อ้อ..โอเคนึกว่าอ่านไม่ออก

ใช้ชีวิตในโลกอินเทอร์เนตมาเกือบๆ 10 ปี ชีวิตผมจึงถูกเปลี่ยนให้อยู่ในระบบของโลกออนไลน์มากขึ้น

ในโลกแห่งความเป็นจริง (จริงๆ อินเทอร์เนตก็คือโลกแห่งความเป็นจริงเหมือนกัน แต่จริงน้อยกว่า)  มี 3 ช่องทางการสื่อสาร คือ อ่าน พูด และเขียน  โลกอินเทอร์เนต ก็สามารถสื่อสารได้ทั้ง 3 ช่องทางเช่นกัน คือ ทั้งอ่าน พูด และเขียน แต่ช่องทางพูดอาจจะน้อยกว่า เราอาศัยพูดกันผ่านตัวหนังสือ !!

ตัวหนังสือสื่อสาร ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการพูดกันสักเท่าไร หากทั้งคู่(หมายถึงคู่สนทนา) รู้จักกัน(ดี)มาก่อน เคยคุยกันมาก่อน เพียงเห็นตัวหนังสือก็จะสามารถจินตนาการถึงเสียงของคู่สนทนาชัดเจนอยู่ในหัว เหมือนคุยกันอยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว หากแต่ว่่าถ้าไม่เคยคุยกันมาก่อน ไม่เคยได้ยินเสียง หรือไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน เพียงตัวหนังสือแม้สื่อมาด้วยคำธรรมดาๆ ก็อาจถูกอีกฝ่ายตีความหมายเป็นอื่นได้ !!

ปัญหานี้ อาจทำให้เราเสียเพื่อน หรือร้ายกว่านั้น เพื่อนอาจกลายมาเป็นศัตรูได้อย่างน่ากลัว เหตุการณ์นี้พึ่งเกิดขึ้นกับผม ในฐานะบล็อกแห่งนี้เป็นบล็อกส่วนตัว จึงไม่แปลกที่ผมจะเล่าเรื่องส่วนตัว..

เรื่องมันเกิดขึ้นจากการคุยกันผ่านตัวหนังสือนี่แหละ..

ผมคุยกับเพื่อนแฟนที่อยู่ต่างประเทศผ่านโปรแกรมยอดฮิต Facebook คุยกันบนกระดานหน้าบ้านเขาเลย  ก่อนหน้าที่เขาจะไปอยู่ต่างประเทศ เราก็เคยไปเที่ยว กิน ดูหนังด้วยกันระยะหนึ่ง จนผมทึกทักเอาเองว่า เออ..เพื่อนแฟนก็เพื่อนเราด้วยคนหนึ่ง วันที่เขาบิน เราก็ไปส่งที่สนามบิน ผมแอบชื่นชนกับแฟนว่า เพื่อนหญิงคนนี้ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ ทึ่งกับความกล้าที่่จะบินไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศโดยลำพัง ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังไม่สามารถขนาดนั้น ..

หลังจากที่เขาไปต่างประเทศก็หลายปีที่ไม่ได้คุยกัน แต่ก็ได้แอดไว้ใน facebook จนล่าสุดเมื่อวันศูกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 ผมได้ทักทายเขาไปในfacebook และก็ได้การตอบกลับมาด้วยไมตรี ถามสารทุกข์สุขดิบประสาคนที่ไม่ได้คุยกันมาเป็นปี ๆ

มันเป็นการสนทนาผ่านตัวหนังสือที่ใช้คนละภาษา คือ เขาพิมพ์อังกฤษมา ผมตอบภาษาไทยไป .. ด้วยความคิดมากของผมเอง ไม่แน่ใจว่าเครื่องที่เขาใช้สามารถพิมพ์หรืออ่านภาษาไทยได้ไหม? จึงถามไปว่า อ่านภาษาไทยได้ไหม? ความหมายคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่อ่า่นภาษาไทยได้ใช่ไหม?

