Skip to content

N E V I K U P

Find your Heart, Find the Happiness.

☰
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ

อ่างขาง

อ่านต่อ

เที่ยวท่อง..ล่องเหนือ – Day 2 ดอยอ่างขาง

ท่องเที่ยว 15 December 201721 December 2017

เริ่มวันที่สอง ออกจากลำพูนมุ่งหน้าสู่ดอยอ่างขาง.. ใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 11 ไปทางเชียงดาว ระหว่างทางเจอที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ ก็ไม่พลาดที่จะแวะชมบรรยากาศ จุดแรก ม่อนชมดอย ติดกับถนนเห็นเด่นเป็นตระหง่าน ผมแวะทานอาหารเช้าที่นี่ ขับรถตามทางไปสักระยะ เห็นป้ายบ่อน้ำร้อน..แวะสิครับ ออกจากบ่อน้ำร้อน ประมาณ 3 กิโลเมตร จะมีน้ำตกศรีสังวาลย์ สามารถใช้ตั๋วใบเดียวกับบ่อน้ำร้อนได้ ..แวะสิครับ สถานีต่อไปมุ่งหน้าอ่างขาง ครับ อ่างขางขึ้นได้ 2 ทาง คือทางฝั่งเชียงดาว และฝั่งฝาง ถ้าว่าด้วยระยทางฝั่งอำเภอฝางระยะสั้นกว่า แต่ถ้าว่าด้วยความโหด ฝั่งเชียงดาวโหดน้อยกว่า ฝั่งฝางความชันระดับ 5 ดาว รถไม่แรงพอไม่แนะนำให้ขึ้นทางนี้ มีโอกาสรถจะหงายหลังตกลงมาได้ ทางกรมทางแนะนำให้ขึ้นทางเชียงดาว และผมก็เลือกเส้นทางนี้ ความชันระดับกลางน่าจะพอๆกับเส้นทางไปอำเภอปาย โค้งเยอะหน่อย แต่ขับสบายและวิวสวย เจ้าตาลตาลของผมเครื่องพันห้า แต่ตัวหนาและน้ำหนักมากทางชันนิดๆหน่อยๆ ก็เริ่มออกอาการเร่งไม่ขึ้น ต้องอาศัยเกียร์ s ใช้แบบเกียร์ธรรมดาวิ่งเกียร์ต่ำขึ้นไปได้สบายๆ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงอ่างขาง แดดร้อนหน่อย แต่อากาศเย็นดี ตกกลางคืนก็น่าจะหนาวพอสมควร คืนนี้นอนเต๊นท์แน่นอน เต๊นท์มีแล้วถอยมาใหม่ หาแต่ที่กางเต๊นท์ บนดอยอ่างขางมีจุดให้กางเต๊นท์ 2 จุด จุดแรกห่างจากสถานีเกษตร์ 1 กิโลเมตร จุดที่สองห่างจากสถานีเกษตร์ 5 กิโลเมตร ถ้าพูดถึงความสวยงามวิวดี จุดที่ห่าง 5 กิโลเมตรสวยกว่า แต่พูดถึงความสะดวกสบาย พื้นที่กว้างขวางกว่า ต้องมาอีกที่หนึ่งที่ห่าง 1 กิโลเมตร ผมเลือกจุดที่ใกล้สถานีเกษตรอ่างขางมากที่สุด เพื่อตอนเช้าจะได้แวะไปที่สถานีเกษตรได้ สถานีเกษตรอ่างข่างถือว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่ มีความสวยงามด้วยพรรณไม้นานาชนิดของโครงการหลวง มีอัตราค่าเข้าบริการคนละ 50 บาท ผมแวะมาที่นี่ทั้งช่วงบ่ายและช่วงเช้า ไหนๆก็มาแล้วต้องจัดให้สาสม ตอนบ่ายคนเยอะหน่อย ถ้าเป็นไปได้ควรไปแต่เช้าตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า จะเจอหมอก และอากาศที่เย็นสบายมาก วันนี้นอนดูดาวที่ดอยอ่างขาง..วันต่อไปมุ่งหน้า ดอยแม่สลอง

