Skip to content

N E V I K U P

Find your Heart, Find the Happiness.

☰
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ

ซาฟารีเวิลด์

อ่านต่อ

เที่ยวซาฟารีเวิลด์

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 13 August 200815 June 2019

ไปเที่ยวสวนสัตว์ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน? นึกถึงวัยเด็ก เราต่างโหยหาการไปเที่ยวสวนสัตว์ อยากเจอช้าง ม้า วัว ควาย (ตัวหลังนี้ ไม่ค่อยอยากเจอเท่าไร เพราะมีเยอะแยะไปหมดตามท้องถนน หลังๆมานี้มีบางตัวหลุดรอดเข้าไปในสภา ~ เฮ้อ) อยากเห็นเสือ ม้าลาย อูฐ ยีราฟ ตัวเป็นๆ เห็นแต่ในทีวี ในหนังสือ แล้วคุณครูก็ทำให้ฝันเราเป็นจริง เมื่อโรงเรียนจัดทัศนาจร ก็มีความสุขตามประสาเด็กครับ นอกจากเห็นสัตว์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการโชว์การแสดงของสัตว์แสนรู้อีกต่างๆนานาๆ สนุกสนานครับ มีสัตว์ให้ดูทุกชนิด ยกเว้น เหี้ย ตัวนี้ต้องไปหาดูแถวธรรมเนียบ นั่นคือวัยเด็ก ผ่านเวลามานาน เราลืมที่จะไปเที่ยวสวนสัตว์แล้ว ไปเที่ยวห้าง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ซะมากกว่า ผมนึกถึงบรรยากาศเก่าๆนี้ เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา (12 ส.ค.) จึงตั้งใจจะไปเที่ยวสวนสัตว์เปิด ซาฟารี เวิลด์ ออกเดินทางตอน 9 โมงเช้า ไปถึงที่หมายประมาณ 9.40 มาถึงเช้านักท่องเที่ยวยังมาน้อย ซาฟารีเวิร์ดมี 2 โซนให้เลือกเที่ยวครับ 1 คือ ซาฟารีเวิร์ด สวนสัตว์เปิด นั่งรถดูสัตว์ ห้ามลงจากรถ โซนนี้สนนราคาที่ท่านละ 240 บาท อีกโซนหนึ่ง ราคาท่านละ 400 กว่าบาท นอกจากจะให้นั่งรถชมสัตว์แล้ว จะให้ท่านดูการแสดงของสัตว์แสนรู้ต่างๆอีกด้วย ~ ผมเลือกโซนแรกครับ นั่งรถชมสัตว์ต่างๆก็พอ เนื่องจากเมื่อคืนมีฝนตกนิดหน่อย พื้นจึงแฉะไปนิดนึง แต่ไม่เป็นปัญหาครับ เพราะไม่ได้ลงจากรถเลย.. ได้เจอฝูงกวาง อูฐ แรด ม้าลาย และนกตัวใหญ่ๆที่บินกันเต็มท้องฟ้า ไม่ได้อยู่แต่ในกรงอย่างที่เคยเห็นตามสวนสัตว์ทั่วๆไป และแล้วเราก็ผ่านเข้าโซนสัตว์อันตรายอย่าง สิงโต เสือ และหมี โซนนี้จะมีขอบเขตชัดเจน และมีกรงขนาดใหญ่มากรอบๆพื้นที่ กรงใหญ่จนไม่รู้สึกว่าเป็นกรง พอเข้าโซนนี้แล้ว จะถูกห้ามเปิดกระจก และห้ามลงจากรถเด็ดขาด ก็จะได้เจอเสือเดินกันเป็นกลุ่ม เสือ สิงโต และหมี ใช้เวลาในสวนสัตว์ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ออกจากซาฟารีเวิลด์ มุ่งหน้าไปวัดโสธร แปดริ้ว…

