Skip to content

N E V I K U P

Find your Heart, Find the Happiness.

☰
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ

ต้าลี่

อ่านต่อ

เที่ยวเมืองต้าลี่-ลี่เจียง-แชงกรีล่า ตอนที่ 1

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 4 November 201128 June 2013

ช่วงที่กรุงเทพมหานครถูกรายล้อมด้วยข้าศึกคือน้ำ ผมมีโอกาสได้ละทิ้งความเครียดเรื่องน้ำท่วมมุ่งสู่มหาดินแดนอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือ เมืองจีน !!

คุนหมิง ต้าลี่ ลิเจียง เมืองจีน แชงกรีล่า

ความจริงของปัจจุบัน รอบอกชาติหน้าไม่ได้

เรื่องทั่วไป 17 November 200827 September 2016

อาทิตย์ที่ผ่านมาได้อ่านหนังสือเรื่อง “ความจริงของปัจจุบัน รอบอกชาติหน้าไม่ได้” เขียนโดยท่านผู้มีนามปกากว่า เขมกร คุณเขมกรท่านนี้ ท่าทางจะมีอายุสักหน่อย แต่เป็นคนธัมมะธัมโมตั้งแต่เด็ก ได้ปฏิบัติธรรม จนมีความสามารถพิเศษในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าคนทั่วๆไป เพราะในหนังสือท่านได้บอกว่า สามารถสื่อสารกับวิญญาณ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรได้ ฯลฯ ผมอ่านวันเดียวจบ เพราะเนื้อหาหนังสือน่าอ่าน อ่านสนุก มีประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณหลากหลาย แปลกๆ ทุกเรื่องมีคติท้ายเล่ม มีแง่คิดเกี่ยวกับการทำความดี และการทำความชั่ว ที่สำคัญเกือบทุกเรื่องจะมีข้อความจากพระไตรปิฏกมาปิดท้าย อ่านแล้วก็น่าสนใจ และพาให้กลัวในเรื่องเวรกรรม บาปกรรม และบุญกรรม หนังสือแนวๆนี้ในยุคปัจจุบันมีน้อยเต็มที เน้นหนักไปในเรื่องรักๆใคร่ๆ เสียมาก หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่กำลังห่างไกลจากคำว่า ทำดีหรือทำชั่ว บางคนทำชั่วจนชิน บางคนเคยรู้ตั้งแต่เด็กว่าตายแล้ว จะต้องไปชดใช้กรรม ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่มักอ้างว่า ชาติหน้าเป็นเรื่องหลังความตาย ขอให้ชีวิตรอดได้ในชาตินี้ก่อน ชีวิตหลังความตายน่ากลัวว่าที่คิดเยอะ ผมพึ่งเสียเพื่อนสนิทไป เมื่อประมาณกลางๆปีนี้ ก็ยังมานั่งๆคิดเล่นๆ ว่าเพื่อนเราไปไหนแล้ว ณ ตอนนี้ เพื่อนจะรู้ตัวมั้ย จะตกใจมั้ย จะกลัวมั้ย จะไปไหน หรือจะยังไง ฯลฯ คิดดังนั้นก็ย้อนมาคิดถึงตัวเราเอง เมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่เราต้องไปแบบนั้นบ้าง เราจะยังไง จะกลัวมั้ย จะเดินไปไหน ที่ๆนั่นมืดมากมั้ย ท่านยมบาลน่ากลัวมั้ย ระหว่างบาปกับบุญของเรา อันไหนจะมากกว่ากัน และเราจะถูกตัดสินให้ไปชดใช้ในนรกขุมไหน หรือให้ไปเสวยสุขที่สวรรค์ชั้นใด ฯลฯ ในหนังสือเล่มนี้บอกว่า ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างนี้จริงๆ เป็นอย่างที่เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กโดยคนเฒาคนแก่จริงๆ และเมื่อถึงเวลานั้น “เราจะกลัวมั้ย?” ผมถามตัวเอง คำตอบก็คือ เหมือนเราสมัยประถม เวลาเข้าแถวหน้าเสาธง เมื่อครูออกไปพูดหน้าเสาธง ถ้าเราทำอะไรผิด เราก็กลัวแสนกลัว ไม่กลัวสบตาครู ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด หนำซ้ำทำแต่ความดี นอกจากไม่กลัวครูแล้ว ยังเสนอหน้าให้ครูเห็นชัดๆ เผื่อครูจะกล่าวชมถึงความดีของเราที่หน้าเสาธง คนทำดีไว้มากมายพอแล้ว ถึงตายไปก็ไม่กลัว ก็แค่ย้ายบ้านใหม่ ส่วนคนชั่ว เวลาละโลกนี้ไป นั่นหมายถึงเวลาตัดสินคดี ไม่ถูกประหารชีวิตก็ถูกจับทรมานอย่างสยอดสยอง อยู่ที่ความชั่วที่ตัวก่อไว้ ดังนั้นแล้ว..มาสะสมความดีกันเถอะครับ ถึงเวลาย้ายบ้านจะได้สบาย