สถานีเกษตรดอยอ่างข่าง อ่างขาง
อ่านต่อ

น้องพฤกษ์

say, สุขกะภาพ 31 May 201523 September 2021

น้องพฤกษ์เป็นลูกชายขององอาจ เพื่อนข้างๆบ้านนี่เอง ถ้าผมมีลูก ก็จะไล่เลี่ยกันกับน้องพฤกษ์นี่แหละครับ กำลังน่ารักน่าชังน่าตี และซุกซนตามประสาเด็ก เรื่องที่เคยกังวลว่า จิ๊กกี๋จะเป็นปัญหาหรือจะรังแกน้องหรือไม่นั้น ดูจากภาพนี้คงหายกังวลครับ ปกติกี๋จะหวงบ้านมาก แต่วันนี้น้องพฤกษ์เดินต๊อกแต๊กๆ เข้าบ้าน นอกจากกี๋จะไม่เห่าแล้ว ยังเดินตามมาส่งกระดิกหางดุกดิกหมามันฉลาดครับ, มันรู้ใครมาดี ใครมาร้าย “จิตใจแม้จะซ่อนไว้ข้างใน แต่หมามันรู้ครับ“

สุขสันต์วันเด็ก

ไดอารี่ 9 January 2010

เราซ้อมกันแล้วซ่อมกันเล่า เพื่อโชว์ในวันสำคัญของพวกเรา “วันเด็ก” เนื่องจากเป็นเด็กผู้ชาย ดังนั้น การโชว์ของพวกเราจึงไม่อยู่ในการควบคุมของครู ให้โจกทย์มาว่า ต้องไปหาการแสดงมาแสดงสักอย่างหนึ่ง พวกผู้หญิงเขามีการเต้นประกอบเพลงไปแล้ว พวกผู้ชายจะโชว์อะไร?? เราคุยกันอย่างเครียดร่วม 10 นาที ได้ข้อสรุปว่า เราจะเล่นละคร!! ผู้กำกับการแสดงคือ “ไอ้แก้ว” ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยเผด็จการ ไม่ได้รับการโหวต หรือการมอบหมายจากอาจารย์คนไหน ถืออำนาจอัตตาธิปไตย คือสามารถต่อยคนโน้นคนนี้ชนะ ผมเป็นสมุนคนสนิท กว่าจะได้รับการยอมรับได้ก็ต้องผ่านด่านต่อยตี และมีเกรดค่อนข้างดีด้วย (เพื่อให้มันลอกการบ้านได้) ละครที่เราจะเล่นกันในวันเด็ก มีชื่อเรื่องว่า “ศึกชิงนาง” ชื่อเรื่องก็บอกแล้วว่า บทเด่นก็คือนางเอก ต้องสวย เริ่ด ถึงกับต้องชิงกันจากสองเมือง แต่เราจะหานางเอกจากที่ไหนได้ละ พวกเรามีแต่ผู้ชาย..ทุกคนต่างเกี่ยงกัน ไม่ยอมรับ และรับไม่ได้ที่จะต้องแต่งหญิงผู้เลอโฉม สุดท้ายบทเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจนเจ้าสองเมืองต้องยกทัพมาแย่งชิงก็ตกมาถึงมือผม ผมเป็นเจ้าหญิงที่เลอโฉมแบบประหลาดมาก มีบทที่ท้องเสีย ต้องวิ่งไปอึหน้าเวทีอีกต่างหาก ~ แน่ใจเหรอนั่นว่าเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ผมไม่รู้ว่าตอนนั้น คนดูชื่นชอบมากน้อยแค่ไหน เพราะผมไม่ได้มองคนดูเลย เล่นมองแต่หน้ากันเองจนจบเืรื่อง ก็มันอายนี่หว่า.. จากบทนางเอกของเรื่อง “ศึกชิงนาง” เมื่อตอนประถมสี่นี่เอง ทำให้ในชั้นประถมห้า คุณครูได้ลงมากำกับการแสดงเอง โดยให้ผมและเพื่อนผู้ชายอีก 4-5 คนร่วมแต่งเป็นหญิงด้วย ครั้งนี้ไม่มีชื่อเรื่อง แต่จำลองเหตุการณ์การประกวดนางสาวไทย !!! ผมเป็นหนึ่งในผุ้เข้าประกวดด้วย .. เฮ้อ กูสวยตรงไหนว่ะ นั่นคือช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในวันเด็กที่แสนมีความสุข รางวัลของการแสดงทั้งสองครั้งนั้น คือขนมพวงโตที่พวกเราภาคภูมิใจมาก ความรู้สึกในวันนั้นมากกว่าขนม คือ คนดูหัวเราะ ผมมาทราบภายหลังจากวันนั้น เมื่อเดินไปทางไหนแล้วมีคนทักว่าเป็นหญิง (อุอุ) เด็กเขาไม่ต้องการอะไรมากกว่า การได้ร่วมสนุก และรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ ทั้งนี้ ต้องให้ความสำคัญในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเราทำดี เราก็ต้องกระโจนไปแสดงความชื่นชน เล่นสนุก และคลุกคลีกับเขา ขณะเดียวกันถ้าเขาทำไม่ถูก เราก็ต้องให้ความสำัคัญ แต่ต้องให้ความสำคัญในทางให้ความรู้ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ดีนะ .. อย่าปล่อยผ่านเลยไป ผมยังจำได้ ช่วงที่ผมมีความสุขที่สุดในวัยเด็ก มันเกิดขึ้นในบ้านเล็กๆของเรานั่นเอง ผมเด็กมาก พี่สาวพึ่งเข้าประถม เรามานั่งวาดรูปกัน พี่สาวเริ่มวาดรูปเป็น ขณะที่ผมได้แต่ขีดๆเขียนๆ แม่จึงมาวาดรูปให้เรา แม่นอนวาดรูปกับพื้นกับพวกเรา รูปที่แม่วาดน่ารักมาก…