ซาฟารีเวิลด์ สวนสัตว์

โชคดีที่เป็นหมา

ไดอารี่ 25 June 2011

จะดีก็ดี จะไม่ว่าไม่ดีก็ไม่รู้จะใช่หรือเปล่านะครับ ‘จิ๊กกี๋’ ยามสุภาพสตรีสีดำประจำบ้านที่ผมได้แนะนำให้รู้จักในบล็อกก่อนหน้านี้ หลังจากที่เธอซึมๆไป ผมได้พาไปให้หมอเจาะตรวจเลือด..ปรากฏผลออกมาว่า เธอเป็นโรค ‘ไต’ ระยะที่ 3  (โรคไตมี 4ระยะ) ระยะที่สามถือว่าเป็นระยะที่อันตรายพอสมควร จึงไม่แปลกใจที่เธอมีอาการซึมอย่างเห็นได้ชัด หมามันพูดไม่ได้ว่ามันเป็นยังไง มันรู้แต่ว่าเมื่อไม่สบายตัว มันก็จะไม่สนุกสนาน ไม่เล่น ไม่ร่าเริง ซึ่งจากอาการเหล่านี้ถ้าคนที่สนใจหมาสักนิ๊ดก็จะรู้ทันทีว่ามัน “ไม่ปกติ” จากการสันนิษฐาน จิ๊กกี๋เป็นโรคไตเพราะ 2 สาเหตุหลัก คือ 1. อาหาร อาหารที่มีรสจัดมาก ถูกปากหมาแต่ไม่ถูกต่อโรค 2. อั้นฉี่ น่าจะเป็นสาเหตุหลัก จิ๊กกี๋ไม่อึ ไม่ฉี่ในรั้วบ้าน และนั่นหมายความว่ามันจะมีโอกาสได้อึฉี่วันละสองครั้งเท่านั้น คือ เช้ากะเย็น ก่อนผมออกไปทำงานและหลังผมเลิกงาน ยิ่งกว่านั้นจิ๊กกี๋เคยอั้นฉี่นานสุด 3 วัน!!! หลังจากนี้ก็เข้าสู่การรักษาตัว หมอบอกว่ามีโอกาสที่หายได้ แต่ต้องมีวินัยในการกินอาหาร กินยาอย่างสม่ำเสมอ และ..ต้องให้น้ำเกลือทุกวันๆละ 300 ซีซี เรื่องอาหารและยาไม่ยากเท่าไร ถึงแม้มันจะเคยบ้วนยาทิ้งก็ตาม แต่ก็สามารถบังคับขืนใจให้มันกินไปจนได้ แต่การให้น้ำเกลือถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม หมอได้ทำตัวอย่างให้ดู ก็เห็นว่าไม่ยาก เพราะแค่เจาะเข็มให้เข้าสู่ผิวหนัง หมาไม่รู้สึกเจ็บหรือขัดขืนแต่อย่างใด ..ดังนั้น ผมคิดว่าผมทำได้ เมื่อวานลองทำเป็นครั้งแรก..อืมมม ก็ไม่ยากเท่าไร ได้อยู่ จิ๊กกี๋เป็นโรคไตระยะที่สาม ถ้าเป็นคนก็คงจะเครียดพอสมควร แต่นี่เป็นหมา ข้อดีของการเป็นหมาคือมันไม่ต้องรับรู้หรอกว่ามันเป็นโรคอะไร เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ต้องเครียด ซึ่งการไม่เครียดนี่เองมีผลดีต่อตัวหมามาก จะเห็นได้ว่าหลายๆคนพอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคโน่นโรคนี่ อาการของโรคยังไม่ได้กำเริบเท่าไร แต่อาการเครียดจิตจับจดอยู่กับโรคจนอาการทรุดกว่าที่ควร พอมานั่งคิดข้อนี้ก็จึงมานั่งคิดว่า.. “อืมม เป็นหมานี่ก็ดีเหมือนกันนะ”

