด้วยความยากมากใน 2 – 3 กิโลเมตรแรก การพยายามแซง การหลบ การเร่งสปีด การผ่อนช้าเมื่อเจอกลุ่มวิ่งแช่ ทำให้เหนื่อยง่าย บวกกับต้องวิ่งขึ้นสะพาน จึงทำให้ไม่สามารถทำลายสถิติเดิมของตัวเองได้ จบที่เวลา 59.23 นาที เสน่ห์ของที่นี่ คือ วิวดี บรรยากาศดี ปิดถนนได้ 100% จุดให้น้ำมีมากมายพอเพียง .. แต่งานนี้สำหรับผมในแง่ของการวิ่งโอเคครับ ถึงไม่สามารถทำลายสถิติตัวเองได้ แต่ในแง่ของภาพ พังมาก ไม่มีภาพดีๆ มุมสวยๆ อย่างที่ตั้งใจไว้เลย ไม่ถูกบัง ก็ไม่เข้ากล้องไปเลย .. งานครั้งหน้าที่เขาใหญ่มาราธอน ค่อยว่ากันใหม่.
การไปวิ่งจอมบึงมาราธอนถือเป็นความใฝ่ฝันของนักวิ่งทั้งหลาย เพราะไม่ใช่ว่าใครจะไปวิ่งได้ นอกจากมีเงิน มีเวลาแล้ว ยังต้องลุ้นว่าสมัครแล้วจะได้รับเลือกให้ไปวิ่งหรือเปล่า ตอนสมัครวิ่งใจยังไม่พร้อมสำหรับมาราธอนเลยเลือกในระยะที่ตัวเองสามารถทำได้ก่อน นั่นคือระยะฮาล์ฟ แต่พอถึงเวลาจริงกลับเสียดายระยะมาราธอน.. เราน่าจะจบมาราธอนแรกเสียทีนี่เลย
จากกิจกรรมการวิ่งของพี่ตูน บอดี้สแลม 10 วัน 400 กิโลเมตร เพื่อนำรายได้ไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล หลายคนได้ร่วมบริจาคกับกิจกรรมครั้งนี้ และอีกหลายๆคนเกิดแรงบันดาลใจในการออกไปวิ่ง “ก้าวเล็กๆ ที่ออกไปวิ่ง มาจากชัยชนะของจิตใจที่ยิ่งใหญ่” เมื่อต้นปี 59 มีการสร้างเพจเล็กๆ เพจหนึ่ง ชื่อ Recon Running เป็นการรวมกลุ่มเพื่อจัดวิ่งออกกำลังกาย และในฐานะเพจของคนส่งเสริมการวิ่ง จึงเกิดกิจกรรมชาเลนท์ตัวเอง 10 วัน 100 กิโลเมตร ทั้งนี้ กิจกรรมนี้ไม่มีการบริจาค ไม่มีเส้นทาง มีแต่ระยะทางที่ท้าทาย ว่าต้องทำให้ได้ภายใน 10 วัน 100 กิโลเมตร ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 3 – 12 ธันวาคม 2559 สิ่งที่ต้องต่อสู้และเอาชนะให้ได้ คือการต้องตื่นเช้าเพื่อมาวิ่ง ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 05.30 น. หลังจากเสร็จธุระส่วนตัวได้ออกสตาร์ทวิ่งจริงในเวลาประมาณ 05.45 น. อากาศกำลังดี เย็น สบาย 3 วันแรกแรงขายังดีอยู่ ทำเวลาได้ดี วิ่งจบแบบไม่เจ็บและไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่พอเข้าวันที่ 4 เย็นวันก่อนนั้นไปตีแบด ทำให้เกิดอาการล้าสะสมหนักกว่าเดิม มีผลให้เช้าวันที่ 4 วิ่งได้ไม่ดีนัก จบที่ 6 กิโลเมตรเท่านั้น ต้องมาวิ่งในตอนเย็นให้ครบ 10 กิโลเมตร วันที่ 5 ตรงกับวันพุธ แน่นอนทุกวันพุธมีนัดตีแบดในตอนเย็น เช้าวันนั้นจึงต้องตุนไว้ก่อนให้ได้ 10 กิโลเมตร และทำได้ไม่ยากนัก สิ่งที่น่ากลัวคือเช้าในวันต่อมา เพราะจะล้าสะสมจากวิ่งตอนเช้าและตีแบดในตอนเย็น วันที่ 6 เช้าวันนั้นก็เป็นไปตามคาด ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ เพราะมีอาการท้องเสียทำให้เพลียหนักไปกว่าเดิม เช้าวันนั้นพลาด แต่ตอนเย็นกลับมาวิ่งได้ 10 กิโลเมตร วันที่ 7 ตรงกับเช้าวันศุกร์ วิ่งได้แค่ 6 กิโลเมตร ถึงวันนี้ระยะทางรวม 60 กิโลเมตร วันที่ 8 ตรงกับวันเสาร์เช้าวิ่ง…