เพลงสั้น

ไดอารี่ 3 March 2011

พึ่งเปิดหมวดหมู่ใหม่ ให้ชื่อว่า “เพลงสั้น” คอนเซ็ปต์คือเอาชื่อเพลงที่ดังๆ หรือที่ตัวเองชอบมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง เขียนเรื่องสั้นให้สอดคล้องกับชื่อเรื่องในมุมมองของเรา ซึ่งไม่เหมือนเนื้อเพลงต้นฉบับ เช่น เพลงอกหัก ของบอดสี้สแลม ถ้าเขียนเป็นเรื่องสั้นในมุมของ “เพลงสั้น” อาจไม่ใช่เรื่องราวของการอกหักรักคุด แต่อาจเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ตกจากต้นไม้เมื่อสมัยเด็ก ทำให้อกหัก เดินตัวงอๆตลอดเวลา แต่ชีวิตของผู้ชายอกหักคนนี้ไม่ได้หักไปเสียทุกเรื่อง เขาหักแต่อก แต่รักเขาไม่เคยหัก เป็นต้น ปัจจุบันมีเรื่องสั้นที่อยู่ภายใต้ “เพลงสั้น” แล้ว 2 เรื่อง (คลิกไปอ่าน) การเขียนเรื่องสั้น คือ การผ่อนคลายอย่างหนึ่งจากหน้าที่การงานที่เคร่งเครียด ทุกเรื่องสั้นที่ผ่านหัวข้อเรื่อง “เพลงสั้น” ใช้เวลาเขียนไม่เกิน 1 ชั่วโมง ดังนั้น บางครั้งบางทีบางท่อนบางประโยคบางคำอาจมีตกหล่น ภาษาไม่สวยงามหรือไม่สมจริง ่ส่วนหนึ่งมาจากเวลาที่(ถูก)จำกัดโดยตัวของตัวเอง อีกส่วนหนึ่งคือฝีมือที่ยังไม่เข้าขั้นในการเขียนนั่นเอง แต่อย่างน้อยเพลงสั้นๆเหล่านี้ก็ช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้น ฝาก “เพลงสั้น” ไว้ในอ้อมอกด้วยนะครับ