จิ๊กกี๋ ไต

ไล่ล่าสิ่งที่อยู่แสนไกล..จนลืมใจที่ใกล้เพียงเซนฯเดียว

เรื่องทั่วไป 23 January 2010

ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่กลัวตัวเองจะลืมเลยต้องบันทึกไว้ซะหน่อยก่อน เมื่อก่อนในหน้า all about me จะมีบ็อกของ msn ที่แสดงสถาานะของผมว่า ออนไลน์อยู่หรือไม่ ? หากออนไลน์อยู่ ท่านผู้มีเกียรติที่ผ่านเข้ามาก็สามารถทักทาย จุกกรู๊  ด่า ว่า ชม แช่ง ฯลฯ ได้ แต่เมื่อวานนี้พึ่งสังเกตุเห็นว่า เจ้าบ็อกดังกล่าวมันหายไป ทีนี้การจะไปหาโค๊ดเดิมจาก Microsof มาแปะนั้น ก็หาทางเข้าไม่เจอ เดือดรร้อนไปถึงเฮียกู(เกิ้ล)อีก  งานนี้เลยขอเน้นๆ เก็บไว้ในบล็อกส่วนตัวนี่ซะเลย เผื่อหลายคนยังไม่รู้จัก เลยจะขอแนะนำสู่กันฟังเลยครับ มันคือหน้าต่าง MSN บนเว็บ  ทำให้คนที่ต้องการติดต่อคุณ ไม่ต้องลง MSN หรือ WLM ก็สามารถติดต่อคุณได้เพียงแค่มี Browser ถ้าพยายามจินตนการตามแล้วยังนึกภาพไม่ออกเลยว่ะไอ้ทิด คลิกดูตัวอย่างจริงจากหน้านี้เลยขอรับ คลิกดูตัวอย่าง (ลากลงไปด้านล่าง ใต้ภาพสุดท้าย(ผู้ชายเสื้อแดงๆนั่นแหละครับ)) สำหรับเส้นทางไปสู่การได้มันมานั้น ง่ายเหลือหลาย คลิกที่ลิ้งด้านล่างนี่เลย แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย http://settings.messenger.live.com/applications/websettings.aspx สำหรับเว็บที่ขายของ หรือ support ออนไลน์ บริการนี้เหมาะอย่างยิ่งนะครับ จะจบห้วนๆแบบนี้ดูจะสั้นไป วันหนึ่งมีเรื่องมาบอกเ่่ล่ากันแค่นี้เหรอ เมื่อวันก่อนดูรายการเจาะใจ เขาเชิญ จับช่ายแมน หรือ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ เรื่องราวของท่านน่าสนใจมาก และท่านเป็นคนที่มีความคิดไม่เหมือนใคร หลายประโยค เมื่อท่านพูด ทุกคนก็จะร้อง “เออ..เนอะ” หลายเรื่องที่เราไม่ทันคิด ด้วยความเคยชินของชีวิต แต่ท่านคิดทุกเม็ดทุกหน่วย รายการเจาะใจในวันนั้น เวลาไม่พอต้องต่อในอาทิตย์ถัดไป แต่แค่ตอนแรกก็รู้สึกได้ว่า ชีวิตท่านน่าสนใจ น่าศึกษา ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสไปร่วมงานกับนาซ่า ประมาณ 6-7 ปี พิธีกรถามว่า รู้สึกอยา่งไรที่ได้ไปร่วมงานกับนาซ่า? ท่านตอบว่า “รู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิตที่ได้ไปที่นั่น” นาซ่าพยายามค้นคว้าหาทางเพื่อไปนอกโลก นอกจักรวาลที่ไกลแสนไกล จนลืมค้นคว้าสิ่งที่อยู่ข้างในเพียงแค่เซนเดียว นั่นคือ หัวใจ คมครับคม ผมชอบ ป.ล. อยากรู้จักท่านมากกว่านี้ คลิกเลย

ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
อ่านต่อ

เขาใหญ่..ในคลิป

ท่องเที่ยว 13 May 200913 June 2019

ตั้งแต่ได้ Macbook มาจนครบปีละ ยังไม่เคยใช้เจ้าโปรแกรมที่แถมมากับเครื่องอย่าง imovie เลย ไม่รู้มันมีคุณสมบัติใดบ้าง วันนี้จึงนั่งมั่วๆดู ปรากฏว่า มันก็คือ โปรแกรมไว้ตัดต่อวีดีโอ ทำสไลด์ แบบง่ายๆ นั่นเอง ทราบดังนั้น เลยตัดต่อเติมแต่งง่ายๆ ด้วยทริปเขาใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ไม่มีภาพเคลื่อนไหว เลยหยิบคลิปของ รุจ ที่ถ่ายโดยกล้องของmacbook ใส่ประกอบด้วยซะเลย.. ภาพคลิปอาจคมชัดสู้ไฟล์ต้นฉบับไม่ได้ อันนี้เข้าใจ เพราะเงื่อนไขของขนาด และชนิดของไฟล์ที่ถูกบีบอัดจนร้องโอย.. แต่ถึงจะอย่างไร ให้พอเห็นภาพก็ใช้ได้ละ เขาใหญ่ไปกี่ครั้งก็สนุก.. ว่างๆลองไปเที่ยวกันดู รับรองว่า ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างแท้จริง