เป็นการลงวิ่งในระยะฮาล์ฟ (21.5km) เป็นครั้งที่ 2 ครั้งนี้ทำเวลาดีกว่าเดิม ครั้งแรกวิ่งสามัคคีศรีรัช ทำเวลาได้ 2.25 นาที ครั้งนี้ทำเวลาได้ 2.23 นาที ดีกว่าเดิมนิดหน่อยถือว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดี พูดถึงการจัดงาน ระยองมาราธอน แต่เดิมเป็นงานวิ่งของกลุ่มวิ่งชาวบ้านเพ ตอนหลังมาพอกลุ่มใหญ่ขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็นระยองมาราธอน แต่ก็ยังคงจัดที่บ้านเพเหมือนเดิม ด้วยความที่เป็นงานบ้านบ้าน ของชาวบ้านถึงแม้จะมีการจัดต่อเนื่องยาวนานมาถึง 16 ครั้งแล้วก็ตาม การจัดการก็ยังเป็นแบบบ้านบ้าน เริ่มตั้งแต่วันไปรับbib มีความช้า ปล่อยให้คนเข้าแถวยาว ในสถานที่ที่คับแคบจนต้องยืนเข้าแถวตากแดด bib ต้องมาเขียนตัวเลขกันสดๆตรงหน้างานผิดบ้างถูกบ้าง ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือ มีการเปิดรับสมัครกันหน้างาน แต่..ผู้ที่สมัครหน้างานจะไม่ได้เสื้อ! และไม่ได้เหรียญ!! สำหรับนักวิ่ง สัญลักษณ์หนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของเขาคือเหรียญที่ระลึก พลาดมาก แต่มีพลาดมากกว่านั้นอีก ในรายการนี้เหรียญที่ระลึกสำหรับ มินิ ฮาล์ฟ และมาราธอนแตกต่างกัน มินิ เหรียญทองแดง ฮาล์ฟ เหรียญเงิน และมาราธอน เหรียญทอง แต่คนแจกเหรียญไม่รู้เรื่องด้วย ใครเข้าเส้นชัยก่อน กูให้เหรียญทอง ใครมาทีหลังก็ให้เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงตามลำดับ เหรียญทองจึงตกไปอยู่กับมือคนวิ่งระยะมินิหมด พังมากครับ มาพูดถึงบรรยากาศในงานบ้างดีกว่า ยกเว้นเรื่องความผิดพลาดในการจัดการที่มั่วข้างต้นนั้นแล้ว เรื่องอื่นๆ โอเคครับ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่วิ่งเลียบหาด แม้จะปิดถนนไม่ได้ 100% แต่รถราในช่วงเช้าก็มีไม่มากนัก โชคร้ายตรงที่ว่าในจำนวนรถที่ไม่มากนักนั้น มีรถบางคันที่ขับเร็วมาก เรื่องน้ำท่าตามจุดบริการต่างๆ ถือว่าทั่วถึงครับ สิ่งที่ขาดไปคือห้องน้ำ ตลอดเส้นทางวิ่ง ไม่มีรถห้องน้ำเคลื่อนที่เลย จึงเห็นภาพนักวิ่งบางท่านต้องวิ่งแวะข้างทาง อาศัยพุ่มไม้เป็นจุดปล่อยทุกข์ชั่วคราว ทุกข์เบาพอทำได้ แต่ถ้าเป็นทุกข์หนักละต้องทำไง..สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับผมตั้งแต่กิโลเมตรแรกจนถึงกิโลเมตรที่สิบ! งานนี้โชคดีอย่างหนึ่งคือที่พักใกล้จากจุดปล่อยตัวมาก ประมาณ 500 เมตร ตื่นเช้าเข้าห้องน้ำพยายามอึให้เสร็จ แต่ดูเหมือนมันไม่หมด พอไปถึงจุดสตาร์ทมวลสารที่ยังไม่หมดเริ่มมีปฏิกิริยา ก่อนถึงเวลาปล่อยตัว 10 นาที ผมวิ่งหาห้องน้ำ หาเจอครับ แต่เห็นจำนวนคนเข้าแถวเพื่อเข้าห้องน้ำแล้วต้องถอดใจ เริ่มปล่อยตัว วิ่งไปด้วยความรู้สึกตุ่ยๆที่ท้อง ตลอดระยะ 10 กิโลเมตรผมวิ่งไปมองหาห้องน้ำไป เจอพงป่าข้างทางเกือบตัดสินใจไปปลดปล่อยหลายรอบ แต่ทำใจไม่ได้ จึงต้องอดทนและวิ่งไปเรื่อยๆ มีบางจังหวะที่มันเริ่มมาถึงประตูหลัง นึกว่าเป็นแค่ลม แต่พอค่อยๆปล่อยออกมา มันจะออกมาทั้งกากใย…