เพลง เพลงสั้น เรื่องสั้น

สุขสันต์วันเด็ก

ไดอารี่ 9 January 2010

เราซ้อมกันแล้วซ่อมกันเล่า เพื่อโชว์ในวันสำคัญของพวกเรา “วันเด็ก” เนื่องจากเป็นเด็กผู้ชาย ดังนั้น การโชว์ของพวกเราจึงไม่อยู่ในการควบคุมของครู ให้โจกทย์มาว่า ต้องไปหาการแสดงมาแสดงสักอย่างหนึ่ง พวกผู้หญิงเขามีการเต้นประกอบเพลงไปแล้ว พวกผู้ชายจะโชว์อะไร?? เราคุยกันอย่างเครียดร่วม 10 นาที ได้ข้อสรุปว่า เราจะเล่นละคร!! ผู้กำกับการแสดงคือ “ไอ้แก้ว” ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยเผด็จการ ไม่ได้รับการโหวต หรือการมอบหมายจากอาจารย์คนไหน ถืออำนาจอัตตาธิปไตย คือสามารถต่อยคนโน้นคนนี้ชนะ ผมเป็นสมุนคนสนิท กว่าจะได้รับการยอมรับได้ก็ต้องผ่านด่านต่อยตี และมีเกรดค่อนข้างดีด้วย (เพื่อให้มันลอกการบ้านได้) ละครที่เราจะเล่นกันในวันเด็ก มีชื่อเรื่องว่า “ศึกชิงนาง” ชื่อเรื่องก็บอกแล้วว่า บทเด่นก็คือนางเอก ต้องสวย เริ่ด ถึงกับต้องชิงกันจากสองเมือง แต่เราจะหานางเอกจากที่ไหนได้ละ พวกเรามีแต่ผู้ชาย..ทุกคนต่างเกี่ยงกัน ไม่ยอมรับ และรับไม่ได้ที่จะต้องแต่งหญิงผู้เลอโฉม สุดท้ายบทเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจนเจ้าสองเมืองต้องยกทัพมาแย่งชิงก็ตกมาถึงมือผม ผมเป็นเจ้าหญิงที่เลอโฉมแบบประหลาดมาก มีบทที่ท้องเสีย ต้องวิ่งไปอึหน้าเวทีอีกต่างหาก ~ แน่ใจเหรอนั่นว่าเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ผมไม่รู้ว่าตอนนั้น คนดูชื่นชอบมากน้อยแค่ไหน เพราะผมไม่ได้มองคนดูเลย เล่นมองแต่หน้ากันเองจนจบเืรื่อง ก็มันอายนี่หว่า.. จากบทนางเอกของเรื่อง “ศึกชิงนาง” เมื่อตอนประถมสี่นี่เอง ทำให้ในชั้นประถมห้า คุณครูได้ลงมากำกับการแสดงเอง โดยให้ผมและเพื่อนผู้ชายอีก 4-5 คนร่วมแต่งเป็นหญิงด้วย ครั้งนี้ไม่มีชื่อเรื่อง แต่จำลองเหตุการณ์การประกวดนางสาวไทย !!! ผมเป็นหนึ่งในผุ้เข้าประกวดด้วย .. เฮ้อ กูสวยตรงไหนว่ะ นั่นคือช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในวันเด็กที่แสนมีความสุข รางวัลของการแสดงทั้งสองครั้งนั้น คือขนมพวงโตที่พวกเราภาคภูมิใจมาก ความรู้สึกในวันนั้นมากกว่าขนม คือ คนดูหัวเราะ ผมมาทราบภายหลังจากวันนั้น เมื่อเดินไปทางไหนแล้วมีคนทักว่าเป็นหญิง (อุอุ) เด็กเขาไม่ต้องการอะไรมากกว่า การได้ร่วมสนุก และรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ ทั้งนี้ ต้องให้ความสำคัญในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเราทำดี เราก็ต้องกระโจนไปแสดงความชื่นชน เล่นสนุก และคลุกคลีกับเขา ขณะเดียวกันถ้าเขาทำไม่ถูก เราก็ต้องให้ความสำัคัญ แต่ต้องให้ความสำคัญในทางให้ความรู้ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ดีนะ .. อย่าปล่อยผ่านเลยไป ผมยังจำได้ ช่วงที่ผมมีความสุขที่สุดในวัยเด็ก มันเกิดขึ้นในบ้านเล็กๆของเรานั่นเอง ผมเด็กมาก พี่สาวพึ่งเข้าประถม เรามานั่งวาดรูปกัน พี่สาวเริ่มวาดรูปเป็น ขณะที่ผมได้แต่ขีดๆเขียนๆ แม่จึงมาวาดรูปให้เรา แม่นอนวาดรูปกับพื้นกับพวกเรา รูปที่แม่วาดน่ารักมาก…

อ่านต่อ

บ้านกรูด ทะเล – สวย – สงบ

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 17 April 200923 September 2016

ปีใหม่แบบไทยๆ สาดน้ำ ปะแป้ง รดน้ำ ดำหัว ยึดรถเมล์ เผารถ ไล่กระทึบ ยิง ฟัน ฆ่า ฯลฯ กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ไปอีกวัน นอกจาก 6 ตุลา , 14 ตุลา, พฤษภาทมิฬ , 7 ตุลา และล่าสุดสดๆร้อนๆ 12 เมษา คนไทยแบ่งเป็นฟักฝ่ายโดยแยกตามสี สีใหญ่ๆมี 2 สี แต่ไม่แน่ใจในอนาคตจะมีสีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ สีน้ำเงินที่โผล่มาแค่วันเดียวก็หายไป อาจจะเป็นสีเฉพาะกิจ แต่จะสีไหนก็ตาม เสื้อผ้าทั้งสองสีของผม ถูกพับเก็บไว้ในตู้มิดชิด ไม่ยอมใส่มันอีกต่อไป (ถึงจะชอบแค่ไหนก็ตาม)   วกมาเรื่องตัวเองบ้างดีกว่า สงกรานต์ปีนี้ก็เหมือนทุกๆทีครับ ..ไปทะเล ผมไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ พี่น้อง หรือญาติผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์นานแล้ว..(จนลืมไปแล้วว่า วันสงกรานต์ต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะถูกต้องตามจารีตประเพณี) จารีตประเพณีที่บังคับให้เราทำอะไรเหมือนๆกันในวันเดียวกันนี่เอง ทำให้เกิดปัญหา~ ปัญหารถติดเพราะต้องออกไปไหว้ผู้ใหญ่ในวันเดียวกัน ปัญหาสถิติคนตาย ปัญหาคนตกรถ อุบัติเหตุ ฯลฯ   เราถูกตั้งกฏ(โดยสื่อหรือใครก็ไม่รู้)ให้รักแม่รักพ่อปีละครั้ง รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ปีละ 3 วัน มีการรณรงค์ส่งเสริมให้ไปไหว้พ่อไหว้แม่ในวันดังกล่าว จนคนที่รักพ่อรักแม่อยู่ทุกวัน ไหว้พ่อไหว้แม่อยู่ทุกวัน รู้สึกไม่มั่นใจว่าที่ทำๆทุกวันนั่น ใช่รักพ่อรักแม่รึยัง? ต้องรีบไปไหว้เป็นพิเศษในวันนั้นให้ได้ ส่วนคนอื่นๆที่พ่อแม่อยู่ไกล ก็ต้องรีบออกจากบ้านออกเดินทางพร้อมกันในวันเดียวกัน จะไม่ไปก็ไม่ได้ เปิดทีวีช่องไหน ก็มีแต่ภาพดาราไหว้พ่อไหว้แม่ กอด จูบพ่อแม่อยู่นั่น จนคนดูเริ่มรู้สึก (แรกๆแค่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่ แต่หลังๆชักรู้สึกมั่นไส้) ผมก็ไม่ได้แอนตี้ประเพณีแบบนี้กันหรอกนะครับ เพียงแต่ว่า ปีละครั้ง มันพอเหรอ?? รณรงค์ ส่งเสริมกันแค่ปีละครั้งเองเหรอ คนที่รักพ่อแม่จริงๆ ทำได้ทุกวันง่ายๆ ทำตัวให้เป็นคนดี จะทำอะไรไม่ดีก็ขอให้คิดถึงท่านก่อน ก่อนนอนกราบพระและระลึกถึงท่าน อุปัฏฐาก บำรุง ดูแล ตามสมควร ฯลฯ เอาละ พูดมาเยอะแยะนั่นนะ ความรู้สึก ความเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ ไม่ต้องเห็นร่วมก็ได้ เอาภาพที่หนีกรุงเทพฯไปเที่ยวทะเลมาฝาก (ต้องใช้คำว่าหนีจริงๆ เพราะวันที่ไปนั่นนะ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดแล้ว…