เขาใหญ่

รำลึกถึงครู..วันครูแห่งชาติ..๒๕๕๓

เรื่องทั่วไป 16 January 2010

วันนี้เป็นครูแห่งชาติ (เสาร์ที่ 3 ของเดือนมกรา) ผมประเภทบล็อกกึ่งไดอารี่ ต้องไหลไปตามวันสำคัญของปฏิทิน ดังนั้น จะละเลยไม่กล่าวถึงความสำคัญของครูไม่ได้ ในอดีตกาล พระเถระที่ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูจนได้รับการกล่าวขวัญคงไม่เกินพระติสสะเถระ หรือที่เรารู้จักกันในนามพระสารีบุตรนั่นเอง ครูที่สอนศิลปวิทยาคนแรกของท่านคือท่านสญชัย แต่ครูคนแรกที่สอนทางธรรมของท่านคือพระอัสสชิเถระ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ขณะนั้นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเที่ยวแสวงหาโมกขธรรมอยู่ จนที่สุดก็ได้พบกับพระอัสสชิเถระกำลังเดินบิณฑบาต ท่านก็มิได้แสดงปาฏิหาริย์หรือความอัศจรรย์ใดๆ หากแต่กิริยาที่ก้าวย่างอย่างสำรวมของท่าน ทำให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเกิดศรัทธา จนต้องเดินตาม และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนา ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้บรรลุธรรมชั้นสูงในที่สุด ตั้งแต่วันนั้นท่านก็นับถือพระอัสสชิตลอดมา แม้เดินทางไปในที่ไหน หาทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศไหน ก็จะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น สำหรับครูคนแรกของผมนั้น มีหลายท่านเหลือเกินครับ แต่ที่จำแม่นๆ คือ ครูศิริพร ครูสักการินทร์ ครูระเบียบ และครูบำเพ็ญ นาดี (ครูคนหลังนี่จำนามสกุลได้ เพราะพึ่งไปพบท่านเมื่อ 2 ปีที่แล้วนี่เอง) ทั้ง 3 ท่าน น่าจะเกษียรแล้วในปีนี้นี่เอง ครูศิริพร เป็นครูคนเก่ง เก่งเชียร์กีฬา เก่งพละ เก่งเล่านิทาน  เรื่องเก่งเล่านิทานนี่เป็นที่ยอมรับของนักเรียนและครูด้วยกัน ผมจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่นักเรียนมาสายบ่อยๆ ครูใหญ่จึงมีนโยบายให้ครูศิริพรมาเล่านิทานใส่ไมโครโฟนให้ดังไปทั่วโรงเรียนแต่เช้า เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนรีบมาโรงเรียนเพื่อมาฟังนิทานของแก ก็ได้ผลอยู่นะครับ แต่โครงการนี้มีได้ไม่นานก็ยุติ ไม่ใช่ล้มเหลวหรือนักเรียนมาสายกว่าเดิม แต่ครูศิริพรแกไม่ไหวเอง เพราะต้องมาเช้ามาก โตขึ้นมาหน่อย(ป.1-ป.3)  ผมก็มารู้จักกับคุณครูระเบียบ และคุณครูบำเพ็ญ ทั้งสองท่าน เป็นครูที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของครูที่ดุร้าย น่ากลัว ให้เป็นครูใจดีที่นักเรียนสามารถจับต้อง พูดคุย และปรึกษาได้ ครูระเบียบนับว่าใจดีที่สุด ไม่เคยตีนักเรียน ทำผิดให้วิ่งรอบสนามฟุตบอลอย่างเดียว ส่วนครูบำเพ็ญ แกสามารถใจดีและใจร้ายอย่างมีเหตุมีผล ถ้านักเรียนทำตัวน่าัรักแกจะใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะเดียวกันหากนักเรียนทำตัวไม่น่ารัก แกพร้อมจะเป็นนางยักษ์ใจร้า้ยได้ทันที .. ในชีวิตของคนๆหนึ่งต้องพึ่งครูมากมายครับ ในศาสตร์แต่ละวิชาแต่ละแขนงล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยครูเป็นคนช่วยชี้แนะก่อน หากใครจะบอกว่าเก่งหรือเรียนด้วยตนเอง อย่างน้อยที่สุดก่อนจะเก่งหรือเรียนนั้น ย่อมต้องได้รับการชี้แนะหรือแรงบันดาลใจจากใครสักคน วันสำคัญเช่นนี้เหล่าศิษย์ควรมีจิตคารวะรำลึกถึงบุญคุณของท่าน ท่านมิใช่แค่เรือจ้าง หากแต่เป็นผู้เสกสรรค์ปลุกปั้นสร้างแรงบันดาลใจ ชี้ทางศิษย์ไปสู่ความสำเร็จ รำลึกถึงบุญคุณของคุณครูทุกท่านเสมอครับ

ครู
อ่านต่อ

นิทานเรื่อง “กรุ๊บเลือด”