* เป็นวันที่โลกมืดมิดและหยุดนิ่ง ได้ยินเพียงเสียงร่ำไห้
หลังจากโบกลาละครไทยอย่างไม่ใยดี ผมหันมาดูซีรีย์ต่างประเทศอย่าง Walking dead, CSI , NCIS etc. แต่บางครั้งซีรีย์แนวสืบสวนฆาตกรรมของต่างประเทศ ดูบ่อยๆเข้าก็จำเจและเริ่มจะจำทางได้ ผมจึงหันมาทางซีรีย์เกาหลีบ้าง หลายคนเตือนว่าอย่าดู ..เพราะจะติด! เหี้ย! ซีรีย์เกาหลีนะไม่เว้ย ไม่ใช่บุหรี่ จะติดกันง่ายๆได้ยังไง โดยพื้นฐานผมเป็นคนชอบดูละครมาก โดยเฉพาะละครไทย ผมดูตามแม่พี่ป้าน้าอาที่พาดูตั้งแต่เด็กๆ แต่เชื่อเถอะครับ ละครไทยที่ผมเคยดูเมื่อตอนเด็กๆ กับละครไทยในปัจจุบันยุคที่อวดอ้างว่าล้ำหนักหนา ยุคโซเชี่ยล ยุคดิจิตอล ยุคห่าเหวอะไรนั่น .. ละครไทยยังคงมีบทเดิมๆ เนื้อเรื่องเดิมๆ พล็อตเดิมๆ ตัวอิจฉาตบตีแย่งพระเอก อีตัวอิจฉาต้องแต่งตัวแร่ดๆ ยั่วๆ ทำหน้าทำตาแบบอิจฉ๊า อิจฉา นี่แค่พูดถึงตัวอิจฉานะ อย่าให้ต้องพูดถึงนางเอกพระเอก หรือแม้แต่คนทำสวน คนขับรถ ฯลฯ ไม่อยากจะพูด ละครไทย! กลับมาที่ซีรีย์เกาหลีดีกว่า ผมเลือกดูเรื่อง Oh my ghost ดูน่าจะเป็นซีรีย์แนวผี ตลกๆ .. ดูได้ 3 ตอนติดครับ ติดงอมแงมเลยจริงๆ มีผลทำให้ซีรีย์เกาหลีเรื่องอื่นๆ มึงโดนกูเสพแน่ เรื่อง Oh my ghost ดูแรกๆเหมือนจะไม่มีอะไรเป็นซีรีย์เบาสมองสบายๆ แต่สไตล์เกาหลีครับ ทำซีรีย์ทั้งทีจะให้ง่ายๆ เดาทางถูกนั้นมันง่ายไป ตอนแรกๆดูเบาๆ สบายๆ แต่พอถึงกลางเรื่องจนจบจะเข้มข้นจนไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว Oh my ghost เป็นเรื่องราวของผีตนหนึ่งที่ตายแล้วยังไปเกิดไม่ได้ เพราะมีเรื่องที่เป็นบ่วงติดไว้ในโลกมนุษย์ จึงเป็นผีร่อนเร่สิงคนโน้นทีคนนี้ที จนกระทั่งมาเจอกับนางเอก (นางเอกในเรื่องนี้ชื่ออะไรไม่รู้ ..แต่น่ารักมากครับ ทั้งหน้าตา น้ำเสียงและบุคลิก) นางเอกมีความสามารถพิเศษตั้งแต่เด็กคือสามารถเห็นผีได้ และโดยที่เป็นคนเห็นผีนี่เอง จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีเพื่อน และขาดความมั่นใจ ร่างกายอ่อนแอ พอมาเจอกับผีเร่ร่อนจึงถูกผีสิงโดยง่าย นางเอกทำงานในร้านอาหารของพระเอก ..นางเอกถูกผีสิง ก่อนถูกผีสิงนางเอกก็แอบรักพระเอกซึ่งเป็นเชฟสุดหล่ออยู่แล้ว พอผีมาเจอพระเอกได้รับความรู้สึกดีๆจากพระเอก ก็เกิดหลงรักพระเอกเข้าไปอีก จึงเกิดรักสามเส้า ระหว่างคนและผี เรื่องราวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆครับ เมื่อผีเร่ร่อนที่เข้าใจมาตลอดว่าตัวเองฆ่าตัวตาย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ..การสืบสวนหาสาเหตุการตายก็เริ่มขึ้น … ผมเล่าไว้แค่นี้ละกัน เผื่อใครผ่านมาอ่านจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกสปอยล์ บอกได้เลยว่า…