ระลึกถึงเพื่อน..ณ ดินแดนแสนไกล

ไดอารี่ 24 June 200820 March 2020

ไปงานศพเพื่อน ณ เมรุ(อ่านว่า เมน)วัดสระเกศ นั่งดูหนังสือที่ระลึกที่เขาแจกในงาน ยิ่งดู ก็ยิ่งคิดถึงเพื่อน ร่างกายที่กำยำสง่า พูดจาไพเราะ เป็นมิตรกับทุกคน มาพร้อมกับเสียงหัวเราะอารมณ์ดีตลอดเวลา คนที่เพียบพร้อมด้วยลักษณะเช่นนี้เหรอ คือ คนที่นอนอยู่ในโลงศพนั่น ผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆ แค่หลับตา ภาพเพื่อนก็โผล่ขึ้นมาในหัว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังก้องอยู่ไม่หาย บรรยากาศในงานศพวันนี้ ถึงแม้จะเป็นงานศพ แต่ก็พบรอยยิ้มจากพวกเรา พวกเราเหล่าเพื่อนๆที่มีโอกาสได้พบปะ พูดคุยกัน ถึงแม้ไม่พร้อมหน้ากันทุกคน แต่ก็ได้พบหลายคน ไม่อยากให้งานศพของเพื่อนคนหนึ่ง เป็นงานนัดเจอของเหล่าเพื่อนๆเลย แต่ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  ด้วยหน้าที่การงาน พวกเราได้ห่างๆกันไป ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอ หรือไม่ได้เที่ยวกันเหมือนแต่ก่อน การเจอเพื่อนๆอีกครั้ง ทำให้เรามีเสียงหัวเราะในที่ๆไม่ควรมี เพราะเรากำลังอยู่ในงานศพของเพื่อน พอถึงเวลาจะนำศพเข้าเมรุ ผมมองไปที่ศพและภาพเพื่อนที่ตั้งอยู่ข้างๆศพนั้น ให้ความรู้สึกหดหู่ เงียบเหงา คิดถึงเพื่อน อย่างบอกไม่ถูก.. ขอทิ้งท้ายด้วยกลอนในหนังสือที่ระลึก                     มีเกิดก็บ่พ้น          ความตาย หนุ่มแก่ก็มิวาย                มอดม้วย ให้ตายแต่เพียงกาย          ดีอยู่ ฝากนา ดั่งท่านอาจารย์โก้ด้วย       ร่างม้วยชื่อยัง ฯ 