เรื่องทั่วไป 31 January 201428 October 2015

เมื่อคืนนั่งดูรายการเจาะใจ รายละเอียดรายการจะไม่ขอพูดถึง แต่จะพูดถึงบางเสี้ยวที่เขาพูดไว้ในรายการ เขาพูดถึงคนกรุ๊ปเลือดอะไร ควรเน้นบริโภคอาหารประเภทใด และเพื่อให้จำได้ จึงมีเรื่องเล่าสั้นๆ ให้จำได้ง่าย ต่อไปนี้ เมื่่อนานมาแล้ว ในครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก คน คือ สัตว์จำพวกแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ในยุคนั้นมีแต่พืชผลไม้ คนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ชื่อว่า กลุ่ม A จึงนิยมกินพืชผลไม้ พระเจ้าสร้างคนกลุ่มที่สองขึ้นมา โดยเรียกว่า กลุ่ม B กลุ่มนี้เริ่มรู้จักปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์ จึงนิยมกินอาหารประเภทแป้งได้ คนกลุ่มต่อมา คือ กลุ่ม AB กลุ่มนี้มาทีหลังจึงกินได้ทุกอย่างที่กลุ่ม A และกลุ่ม B ปลูกหรือเลี้ยงไว้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนกรุ๊ปเลือด A ควรเน้นบริโภคพืชผลไม้ คนกรุ๊ปเลือด B ควรเน้นบริโภคอาหารประเภทแป้ง ข้าว คนกรุ๊ปเลือด AB บริโภคได้ทุกอย่าง    

เพลงสั้น

ไดอารี่ 3 March 2011

พึ่งเปิดหมวดหมู่ใหม่ ให้ชื่อว่า “เพลงสั้น” คอนเซ็ปต์คือเอาชื่อเพลงที่ดังๆ หรือที่ตัวเองชอบมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง เขียนเรื่องสั้นให้สอดคล้องกับชื่อเรื่องในมุมมองของเรา ซึ่งไม่เหมือนเนื้อเพลงต้นฉบับ เช่น เพลงอกหัก ของบอดสี้สแลม ถ้าเขียนเป็นเรื่องสั้นในมุมของ “เพลงสั้น” อาจไม่ใช่เรื่องราวของการอกหักรักคุด แต่อาจเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ตกจากต้นไม้เมื่อสมัยเด็ก ทำให้อกหัก เดินตัวงอๆตลอดเวลา แต่ชีวิตของผู้ชายอกหักคนนี้ไม่ได้หักไปเสียทุกเรื่อง เขาหักแต่อก แต่รักเขาไม่เคยหัก เป็นต้น ปัจจุบันมีเรื่องสั้นที่อยู่ภายใต้ “เพลงสั้น” แล้ว 2 เรื่อง (คลิกไปอ่าน) การเขียนเรื่องสั้น คือ การผ่อนคลายอย่างหนึ่งจากหน้าที่การงานที่เคร่งเครียด ทุกเรื่องสั้นที่ผ่านหัวข้อเรื่อง “เพลงสั้น” ใช้เวลาเขียนไม่เกิน 1 ชั่วโมง ดังนั้น บางครั้งบางทีบางท่อนบางประโยคบางคำอาจมีตกหล่น ภาษาไม่สวยงามหรือไม่สมจริง ่ส่วนหนึ่งมาจากเวลาที่(ถูก)จำกัดโดยตัวของตัวเอง อีกส่วนหนึ่งคือฝีมือที่ยังไม่เข้าขั้นในการเขียนนั่นเอง แต่อย่างน้อยเพลงสั้นๆเหล่านี้ก็ช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้น ฝาก “เพลงสั้น” ไว้ในอ้อมอกด้วยนะครับ