เลือดชาวนา

เรื่องทั่วไป 5 March 2010

หลังจากเปิดหมวดหมู่ใหม่ ก็เลยอัดแต่เรื่องในหมวดหมู่ใหม่ไปเยอะ..วันนี้มาเข้าเรื่องที่อยู่ในหัวตามเดิมบ้าง หลายอย่างเกิดขึ้นและดับไปในหัว บางอย่างดับไปแล้วแต่ยังมั่นอยู่ในสัญญา คือยังจำได้อยู่ แต่บางอย่างได้หายไปแล้วกับกาลเวลา ไอเดีย หรือแรงบันดาลใจเกิดขึ้นในใจผมหลายครั้งมาก แต่น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถรักษาพวกเขาให้อยู่กับเราตลอดไป .. แต่มันต้องมีวิธีสิ ต้องมีวิธีที่จะรักษาไอเดียและแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นในใจ ณ เวลานั้นๆ ให้อยู่กับเราตลอดไป เพื่อใช้เป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตให้ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามครรลอง อังคารที่ผ่านมา มีความรู้สึกภาคภูมิใจในอาชีพบรรพบุรุษของผมเกิดขึ้น ซึ่งแทบจะกล่าวได้ว่ามันเกิดขึ้นน้อย และหลังๆแทบจะไม่เกิดขึ้นเลยกับอาชีพนี้ นั่นคือ อาชีพชาวนา !! ชาวนาผู้น่าสงสาร ทำงานหนักทั้งปี แต่มีหนี้ท่วมตัว ฝนไม่ตกข้าวก็พัง ฝนตกมากข้าวก็เน่า มีลูกสาวลูกชาว ประดาลูกๆ ก็ไม่อยากเป็นชาวนา ไม่มีความภาคภูมิใจในอาชีพบรรบุรุษนี้แล้ว อยากเรียนต่อ เรียนสูงๆ ..ชาวนาผู้น่าสงสาร จะเอาเงินที่ไหนส่งลูกเรียน ในเมื่อข้าวราคาแสนถูก ผลิตผลแต่ละปีก็ย่ำแย่ ไม่น้ำแห้ง ก็น้ำท่วม แต่สุดท้ายด้วยความรักลูก ก็ต้องยอมสละสมบัติชิ้นสุดท้ายอันเป็นที่ทำงานมาทั้งชีวิต นั่นคือ ที่นา !! ชาวนาผุ้น่าสงสารทำนาเหมือนเดิม แตกต่างแต่ว่า นานั้นไม่ใ่ช่ของตนอีกต่อไป ความหวังสุดท้ายอยู่ที่ลูกชายลูกสาวที่ส่งเสียไปร่ำเรียนถึงในกรุง ชาวนาผู้น่าสงสารยังมีสัตว์เลี้ยงที่น่าสงสารยิ่งกว่าอีก นั่นคือ ควาย  ~ โง่เหมือนควาย ไอ้ควาย!! คนฉลาดในเมืองหลวงคอยตักตวงเอาผลประโยชน์จากชาวนาผุ้น่าสงสารที่พลัดหลงเข้ามาในเมืองหลวง กดขี่ข่มเหง คนที่ทนต่อสภาพกดดันนั้นได้ กลายเป็นอดีตชาวนาผู้มีประสบการณ์ทางมิจฉาชีพในเมืองหลวงสูง เขาผันตัวเองเป็นผู้ตักตวงผลประโยชน์ หลอกลวงคนอื่นบ้าง นั่นคือ ผลผลิตจากอดีตที่เจ็บปวดของเขา ชาวนาผู้น่าสงสารที่ไม่เข้าในเมืองหลวง ก็กลับถูกผู้อยู่ในเมืองดั้นด้นไปจนถึงชายทุ่ง หลอกลวงขอซื้อที่ด้วยราคาที่แทบจะถูกกว่าล้อรถยนต์ ความภาคภูมิใจในอาชีพชาวนาเมื่อในอดีตสูญสิ้น เมื่อกล่าวถึงอาชีพนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า “จน” และค่อนข้าง “โง่” จนเมื่ออังคารที่ผ่านมา ผมดูรายการคนค้นฅน ตอน  ตุ๊หล่าง เลือดชาวนา ความภาคภูมิใจในอดีตค่อนก่อตัวขึ้นใหม่ ตุ๊หล่าง เป็นผู้ที่ไม่หยุดคิดในการพัฒนาตนเองและวิชาชีพชาวนาเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง อาชีพชาวนาเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ในความคิดของตุ๊หล่าง และเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ตุ๊หล่างทำให้ทุกคนรู้ว่า ชาวนา ไม่ใช่อาชีพที่ยากจนหรือถึงจนก็จนแค่ภายนอก แต่ภายในใจนั้นเปี่ยมสุขอย่างล้นเหลือ ชาวนาอย่างตุ๊หล่างมิได้ทำแค่นา แต่ได้ทำหน้าที่ของนักอนุรักษ์ อนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้สารพิษเพื่อฆ่าแมลงในนา แต่เลี้ยงกบ เลี้ยงปลาเพื่อให้ช่วยฆ่าแมลงแทน ให้ธรรมชาติปรับธรรมชาติอย่างสมดุล โดยมนุษย์เป็นแค่ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด  ตุ๊หล่างบอกว่า รู้สึกตัวเองด้อยพัฒนาลงทันที หากปีไหนไม่ได้ทำนา ทุกปีที่ลงมือทำนา นั่นหมายถึงการได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ตุ๊หล่างเลี้ยงข้าวด้วยความรัก…