เมื่อเขาตอบว่าได้ ..ผมก็ตอบว่า “อ้อ..โอเคนึกว่าอ่านไม่ออก”

ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกหรือประชดประชันแดกดันอะไรแต่อย่างใดเลย เป็นน้ำเสียงตอบบประสาสื่ออย่างเพื่อนคุยกับเพื่อนเท่านั้นเอง แต่คำตอบที่ผมได้หลังจากนั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

เขาไม่พอใจมากกับประโยคนั้น เขาบอกน้ำเสียงของผมมันเย้ยหยันถึงขั้นดูถูก .. เบื้องต้นผมไม่ทราบว่าเขาโกรธผมจากประโยคไหนที่เราคุยกัน ผมถูกบล็อกไม่ให้ติดต่อใน facebook ยิ่งทำให้ร้อนใจยิ่งกว่าเดิมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมให้เพื่อน ให้แฟนที่มีความชำนาญในภาษาอังกฤษ ช่วยดูประโยคสนทนาของเราสองคนตั้งแต่ต้นจนจบสิว่า มีประโยคไหนบ้างที่ผมพูดไม่ดี หรือพูดผิดไป .. ก็ไม่เจอความคิดปกติอันใด (เราคุยกันตอบกลับไปกลับมาไม่น่าจะเกิน 6 ประโยค)

แฟนผมซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเขา ก็เลยโพสต์ถามในfacebook ไปประมาณว่า โกรธหรือไม่พอใจอะไรตรงไหน ถึงต้องตอบกลับมาแรงขนาดนั้น

ผลลัพธ์ร้ายแรงกว่าเดิมมาก เขาว่าแฟนผมเข้าข้างผม เขารับไม่ได้กับประโยคของผมที่ว่า “อ้อ..โอเคนึกว่าอ่านไม่ออก”..และต่อว่าอย่างอื่นอีกมากมาย(ที่เป็นไปในทางร้าย) พร้อมกับบล็อกแฟนผม(ซึ่งเป็นเพื่อนเขา)ไปอีกคน

ผมขอโทษแฟน ที่พลอยทำให้ทะเลาะกับเพื่อน เพราะผม และรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์นี้มาก ตลอด 2 วันหยุด(เสาร์-อาทิตย์) มีแต่เรื่องนี้อยู่ในหัว ผมพยายามถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า โกรธเขามั้ย คำตอบคือไม่แน่นอน เพียงแต่ผมอยากมีโอกาสคุยและอธิบายกับเขา อยากให้เขาอย่าเข้าใจเพื่อนเขา(หรือแฟนผม)ผิด อาจจะโกรธผม เกลียดผม ไม่ชอบผม ไม่นับผมเป็นเพื่อนได้ แต่อย่าได้รู้สึกอย่างนั้นกับเพื่อนตัวเอง เพื่อนที่คบกันมาก่อนเจอผมเสียอีก เพื่อนมีอะไรที่ลึกซึ้งมากมาย มีค่ากว่าที่จะมาตัดให้ขาดกันเพียงเพราะเรื่องจากประโยคๆเดียวนี้

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมกลัวที่คุยกับใครด้วยตัวหนังสือ ผมมีปัญหาเรื่องใจกับมือไม่ทันกัน ใจพูดไปเร็วมาก แต่มือพิมพ์ตามไม่ทัน บางครั้งจึงพิมพ์ออกมาผิดๆ ถูกๆ หรือบางครั้ง ความหมายที่พิมพ์ก็ผิดไปด้วย  ถ้าเป็นคนที่เราสนิทเรารู้จักก็พอจะขอโทษขออภัยได้ แต่หากเกิดกับคนอื่น(เช่นกรณีนี้)  เราอาจไม่มีโอกาสได้ขอโทษหรือพูดอะไรเลยก็ได้

อย่าให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ..โดยไม่มีข้อคิดหรือคติเตือนใจ นิทานอีสปทุกเรื่องมักมีคติสอนใจตอนจบเสมอ เรื่องนี้ ถึงผมไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร แต่ผมได้คติสอนใจว่า

1. อย่าใจร้อน

2. อย่าสนิทกับคนที่เราไม่รู้จักดี และ

3. อย่าคุยกันคนละภาษา