เพลง เพลงสั้น เรื่องสั้น

อกหัก

เรื่องทั่วไป, ไดอารี่ 27 January 2010

อยู่ดีๆ ผมก็กลายเป็นผู้ชายใจร้าย หักอกผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน ผมได้รับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ ตอนนั้นยังไม่มีข่าว “โทรศัพท์มรณะ” ก็รับปกติ ปรากฏว่าเป็นหญิงสาวเสียงสดใส วัยน่ารัก พอรับโทรศัพท์ถึงได้รู้ว่า เธอโทรผิด (จะโดยตั้งใจโทรผิดหรือผิดจริง อันนี้ผมไม่ทราบ) แต่เธอก็ชวนผมคุยเป็นวรรคเป็นเวรเกือบชั่วโมง ตอนนั้นผมไม่มีธุระปะปังที่ไหน ก็เลยคุยด้วยได้ เป็นการคุยกับคนที่ไม่รู้จักชื่อและหน้าตามาก่อนนานที่สุดเป็นครั้งแรก เพราะโดยปกติถ้ามีคนโทรผิดมา ก็แค่ขอโทษและวางหูไป ไม่เคยมีใครมาเปิดประเด็นถามถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ อยู่ที่ไหนเหรอ? ทำงานอะไร? ชื่ออะไร ฯลฯ หลังจากวันนั้น เธอก็โทรมาอีกเป็นระยะ แต่ไม่ทุกวัน อาจจะเดือนละ 3-4 ครั้งอย่างต่อเนื่อง บางเดือนก็หายไป แล้วก็กลับมาใหม่ ครั้งล่าสุดเธอหายไปเกือบปี พอโทรอีกที เธอบอกว่า ไปแต่งงานมา ผมก็ตกใจ เพราะเธอพึ่งอายุ 17 และยังเรียนอยู่เลย เธอบอก “เรียนแล้วปวดหัว ……” (ให้ผู้อ่านเติมเอาเองนะครับ ลองตอบกันเล่นๆในคอมเมนต์ดู)  ผมก็แนะนำอย่างผู้ใหญ่แนะนำเด็กไปว่า มีสามีแล้ว ก็ประหยัดเน้อ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโทรมา เดี๋ยวจะทะเลาะกับสามีเปล่าๆ เธอก็หายไปพักใหญ่ๆ แล้วก็โทรมาอีก คราวนี้บอกมีปัญหากับสามี และอาจรุนแรงถึงขั้นเลิกกัน ทราบมาว่าสามีเธอติดสารเสพติดครับ เธอบอกว่า สามีเธอติดกาว  (บางทีสารเสพติดนี่ก็บอกระดับของคนได้เหมือนกันนะ) ตอนนี้แหละที่เธอโทรบ่อยขึ้น เกือบทุกวันและวันละหลายๆรอบ ตื่นเช้าก่อนผมจะลุกอาบน้ำแปรงฟันไปทำงาน เธอก็โทรมาก่อนละ โทรมาก็ไม่มีอะไร ถามว่าตื่นรึยัง แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ได้รับโทรศัพท์ แรกๆก็สอนก็บอกก็ปลอบใจ เพราะรู้พึ่งเลิกกับสามีที่อยู่กันมาปีกว่า แต่หลังๆชักรำคาญ เพราะเธอนอกจากจะไม่เสียใจต่อการเลิกรากับสามีแล้ว ยังมีนิสัยเป็นเด็กรักสนุก ขี้เหงา เอาแต่โทร ครั้งหนึ่งขณะที่คุยโทรศัพท์กับผมอยู่นั้น มีเพื่อนผู้หญิงเดินผ่านมาแล้วถามเธอว่าคุยกับใคร เธอตอบเขาไปว่า คุยกับกิ๊ก กิ๊ก? ผมเกลียดคำนี้ และที่ไม่เข้าใจสุดๆคือ ผมไปยินยอมพร้อมใจเป็นกิ๊กให้เธอตั้งแต่เมื่อไรกัน ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ตั้งใจจะไม่คุยกับเธอคนนี้อีกแล้วละ เธอโทรมาหลายครั้งผมก็ไม่รับ แต่เธอก็ยังโทรมาทุกวันๆ จนผมคิดว่า ไม่น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ต้องคุยกับเธอให้ชัดๆ ว่าไม่ต้องโทรมา ไม่ต้องคุยกันอีกแล้ว ไม่ชอบ พอรับโทรศัพท์ หลังจากที่ไม่รับมาหลายครั้ง เธอทำน้ำเสียงเหมือนคนเสียใจมากที่ผมหายไป ทำท่าจะร้องไห้ (เฮ้อ!!) ผมก็ว่าใส่เธอไปชุดใหญ่ เหตุผลคือไม่ต้องการให้เธอโทรมาอีก…