คนค้นฅน ชาวนา

งานแต่งใครใคร..เป็นได้แค่แขกรับเชิญ..

สุขกะภาพ, เรื่องทั่วไป 27 August 20096 January 2016

ไม่รู้ว่าวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม เป็นวันฤกษ์ดีอะไร ขนาดไหน ยังไงนะ รู้แต่ว่า วันนี้มีงานของคนรู้จักที่ต้องไปร่วมด้วยช่วยกัน ถึง 2 งาน !! งานแรกเป็นงานแต่งของเพื่อน สิงห์ หรือ เนธิวรรธน์ สิงห์ทอง เริ่มงานตั้งแต่ 8 โมงเช้า กินเลี้ยงกันตอนเที่ยงจนถึงเย็น งานที่สองเป็นงานทำบุญบ้าน พร้อมทำบุญให้ปู่ผู้ล่วงลับ งานเริ่ม 10 โมงเช้าเป็นต้นไป!! วันตรงกันพอไหว แต่นี่งานยังตรงกันอีก โชคดีตรงที่ว่า งานทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันมากนัก งานหนึ่งเกิดขึ้นแถวสะพานพระนั่งเกล้า อีกงานหนึ่งอยู่ประชาชื่น 44 งานนี้ต้องวางแผนกันดีๆหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหาได้ จังหวะนี้คิดถึงเพลงของทาทาขึ้นมาทันที “..อยากเก็บเธอไว้……ทั้งสองคน” หลังจากวางแผนไว้ในใจแล้ว เช้าวันอาทิตย์ก็ดำเนินตามแผนการณ์ทันที ผมต้องตื่นเช้าในเวลาปกติในวันทำงาน คือ 6 โมงครึ่ง อาบน้ำ แต่งตัว ไปงานแต่งในตอนเช้าก่อน บรรยากาศตอนเช้า มีทำบุญเลี้ยงเช้าพระ เสร็จแล้วมีแห่ขันหมากในเวลา 9.09 นาที บรรยากาศของงานแต่งละนะ ขาดไม่ได้เลยคือแอลกอฮอล์ ตอนเช้าด้วยความจำใจให้ดื่มไป 2 แก้ว หลังจากแห่ขันหมากเสร็จ ผมต้องขึ้นแท็กซี่เพื่อไปอีกบ้านหนึ่ง เพื่อทำบุญบ้าน งานนี้ได้รับความไว้วางใจให้เป็นทายก มีหน้าที่อาราธนาศีล, อาราธนาพระปริตร ถวายของพระ ฯลฯ หลายคนชมบอกว่าทำหน้าที่ได้ดี โดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังนั้นระกำแสน ด้วยฤทธิ์เหล้าในงานแต่งแค่ 2 แก้ว ทำเอาสมองอลอึง อาราธนาศีลแบบมึนๆ  สมองสั่งการได้ช้ากว่าปกติ (เข้าใจเลยว่าตัวเองคออ่อน(มาก) และที่เข้าใจมากไปกว่านั้น คือ คนกินเหล้า เป็นคนอันตรายแค่ไหน หากต้องทำหน้าที่ขับรถ) ขณะที่เข่าทั้งสองข้างพอง ด้วยต้องคุกเข่าบนพื้นแข็งเป็นเวลานาน หลังจากทำหน้าที่ทายกเสร็จสิ้น ก็บึ่งกลับไปที่งานแต่งอีกครั้ง ครั้งนี้ยิงตรงไปยังสถานที่กินเลี้ยง นั่นคือ ร้านแดรี่ ควีน สะพานพระนั่งเกล้าฯ พอไปถึง เพื่อนๆหลายคนเมาล่วงหน้าไปแล้ว วันนี้อาจจะเมาเร็วกว่าปกติ ด้วยอากาศที่ร้อนระอุ บวกกับดีกรีของเหล้าแบบ on the rock (เหล้าเพียวๆไม่ผสมโซา น้ำอัดลม หรือน้ำแข็ง) พอผมย่างกรายไปถึง เพื่อนๆเหมือนกลัวเราจะเสียเปรียบที่ยังไม่เมา…

