SuperDJ ตอน ดีเจสระอา

ผมชื่อสระอา พงษ์พุฒิพงษ์ อายุ 22 ปี น้ำหนัก 60 สูง 172 จบครุศาสตร์ เอกภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง(เขาก็มีชื่อกันทุกมหาลัยนั่นแหละ) ปัจจุบันมีอาชีพเป็นดีเจ อยู่คลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง อาจมีคนสงสัยว่า จบครุศาสตร์ ทำไมมาเป็นดีเจ ทำไมไม่เรียนนิเทศตั้งแต่ต้นเลยละไอ้ทิด?

dj.jpg

ตอบง่าย ๆ ครับ แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร ที่เรียนครุศาสตร์ เพราะแม่เป็นครู พ่อเป็นเบาหวาน เอ้ย เป็นทหาร (แต่ตอนหลังท่านก็เป็นเบาหวานจริง ๆ นะแหละ) แม่ท่านก็อยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเป็นครูที่ดี เหมือนที่ท่านเป็น ทั้ง ๆ ที่ไม่ดูสารรูปลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เลย เกเรที่หนึ่ง ย้ายโรงเรียน 2-3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาเรียนที่โรงเรียนที่แม่สอนเองนะแหละ ที่ย้ายโรงเรียนนะไม่ใช่ไปตีกะใครที่ไหนหรอก แม่เองนะแหละ เห็นว่าโรงเรียนที่ตัวเองสอนไม่ค่อยดี อยากไปเรียนในตัวเมือง โรงเรียนดัง ๆ แต่พอไปเรียนไกลหูไกลตา ครูประจำชั้นก็รายงานกลับมาว่า ด.ช. สระอา พงษ์พุฒิพงษ์ ไม่เคยไปโรงเรียนเลย อะแหมม จะให้เข้าได้ไง รอบๆโรงเรียนพรั่งพร้อมไปด้วยร้านเกมส์ โต๊ะสนุ๊ก เธค บาร์ ข้าง ๆโรงเรียนบรรยากาศครึกครึ้น พอมองลอดรั้วไปในโรงเรียน เห็นครูหน้าดุ ๆ นักเรียนซึมๆ เซาๆ ใครจะอยากเข้าไปในโรงเรียนนั่นละ เป็นทัณฑสถานก็ไม่ปาน

หลังจากพยายามเคี่ยวเข็ญ ขู่บังคับ จนจบมัธยมได้ แม่ปฏิเสธการตั้งใจจะเอ็นทรานซ์ของผม (จริงๆผมปฏิเสธการให้เอ็นทรานซ์ของแม่) เพราะรู้ว่าผลมันออกตั้งแต่ผมยังไม่เอ็นท์ แม่พาผมไปเรียนมหาลัยเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง อธิการบดีเป็นเพื่อนซี้กับแม่ (ทราบภายหลังว่าเป็นกิ๊กเก่าของแม่สมัยเรียนปี 1) ชีวิตผมจึงค่อนข้างสบายในรั้วมหาวิทยาลัย เรียน 2 วัน หยุด 5 วัน แม้ไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่เกรดเฉลี่ย 3.00 ก็ไม่เลวนัก นับว่าเป็นอานิสงส์จากกิ๊กเก่าของแม่แท้ ๆ

หลังจากจบปริญญาตรี เป็นบัณฑิตสมใจแม่แล้ว ก็เตร่ไปเตร่มากับเพื่อนฝูง แม่ให้ไปสมัครสอบบรรจุเป็นครู วันนั้นผมอายประชาชีเป็นที่สุด มีที่ไหนโตเป็นควาย แต่งตัวก็วัยรุ่น ให้แม่พาไปสมัครสอบ ตอนกรอกใบสมัครแม่ก็นั่งประกบชี้ให้เขียนโน่น เซ็นต์นี่อีก จ่อยเลยวันนั้น ก่อนหน้านั้นก็เคยไปสมัครเอง แต่ไปไม่ถึงที่สักที ครั้งนี้แม่เลยพามาเองซะเลย