แสงดาว
อ่านต่อ

อิ่มท้อง อิ่มบรรยากาศ ณ เรือนรับรอง

สุขกะภาพ, ไดอารี่ 31 July 200829 June 2016

ที่จริงจะเล่าหลายครั้งแล้ว ปรากฏว่าภาพประกอบอยู่ใน memory card แล้วเจ้าตัว card reader ดันเสีย ก็เลยไม่สามารถเอารูปในมือถือมาประกอบการเล่าได้ (ถ้าไม่มีภาพแล้ว ดูขาดความน่าเชื่อถือยังไงพิกล) เรื่องที่จะเล่า ก็คือ อยากจะแนะนำอาหารให้ไปชิมกันซะหน่อยครับ เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเกิดผมนี่แหละ อยากจะได้บรรยากาศดีๆ ไม่เอิกเกริก ก็จึงได้สถานที่แห่งหนึ่งครับ ตั้งอยู่ บนดาดฟ้าชั้น 12 พิศวิทย์ทาวเวอร์ ซ.พหลโยธิน 24 จากปากซอยพหลโยธิน 24 (ใกล้แดนเนรมิต) จะมีป้ายบอกทางมาเป็นระยะๆ ขับรถตามป้ายเข้ามาเรื่อยๆ พอถึงพิศวิทย์ทาวเวอร์ก็ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 12 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าเลย ร้านนี้ชื่อร้านเรือนรับรอง บรรยากาศที่มองจากชั้นบนดาดฟ้า ตรงกลางมีสระน้ำ รอบๆมีต้นไม้ และโต๊ะอาหาร (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูป) อีกมุมหนึ่ง ดูภาพวิวรอบๆ พอแล้ว ทีนี้มาดูอาหารซึ่งเป็นไฮไลต์กัน วันนั้นสั่งไปหลายอย่างทีเดียว  แต่ละอย่างผมจำชื่อไม่ได้ แต่ที่จำได้คือรสชาติ รสชาติเยี่ยมเลยครับ ที่เห็นเป็นรูปลูกมะพร้าว นั่นคือห่อหมกยอดมะพร้าว ภาพล่างขวาปลาหมึกคลุกด้วยไข่เค็มทอด บนขวาไก่ทอด ที่นี่ทอดได้กำลังดีทีเดียว เนื้อนุ่ม ไม่แข็งไป ~ รวมๆแล้ว ถือว่าไม่เลวทีเดียว จากคะแนนเต็ม 10  บรรยากาศร้านให้ 7  รสชาติอาหารให้ 8 บรรยากาศบนดาดฟ้าดีทีเดียวครับ เป็นโอเพ่นแอร์ ~ ว่างๆลองไปชิมดูครับ

เรือนรับรอง

'สาระแนสิบล้อ' ติดอันดับหนังเสียดายตังค์แห่งปี

เรื่องทั่วไป, ไดอารี่ 8 April 2010

พอดีไปอ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง “สาระแนสิบล้อ” มา  ก็เลยรู้สึกเห็นด้วย เพราะพึ่งไปดูมาเหมือนกัน !! เขาวิจารณ์ประมาณนี้อ่ะครับ “..ที่หนังโปรโมตตัวเองว่า “มีบท” นั้น เอาเข้าจริงก็ไม่ได้จริงจังอะไร คือโดยตัวหนัง มันก็มีหัวมีท้าย แบบว่าจะเริ่มเรื่องยังไงและจะไปจบตรงไหนยังไง พูดง่ายๆ ก็คือหนังเขียนบทไว้แบบหลวมๆ เพื่อจะอัดสถานการณ์พิลึกพิลั่นลงไป เปรียบเทียบกัน มันก็คงคล้ายๆ กับหนังของของคุณหม่ำ จ๊กม๊ก อย่าง “วงษ์คำเหลา” ที่คิดพล็อตคร่าวๆ ให้มันมีตอนต้นตอนท้าย แล้วในระหว่างทางก็ “ตบมุก” ไปเรื่อยๆ หรือถ้าจะพูดให้ชัดขึ้น ผมว่า บางที ทีมสาระแนอาจจะแจ่มแจ้งแก่ตัวเองดีว่าไม่มี “ความสนใจ” มากพอที่จะสร้างสรรค์หนังที่ดีๆ เนียนๆ ได้ ก็เลย “หาทางออก” ด้วยการเลือกที่จะทำมันออกมาในลักษณะแบบบ้าๆ บวมๆ และมั่วแหลกกันไปเลย และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความหลุดโลกสุดเพี้ยน เพี้ยนตั้งแต่เนื้อหาที่พ่วงมากับวิธีคิดแบบทื่อๆ ตื้นๆ อย่างเช่น การจะเป็นลูกผู้ชายได้ต้องใช้ชีวิตหยาบๆ เถื่อนๆ อย่างการไปเที่ยวซ่อง หรือใช้กำลังตัดสิน (กระทืบคนแก่!!) เพี้ยนทั้งตัวละครและสิ่งของ ที่มีตั้งแต่ “แฝดนรกหัวติดกัน” (เสนาหอย, โก๊ะตี๋ อารามบอย) หรือแม้แต่รถสิบล้อที่กลายร่างเป็นหุ่นยนต์คนเหล็ก (ยืมวิชามาจาก Transformers แบบเต็มๆ) และเพี้ยนแม้กระทั่งสถานการณ์ในเรื่อง อย่างเช่น มีดกระเด็นไปเฉาะปากของน้าเชจนฟันหน้าหลุดหลอ, มีดเล่มเดิมนั้นผ่าลงหัวของคู่แฝดทำให้ทั้งคู่หลุดออกเป็นอิสระจากกัน และที่ต้องบอกว่า “บ้า” อย่างสุดกู่ ก็คือผีสาวเข้าสิงรถสิบล้อแล้วทำให้รถสิบล้อพูดได้แถมร้องไห้ซิกๆ นั่นแหละครับ ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด กว่าจะได้ไอเดียนี้มา (อันนี้ไม่ได้แขวะนะครับ แต่ทึ่งจริงๆ ว่าคิดได้ไง)..” สรุปง่ายๆว่า..เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้ว รู้สึกสึกเสียดายตังค์มากกกกๆๆ ..และตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ดูหนังของค่าย Luck film อีกแล้ว