ยุทธะ-หัด-หมี

เรื่องทั่วไป 16 June 2009

พลายช้างทรงองค์กษัตริย์ หาได้มีความหวาดหวั่นไม่ แม้ตัวเป็นต่อข้าศึก ด้วยพลัดหลงเหล่าเสนาทหารเข้ามาอยู่ท่ามกลางทัพอริศัตรู  สถานการณ์ขณะนั้น แม้หากข้าศึกจู่โจมจู่ลู่ด้วยกำลังกลยุทธ ก็หามีใครสามารถกล่าวอ้างภายหลังได้ว่า รบกันด้วยความอยุติธรรม ก่อนเหตุการณ์จะเอนเอียงไปในทิศทางดังกล่าว องค์จอมกษัตริย์ผู้ทรงช้างท่ามกลางอริข้าศึกที่ยกพลมาประชิดเมือง กล่าวอย่างองอาจไร้ความหวาดหวั่นในพระทัยว่า “เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในที่ร่มไม้ทำไม  เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด  กษัตริย์ภายหน้า ที่จะทำยุทธหัตถีได้อย่างเรา จะไม่มีแล้ว” เมื่อฟังดังนั้น พระมหาอุปราชาก็เกิดทิฏฐิในสงคราม ใคร่จะแสดงความยิ่งใหญ่ให้ปรากฏในหมู่ทหารของตนและฝ่ายตรงข้าม จึงให้เหล่าทหารม้าและกองทหารเดินทุกหมู่นาย จงหยุดการเข้ารุมล้อม เพียงพระองค์จอมทัพกับกษัตริย์จอมศึก จะทรงช้างทำยุทธหัตถี พระมหาอุปราชาทรงช้างชื่อพัทธกอ เป็นช้างที่มีรูปร่างใหญเป็นพญาคชสาร ฝั่งองค์กษัตริย์ทรงช้างชื่อภูเขาทอง ซึ่งภายหลังได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า พระยาไชยานุภาพ เมื่อเข้ารุมตะลุมบอน ช้างพัทธกอที่มีขนาดใหญ่และมีความฮึกเฮิมในศึกสงครามกว่า ก็ปรี่เข้าหาช้างไชยานุภาพเอางางัดขึ้นจนเสียหลัก พระมหาอุปราชาเห็นทีได้เปรียบ จึงใช้พระแสงของ้าว ฟันอย่างรวดเร็ว องค์กษัตริย์เบี่ยงหลบทัน แต่ถูกพระมาลาหนังขาดไปอย่างน่าหวาดเสียว  พอช้างไชยานุภาพสะบัดหลุด แล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัดรุนพลายพัทธกอหัวเบนไป  องค์กษัตริย์ได้โอกาสบ้าง ก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด  สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง  องค์จอมกษัตริย์ได้รับชัยชนะ อริศัตรูก็ล่าถอย ..แผ่นดินได้รับเอกราช องค์กษัตริย์ที่ทรงช้างอย่างองอาจกำชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ปรากฏนามว่า “พระนเรศวรมหาราช” ส่วนช้างทรงที่แต่เดิมชื่อว่า พลายภูเขาทอง จากนั้นได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า พระยาไชยานุภาพ และหลังจากศึกที่มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาครั้งนั้น ก็ได้รับชื่อใหม่อีกครั้งว่า “เจ้าพระยาปราบหงสา” ช้างเป็นสัตว์คู่บุญคู่บารมีองค์มหากษัตริย์มาแต่ครั้งโบราณ ครั้นเวลาผ่านไป.. ช้างถูกย้าย ถูกถอดยศ โดยไม่มีความผิด จากนายทหารผู้ยิ่งใหญ่ กลายเป็นคนงานแบกลากซุง ต้องทำงานแข่งกับเวลา ครั้นงานเสร็จไม่ทัน ช้างต้องเสพยาบ้า เปล่า..ช้างไม่หายามากินเอง หากแต่ควาญชั่วเป็นผู้ป้อนยา  หลังจากได้ยาบ้า ช้างก็ทำงานหนักจนผอมโซตัวซีด บางเชือกกลายเป็นช้างติดยาจนยากแก้ไข  ที่น่าเจ็บปวดใจที่สุด ช้างถูกลดสถานะลงต่ำกว่าเดิมอีก นั่นคือ ช้างขอทาน เดินเตร็ดเตร่ตามเมือง ย่านชุมชน เพียงเพื่อขอเงินจากการขายถุงอาหารให้ถุงละ 20 บาท !!! เมื่อช้างเข้ามาใช้ชีวิตในเมือง ความวุ่นวายประสาคนเมืองก็เกิดขึ้น ช้างถูกรถชน, ช้างตกท่อ, ช้างตกงาน ฯลฯ ขณะที่ช้างนอนเจ็บป่วด ช้างสัตว์ร่างใหญ่ แต่นัยน์ตาเล็ก นัยน์ตาเล็กๆคู่นั้นของช้าง เป็นนัยน์ตาซื่อๆ ใสๆ ของทาสผู้ซื่อสัตย์ แต่เมื่อประสบกับความเจ็บปวดสุดทรมาน จึงเอ่อล้นด้วยน้ำตา และหากช้างได้ดูทีวี ได้ดูข่าวบ้าง น้ำตาที่เอ่อล้นนั้นคงมิใช่เพราะความเจ็บปวดกายอย่างเดียว หากแต่เจ็บไปถึงข้างในใจ ระทมด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ บัดนี้ช้างไม่ได้กู้แผ่นดินอีกแล้ว…