สิงห์ แต่งงาน

เคนดะอิจิ ยอดนักสืบ

เรื่องทั่วไป 10 November 2009

การนั่งในรถนานๆโดยไม่น่าเบื่อ ไม่หงุดหงิด และไม่หิวเลย คิดว่าเป็นไปได้มั้ย? ในกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ฯ ของเราเนี่ยะ ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงภาวะรถติดได้เลย ต่อให้มีตังค์มากก็เหอะ ต้องมีสักครั้ง หรือหลายๆครั้งที่ต้องทนนั่งรอรถติด โดยเฉพาะผู้อาศัยรถเมล์เป็นเครื่องเดินทาง และโดยเฉพาะในช่วงนี้ ช่วงที่กทม.กำลังเร่งปรับปรุงสะพานในหลายๆจุด  รถที่เคยติดอยู่แล้ว ก็ทวีความมหาติดอีกเป็นหลายเท่าตัว นี่ไม่นับเหตุการณ์ประท้วง หรือชุมนุมตามท้องถนนอีกนะ ถ้าบังเอิญเกิดขึ้นในเส้นทางที่เรากำลังสัญจรอยู่ด้วยละคุณเอ๊ย..อยากจะร้องไห้เป็นภาษาละติน ความน่าเบื่อที่ต้องติดอยู่ในรถนั้นจะหมดไปครับ วันนี้ผมพบทางออกที่แสนสดใสแล้วครับ ผมไม่ค่อยได้เดินทางด้วยรถเมล์เท่าไร เพราะบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานเพียง 2 ป้ายรถเมล์ ตอนเช้าๆอาศัยเดินชมนกชมไม้ ชมหญิง ชมควาย(ขับรถ)บางคน ไม่ต้องง้อรถราที่ติดขัด ตอนเย็นก็เดินกลับเช่นกัน ปัญหาการเดินทางของผมแทบไม่มี แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีเหตุที่ต้องเดินทางค่อนข้างไกล จากพัฒนาการ สู่ปากเกร็ด ผมอาศัยรถเมโทรบัส สาย 35 คันสีขาวๆ หน้าตาดี มีทีวีให้ดูนั่นแหละครับ เส้นทางจากพัฒนาไปสู่ปากเกร็ดต้องวิ่งบนถนนเพชรบุรีถนนสายโลกีย์อันเก่าแก่ ต้องผ่านแยกอโศกที่โคตรติด และผ่านสี่แยกประตูน้ำ แยกประตูน้ำที่ปกติก็โหดอยู่แล้วในเรื่องรถติด วันนี้ทะลึ่งมีกลุ่มคนมาประท้วงอีก..2+2 = 10 เลยละครับพี่น้อง รถเมโทรบัสนิ่งสนิท ทุกคนดูกระวนกระวาย แต่ผมไม่ ..เพราะอะไรนะหรือ วันนี้ผมมีหนังสือติดกระเป๋ามาด้วยเล่มหนึ่ง เรื่อง เคนดะอิจิ ยอดนักสืบ เคนดะอิจิ ยอดนักสืบ เป็นหนังสือนิยายแนวสืบสวนสอบสวนของญี่ปุ่นที่มีคดีสะเทือนขวัญเยอะแยะมากมาย ล้วนแต่น่ากลัว ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ หญิงคิดคด ชายกบฏ รถระเบิด ฯลฯ  มีหลายภาคหลายตอนครับ เล่มที่อยู่ในมือผมขณะนี้ คือ ตอนเจดีย์สามเศียร ไม่น่าเชื่อว่าผมติดอยู่บนรถเมล์ตั้งเกือบ 3 ชั่วโมง แต่ไม่รู้สึกเบื่อ หงุดหงิด ง่วงนอน หรือหิว อย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่ตอนนั้นเป็นเวลาระหว่าง 6 โมงเย็น – 2 ทุ่ม อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในรถที่เอื้อตอนการอ่านหนังสือ บวกกับหนังสือที่สนุกอ่านแล้ว น่าติดตาม น่าสงสัย ชวนให้อยากรู้ ผมมักตั้งคำถามและเดาเหตุการณ์ในคดีของเคนดะอิจิเสมอ แต่เดาถูกเพียงเล็กน้อย เมื่อตอนจบมักมีการผลิกล็อกแบบคาดไม่ถึงเสมอ และนั่นคือเสน่ห์ของเรื่อง ทั้งผู้เขียนคือ โยโคมิโซะ  ชิชิ และผู้แปล มนาด ศีติสาร ได้ใส่อรรถรสและความลึกลับซับซ้อน…