อ่านต่อ

ทริปวันเดียว-เที่ยวน้ำตก-นอนเต๊นท์-กาญจนบุรี

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 5 October 201912 November 2019

เป็นอีกหนึ่งปุ้บปั้บทริป..คุยโทรศัพท์กับเพื่อนว่าเสาร์นี้ไปกินข้าวกันมั้ย แค่ชวนกินข้าวร้านดีๆแถวบ้าน รู้ตัวอีกทีมากินข้าวกลางป่าที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติสายน้ำและภูเขาซะแล้ว.. ที่หลับที่นอนคืนนี้อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีห่างจากน้ำตกเอราวัณประมาณ 7 กิโลเมตรติดกับเขื่อนศรีนครินทร์ กางเต๊นท์บนผาที่มองด้านล่างลงมาเป็นเขื่อน ใกล้ๆกันมีน้ำตกที่ไม่ปรากฏชื่อในแผนที่!! สายน้ำเล็กๆที่ไหลผ่านหน้าเต๊นท์พวกเรา คือน้ำที่แบ่งสายมาจากน้ำตกซึ่งไหลลงมาจากภูเขาลงเขื่อน บรรยากาศต้องบอกว่าสุดๆจริงๆ   หลังจากกางเต๊นท์เสร็จก็ลองเดินสำรวจน้ำตกครับ ทีแรกนึกว่าน้ำตกเล็กๆ แต่พอเดินลัดเลาะไปตามเสียงน้ำตกก็พบว่า ไม่เล็กเลย แต่เนื่องจากทางที่เดินลงมาค่อนข้างลำบาก คนก็เลยไม่นิยมมาเล่น กอรปกับค่อนข้างอันตรายนิดนึ่งเพราะด้านล่างเป็นเขื่อน ถ้าลื่นมีหวังไหลลงเขื่อนแน่นอน หลังจากสำรวจเสร็จก็กลับไปทำอาหารกินกันที่เต๊นท์ครับ บรรยากาศทำอาหารกินเองหวนให้ระลึกถึงสมัยเข้าค่ายลูกเสือ สมัยนั้นได้มาม่าปลากระป๋องนี่ก็ถือว่าเลิศแล้ว คืนนี้มีฝนปรอยๆทำให้บรรยากาศเย็นลงนิดนึง นอนฟังเสียงฝนและเสียงน้ำตก บางคนอาจรำคาญ แต่สำหรับผมบอกเลยว่า ฟินนนนน เช้าประมาณตี 5 เปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดกีฬา ออกไปวิ่งที่เขื่อนศรีนครินท์ บรรยากาศต้องบอกว่าคุ้มค่าตื่นมากๆ..หมอกหนาเต็มพื้นที่ ราวกับวิ่งบนสวรรค์ หลังจากวิ่งเสร็จก็กลับมาทานอาหารเช้ากันที่เต๊นท์ และหลังจากนั้นสายๆ ก็เก็บเต๊นท์ และมุ่งหน้าไปหาน้ำตกอีกที่หนึ่ง เราออกเดินทางจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 40 กิโลเมตร ก็มาถึง “น้ำตกแม่ขมิ้น” น้ำตกแม่ขมิ้น เป็นอุทยานแห่งชาติครับ ดังนั้น จึงมีบริการจุดกางเต๊นท์ มีร้านค้าสวัสดิการ เรียกว่าเป็นอีกที่หนึ่งสำหรับคนที่ชอบกางพักแบบกางเต๊นท์ มีเต๊นท์ให้เช่าหรือจะเอาเต๊นท์มาเองก็สะดวก จบปุ้บปั้บทริปแต่เพียงเท่านี้ครับ

กาญจนบุรี น้ำตกแม่ขมิ้น

แบ่งตามหมวด

  • say (9)
  • กลอน (1)
  • คุยกับคอม (9)
  • ช่วยชิม (11)
  • ท่องเที่ยว (62)
  • บ่น (35)
  • บ้านบ้าน (16)
  • พูดจาภาษาฝรั่ง (9)
  • วิ่ง (26)
  • สุขกะภาพ (74)
  • เพลงสั้น (11)
  • เรื่องทั่วไป (87)
  • เรื่องยาว (9)
  • เรื่องสั้นสั้น (53)
  • แมคบุค (4)
  • ไดอารี่ (63)

Copyright © 2020. All rights reserved.

Contact me : nevikup@gmail.com
Facebook.com/aroundmeTH