ช้าง

เพลงสั้น

ไดอารี่ 3 March 2011

พึ่งเปิดหมวดหมู่ใหม่ ให้ชื่อว่า “เพลงสั้น” คอนเซ็ปต์คือเอาชื่อเพลงที่ดังๆ หรือที่ตัวเองชอบมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง เขียนเรื่องสั้นให้สอดคล้องกับชื่อเรื่องในมุมมองของเรา ซึ่งไม่เหมือนเนื้อเพลงต้นฉบับ เช่น เพลงอกหัก ของบอดสี้สแลม ถ้าเขียนเป็นเรื่องสั้นในมุมของ “เพลงสั้น” อาจไม่ใช่เรื่องราวของการอกหักรักคุด แต่อาจเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ตกจากต้นไม้เมื่อสมัยเด็ก ทำให้อกหัก เดินตัวงอๆตลอดเวลา แต่ชีวิตของผู้ชายอกหักคนนี้ไม่ได้หักไปเสียทุกเรื่อง เขาหักแต่อก แต่รักเขาไม่เคยหัก เป็นต้น ปัจจุบันมีเรื่องสั้นที่อยู่ภายใต้ “เพลงสั้น” แล้ว 2 เรื่อง (คลิกไปอ่าน) การเขียนเรื่องสั้น คือ การผ่อนคลายอย่างหนึ่งจากหน้าที่การงานที่เคร่งเครียด ทุกเรื่องสั้นที่ผ่านหัวข้อเรื่อง “เพลงสั้น” ใช้เวลาเขียนไม่เกิน 1 ชั่วโมง ดังนั้น บางครั้งบางทีบางท่อนบางประโยคบางคำอาจมีตกหล่น ภาษาไม่สวยงามหรือไม่สมจริง ่ส่วนหนึ่งมาจากเวลาที่(ถูก)จำกัดโดยตัวของตัวเอง อีกส่วนหนึ่งคือฝีมือที่ยังไม่เข้าขั้นในการเขียนนั่นเอง แต่อย่างน้อยเพลงสั้นๆเหล่านี้ก็ช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้น ฝาก “เพลงสั้น” ไว้ในอ้อมอกด้วยนะครับ

เพลง เพลงสั้น เรื่องสั้น
อ่านต่อ

บาป-บุญ-คุณ-เธอ

สุขกะภาพ 3 April 2014

เมื่อตอนเด็กๆ พอยังจำความได้นิดๆหน่อยๆ แม่จะกระเตงผมไปวัดด้วย ขณะฟังพระท่านให้ศีลให้พรผมก็ปีนป่ายตามตัวแม่ แม่ก็พยายามจับมือผมพนมพร้อมกับดุว่าต่อหน้าพระอย่าซน ผมหยุดซนได้ไม่เกิน 10 วินาที ก็เริ่มซนใหม่ ตามประสาเด็ก   พอโตขึ้นมาหน่อย แม่ก็เริ่มสอนให้รู้จักใส่บาตรตอนเช้า ส่วนหนึ่งคือช่วยเป็นภาระแทนแม่ แม่มือไม่ว่าง ก็ได้ผมช่วยใส่บาตรแทน แม่ก็ได้บุญในฐานะคนจัดหาอาหารมาใส่บาตร ผมก็ได้บุญในฐานะตัวแทนมาทำบุญตักบาตร ความใกล้ชิดกับวัดวา พระสงฆ์องค์เจ้าตั้งแต่เด็กนี่เอง ทำให้เรากลัวในบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องกรรม ซึ่งอาจจะตรงข้ามกับคนในยุคปัจจุบันที่มองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องขบขัน และมักมีคำถามแปลกๆ ว่า บาปบุญมีจริงเหรอ? นรกสวรรค์อยู่ตรงไหน? ทำดีได้ดีจริงหรือ? ฯลฯ ผมเองก็คงตอบไม่ได้ต่อคำถามเหล่านี้ เพราะตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นคำถาม เหมือนมันมีคำตอบอยู่แล้วในตัวของมัน มันจะค่อยๆชัดเจนเรื่อยๆ ตามวัย เห็นภาพนี้แล้วก็คิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ ผมคงไม่นั่งเปะเหมือนเด็กในภาพ แต่วัย ณ ขณะนั้นคงไล่เลี่ยกัน คำอธิบายภาพ : ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ iphone 4s หน้าร้านข้าวแกง/อาหารตามสั่ง ติดกับโรงพยาบาลเพชรเวช เสื้อสีม่วงนั่นคือพนักงานของโรงพยาบาลเพชรเวช