เคนดะอิจิ
อ่านต่อ

น้องพฤกษ์

say, สุขกะภาพ 31 May 201523 September 2021

น้องพฤกษ์เป็นลูกชายขององอาจ เพื่อนข้างๆบ้านนี่เอง ถ้าผมมีลูก ก็จะไล่เลี่ยกันกับน้องพฤกษ์นี่แหละครับ กำลังน่ารักน่าชังน่าตี และซุกซนตามประสาเด็ก เรื่องที่เคยกังวลว่า จิ๊กกี๋จะเป็นปัญหาหรือจะรังแกน้องหรือไม่นั้น ดูจากภาพนี้คงหายกังวลครับ ปกติกี๋จะหวงบ้านมาก แต่วันนี้น้องพฤกษ์เดินต๊อกแต๊กๆ เข้าบ้าน นอกจากกี๋จะไม่เห่าแล้ว ยังเดินตามมาส่งกระดิกหางดุกดิกหมามันฉลาดครับ, มันรู้ใครมาดี ใครมาร้าย “จิตใจแม้จะซ่อนไว้ข้างใน แต่หมามันรู้ครับ“

ชีวิตที่โหยหา..ความสำเร็จ

เรื่องทั่วไป, ไดอารี่ 20 January 2010

ชีวิตมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ สิ่งที่เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่หลักของพุทธศาสนาบอกไว้ว่า เป้าหมายสูงสุด คือ ความหลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร จากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ถ้าจะก้าวข้ามขั้นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชน ก็ต้องตั้งเป้าหมายสู่ ความหลุดพ้น แต่เมื่อยังอยู่ในภาวะปุถุชนเช่นผม เราก็ต้องตั้งเป้าหมายที่ความสำเร็จเป็นหลัก ความสำเร็จ ไม่ว่าจะสำเร็จในการศึกษา ในชีวิต ในหน้าที่การงาน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการทั้งนั้น การจะดำเนินไปสู่ความสำเร็จนั้น มีข้อธรรมให้ดำเนินตาม เรียกว่า วุฑฒิ วุฑฒิ คือ ธรรมเป็นเครื่องเจริญ ๔ อย่าง ๑.  สัปปุริสสังเสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบด้วยกายวาจาใจ ที่เรียกว่าสัตบุรุษ ๒.  สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสอนของท่านโดยเคารพ ๓.  โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ ๔.  ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ สองอัครสาวกที่ได้รับตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย ช่วงชีวิตครั้งหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตของท่านทั้งสองมาก คือ การต้องเลือกว่าจะอยู่หรือไป ข้างหนึ่ง คือ อาจารย์สญชัย ผู้ที่ตนไปร่ำเรียนจนจบทุกวิชาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบของชีวิต กับอีกทางหนึ่งคือสำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ได้ชื่อว่ารู้ทางแห่งการหลุดพ้น แม้จะยังไม่ได้เข้าเฝ้า แต่การได้พบพระอัสสชิซึ่งเป็นพระสาวกยังได้ความศรัทธาเพียงนี้  ทั้งสองตัดสินใจเลือกเดินทางไปสำนักของพระพุทธเจ้า ท่านเลือกคบหาสัตบุรุษ ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยเคารพ พิจารณาำถึงคำสอนโดยตริตรอง และปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งสุด สุดท้ายทั้งสองจึงถึงความสำเร็จสูงสุดของชีวิต นั่นคือ นิพพาน การจะหาสัตบุรุษเพื่อคบหา ก็ใช่จะเป็นเรื่องง่าย ดังนั้น จึงมีข้อธรรมอีกหมวดหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ดำเนินไปสู่ความเจริญได้ง่ายขึ้น เรียกว่า จักร จักร ๔ ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ ๑.  ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร ๒.  สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ ๓.  อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ๔.  ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน การอยู่ในประเทศ ในจังหวัด ในหมู่บ้านที่ดี ย่อมมีโอกาสให้พบเจอบัณฑิต หรือสัตบุรุษมากขึ้น ในประเทศไทยเราถือว่าโชคดี เราเกิดมาเจอพระพุทธศาสนา เจอคำสอน ที่เหลือก็อยู่ที่เราขวนขวายหา การตั้งตนไว้ชอบ คือการนำตนไปสู่ธรรมและนำธรรมมาสู่ตน…