ผลเป็นยังไงนะเหรอ ข้อสอบผ่าน แต่สอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน ก็คณะกรรมการงี่เง่า ตั้งคำถามกวน เหมือนจะหาเรื่องผมอย่างนั้นแหละ มายุ่งกระทั่งการแต่งตัว คำพูดคำจา อะไรกันโตจนปานนี้แล้ว ยังไม่รู้อีกเหรอว่า คำว่า ‘สิทธิ์ส่วนบุคคล’ หมายความว่ายังไง ผมเลยอธิบายให้ไปยกใหญ่ สุดท้ายก็โดนไล่ออกมา ผมไม่เสียใจหรอก ถ้าหากได้เป็นครูแล้วสูญเสียบางอย่าง ผมยอมเป็นคนพาลซะดีกว่า

เป็นคนพาลสมใจอยาก แต่พาลอย่างผมไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนะครับ ไม่เล่นยา ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นเขากิน แค่เที่ยวเตร่เพลย์บอย มีเพื่อนฝูงอยู่ทุกมุมเมือง กลางวันนอน กลางคืนตาสว่าง ชีวิตวนเวียนอยุ่อย่างนี้

จนวันหนึ่ง มีเหตุที่ผมต้องไปหาเพื่อนในเวลากลางวัน ผมแปลกใจ พวกเขาไม่อยู่บ้านกันเลยสักคน เพื่อนส่วนใหญ่มีอาชีพหน้าที่การงานที่ดีในเวลากลางวัน แต่กลางคืนเขาเป็นเพลย์บอยอย่างผม มีเพียงผมคนเดียวที่ไร้หลักพักพิง เป็นแต่เพลย์บอยสมบูรณ์แบบ จิตสำนึกถั่งโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยัง หน้าที่ของคนกระตุ้นเตือนอยู่ภายใน ผมต้องทำงาน ผมต้องทำงาน ..แต่จะทำไรดีละทีนี้

กระทั่งวันหนึ่ง หลังจากเราแยกย้ายกันในเวลาตี 2 ซึ่งแยกย้ายเร็วกว่าปกติ เพื่อนคนหนึ่งชื่อสมควร ได้พาผมไปในที่ทำงานของเขา ผมแปลกใจกับที่ทำงานของเขามาก มันเป็นห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องอิเลคโทรนิค เครื่องบังคับการ มิกซ์เสียง ปุ่มอะไรเยอะแยะไปหมด ไอ้สมควร มันเป็นดีเจจัดรายการวิทยุ โอ้ ว ว้าวว

สมควรแยกตัวไปนั่งจัดรายการด้วยกลิ่นเบียร์อันคลุคลุ้ง แต่มันก็เปล่งเสียงใสกังวาลอย่างไร้แอลกออฮอลล์ในน้ำเสียง และยังมีหน้าไปพูดออกอากาศอีกนะว่า “มีสติก่อนสตาร์ท เมาไม่ขับ ฯลฯ” และอะไรอีกมากมายที่เกี่ยวกับการรณรงค์ไม่ให้คนกินเหล้าเมายาขับรถ พูดได้ดี ทั้งทีตะกี้มันขับรถมาพร้อมกับกลิ่นเบียร์คละคลุ้ง สมควรให้ผมช่วยรับโทรศัพท์ที่มีคนโทรมาขอเพลงพึ่งรู้วันนี้นี่เองว่าดีเจแจ๊ กกี้ คือสมควรเพื่อนผม ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยะว่ามันมีเชื้อฝรั่ง ดีอย่างหนึ่งคือคลื่นนี้ ไม่จำกัดแนวเพลง มีทั้งลูกทุ่ง หมอลำ สตริง สากล กระทั่งรายงานผลจราจร ผมช่วยรับโทรศัพท์ทั้งคืนในวันนั้น รู้สึกสนุกกับปัญหาแต่ละคนที่โทรมาพูดคุย .. เอ อาชีพนี้ก็ไม่เลวนะ ดีเจ

สมควร ปกติมีงานของตัวเองอยู่แล้ว อาชีพดีเจเป็นเพียงงานอดิเรก เมื่อเห็นผมแสดงทีท่าสนใจ มันรีบยกให้ทันที

“สวัสดีครับ วันนี้กลับมาพบกันผู้ฟังอีกครั้ง กับผมดีเจสระอา..”