พระ ใส่บาตร

ชีวิตที่โหยหา..ความสำเร็จ

เรื่องทั่วไป, ไดอารี่ 20 January 2010

ชีวิตมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ สิ่งที่เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่หลักของพุทธศาสนาบอกไว้ว่า เป้าหมายสูงสุด คือ ความหลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร จากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ถ้าจะก้าวข้ามขั้นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชน ก็ต้องตั้งเป้าหมายสู่ ความหลุดพ้น แต่เมื่อยังอยู่ในภาวะปุถุชนเช่นผม เราก็ต้องตั้งเป้าหมายที่ความสำเร็จเป็นหลัก ความสำเร็จ ไม่ว่าจะสำเร็จในการศึกษา ในชีวิต ในหน้าที่การงาน ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการทั้งนั้น การจะดำเนินไปสู่ความสำเร็จนั้น มีข้อธรรมให้ดำเนินตาม เรียกว่า วุฑฒิ วุฑฒิ คือ ธรรมเป็นเครื่องเจริญ ๔ อย่าง ๑.  สัปปุริสสังเสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบด้วยกายวาจาใจ ที่เรียกว่าสัตบุรุษ ๒.  สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสอนของท่านโดยเคารพ ๓.  โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ ๔.  ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ สองอัครสาวกที่ได้รับตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย ช่วงชีวิตครั้งหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตของท่านทั้งสองมาก คือ การต้องเลือกว่าจะอยู่หรือไป ข้างหนึ่ง คือ อาจารย์สญชัย ผู้ที่ตนไปร่ำเรียนจนจบทุกวิชาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบของชีวิต กับอีกทางหนึ่งคือสำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ได้ชื่อว่ารู้ทางแห่งการหลุดพ้น แม้จะยังไม่ได้เข้าเฝ้า แต่การได้พบพระอัสสชิซึ่งเป็นพระสาวกยังได้ความศรัทธาเพียงนี้  ทั้งสองตัดสินใจเลือกเดินทางไปสำนักของพระพุทธเจ้า ท่านเลือกคบหาสัตบุรุษ ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยเคารพ พิจารณาำถึงคำสอนโดยตริตรอง และปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งสุด สุดท้ายทั้งสองจึงถึงความสำเร็จสูงสุดของชีวิต นั่นคือ นิพพาน การจะหาสัตบุรุษเพื่อคบหา ก็ใช่จะเป็นเรื่องง่าย ดังนั้น จึงมีข้อธรรมอีกหมวดหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ดำเนินไปสู่ความเจริญได้ง่ายขึ้น เรียกว่า จักร จักร ๔ ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ ๑.  ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร ๒.  สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ ๓.  อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ๔.  ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน การอยู่ในประเทศ ในจังหวัด ในหมู่บ้านที่ดี ย่อมมีโอกาสให้พบเจอบัณฑิต หรือสัตบุรุษมากขึ้น ในประเทศไทยเราถือว่าโชคดี เราเกิดมาเจอพระพุทธศาสนา เจอคำสอน ที่เหลือก็อยู่ที่เราขวนขวายหา การตั้งตนไว้ชอบ คือการนำตนไปสู่ธรรมและนำธรรมมาสู่ตน…