'องค์บาก 3' ปฐมบทขององค์บาก

เรื่องทั่วไป 6 May 2010

ชอบในฝีไม้ลายมือการแสดงของจา พนม ยีรัมย์ แต่ที่ผ่านมาเหมือนกับว่าผู้กำกับหนังของจา ไม่มีบทหนังที่ดีพอ ที่จะทำให้หนังของจาสนุกและน่าสนใจเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็น องค์บาก หรือต้มยำกุ้งที่กำกับโดยผู้กำกับคนเดียวกัน นั่นคือ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ฉากต่อสู้สนุก ตื่นเต้น มันส์ สะใจ แต่ทว่าบทอ่อนปวกเปียก อืดชืด และบางทีก็ไร้เหตุผลที่มาที่ไป ทำให้หนังถูกพูดถึงน้อยกว่าตัวแสดงอย่างจา สองเรื่องหลัง (องค์บาก 2-3) จา เลยขอกำกับเอง !!! ผลจึงออกมาอย่างที่เราเห็นๆ ย้ำว่าผมชอบที่ฝีไม้ลายมือการแสดง การต่อสู้ที่สวยสดงดงาม แต่ฝีมือในการกำกับหนังรวมถึงการเขียนบท ไม่ประทับใจเลย เมื่อวานพึ่งไปดูมา คนดูไม่มากอย่างที่คิดทั้งๆที่เป็นวันหยุด ภาค 3 เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภาค 2 แต่หนังพยายามโยงให้ต่อเนื่องกับภาคแรก โดยอาศัยพระองค์บาก ภาค 2-3 ก็คือภาคปฐมบทขององค์บาก ก่อนจะมีองค์บากที่ชาวบ้านศรัทธาและบูชากันจนถูกโจรตัดเศียรไป ให้จาวิ่งไล่ล่าในภาคแรก ภาค 3 นี้มีการเล่าเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย มีหลายฉากที่เด็กๆ (หรือหญิงมีครรภ์)ดูไม่ได้เลย โหดร้าย หวาดเสียว เลือดท่วมจอ มีการเล่าเรื่องที่ทำให้งง บางฉากดูแล้วตลกๆ เช่นฉากที่จาฝึกวิทยายุทธ์ที่น้ำตกจนมีหนวดมีเครายาวเฟื้อย พลอยทำให้คิดไปถึงหนังจีนกำลังภายในอย่างเรื่อง กระบี่ไร้เทียมทาน ฉากการต่อสู้ที่ถือเป็นตัวชูโรง กลับไม่มีอะไรตื่นเต้นไปกว่าภาคก่อนหน้าเท่าไร ผมว่าจา ต้องกลับไปเป็นผู้เล่นอย่างเดียวก่อน ก่อนที่จะเป็นผู้กำกับ เพราะการกำกับหนังมันมีอะไรมากกว่านี้ มุมกล้อง การเล่าเรื่อง การตัดต่อ ฯลฯ ยังชื่นชอบในมีไม้ลายมือ หนังเรื่องหน้าที่จาเล่น ไม่ว่าใครจะกำกับ ผมก็จะดูครับ !!

แบ่งตามหมวด

  • say (9)
  • กลอน (1)
  • คุยกับคอม (9)
  • ช่วยชิม (11)
  • ท่องเที่ยว (62)
  • บ่น (35)
  • บ้านบ้าน (16)
  • พูดจาภาษาฝรั่ง (9)
  • วิ่ง (26)
  • สุขกะภาพ (74)
  • เพลงสั้น (11)
  • เรื่องทั่วไป (87)
  • เรื่องยาว (9)
  • เรื่องสั้นสั้น (53)
  • แมคบุค (4)
  • ไดอารี่ (63)

Copyright © 2020. All rights reserved.

Contact me : nevikup@gmail.com
Facebook.com/aroundmeTH