เป็นเหี้ย

ไดอารี่ 3 May 2011

หยุด 3 วันมีโอกาสอยู่บ้านแบบเต็มๆ จึงจัดชุดใหญ่ ‘บิ๊กคลีนนิ่งเดย์’ เริ่มจากหอมผ้าไปลงถัง, ถูกบ้าน และ.. ใส่ปุ่ยให้ต้นไม้ ตอนนี้ต้นลีลาวดีที่อยู่หลังบ้านกำลังหัดออกดอก หลังจากผลิตแต่ใบมากว่า 3 เดือนแล้ว ผมจึงหมั่นไปดูแลทุกค่ำเช้าราวกับพ่อที่รอลูกคนแรกคลอด ต้นองุ่นที่หน้าบ้านก็เบ่งบานเต็มที่ หลังจากได้น้ำฝนบวกกับปุ่ยชีวภาพตอนนี้กำลังเลื้อยขึ้นระแนง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีกประมาณ 8 เดือนนับจากนี้องุ่นจะมีลูกมาให้เราเชยชม ชวนชมที่ชวนกันมาจากคอนโดหลังถูกทิ้งตากแดดตัวเหี่ยว ตอนนี้มีใบสดชื่น แข่งกันออกดอกอย่างสนุกสนานเช่นเดียวกับอมรเบิกฟ้าที่พามาจากคอนโดตอนนี้ดอกสีขาวเบ่งบานและร่วงหลายครั้งแล้ว ขณะที่่ดอกสีชมพูมีเพียงใบให้ดูต่างหน้า คนขายบอกว่าสีชมพูออกดอกน้อย ต้อนม่วงมณีดอกสีม่วงเต็มต้นกำลังเป็นพุ่มสวย แต่ด้วยใบที่มีรสกรอบอร่อยจึงเชื้อเชิญบุ้งมากัดกินซะแหว่งหวิ่นเช่นเดียวกับส้มจี้ดถูกทั้งบุ้งและหนอนกัดกินกันอร่อย ต้นคล้ากับต้นกกได้น้ำไม่เคยขาด จึงเบ่งบานสวยสด มีอีกหลายต้นที่จำชื่อไม่ได้ เลยมิได้เอ่ยชื่อไว้ในที่นี้ ต้องกราบขออภัย ขณะตัดแต่งใส่ปุ่ยให้ต้นไม้นั่งเชยชมกับธรรมชาติอยู่นั้น แขกผู้มิได้รับเชิญก็แอบคลืบคลานเข้ามาในรั้วบ้าน!! ตัวไม่ใหญ่ขนาดเท่านิ้วโป้งผู้ใหญ่ วิ่งปรูดเข้ามาในซอกต้นไม้ในบ้าน ผมรีบวิ่งไล่เพื่อขับออกจากบ้านทันที พอเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่ามันคือ “เหี้ย” ตัวน้อย น้องเหี้ยมาจากไหนไม่รู้วิ่งลุกลี้ลุกลนเข้ามาในรั้วบ้าน จิ๊กกี๋หมาที่เห่าดุเหลือเกินกับทุกสิ่งที่อาจหาญละเมิดอาณาเขตเข้ามาแม้กระทั่งผีเสื้อที่เผลอบินเข้ามามันยังกระโดดงับจนปีกขาด!! แต่ครั้งนี้มันปล่อยน้องเหี้ยน้อยวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างหน้าตาเฉย ผมพยายามชี้ให้จิ๊กกี๋ดูให้มันไปช่วยจับ นอกจากไม่มาแล้วมันยังมองไปทางอื่นทำท่าไม่สนใจ เป็นหน้าที่เจ้าบ้านอย่างผม ต้องไล่จับอย่างทุลักทุเลได้รับความช่วยเหลือจากป้าข้างบ้านช่วยอีกแรงนึงทำให้จับได้เร็วขึ้น ผมนำมันไปปล่อยข้างนอกกำแพงหมู่บ้าน ..ให้มันไปสู่ที่ชอบๆ ไปในที่ๆมันชอบ อย่าชอบบ้านผมเลย ก็ไม่รู้ว่าเหี้ยมันเลวยังไงนะ ใครทำตัวไม่ดีถึงถูกด่าว่า “เหี้ย” ผมว่าถูกด่าว่า “ไอ้เหี้ย” ยังรู้สึกแย่น้อยกว่าถูกด่าว่า “ไอ้นักการเมือง” ผมจะโกรธมาก โกรธจริงๆ แค่คิดก็ขยะแขยง สะอิดสะเอียนเวียนหัวแล้ว

เหี้ย

เมื่อผมอยากมีสี

ไดอารี่ 12 February 2010

ช่วงนี้เหนื่อยหน่อย ต้องตื่นเช้าหลายวันแหละ..เรื่องของเรื่องคือ ผมไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการทหาร !! หลังจากปีที่แล้วพลาดท่า ปีนี้เลยขอโอกาสอีกครั้ง การสอบมีเรื่องให้ยากลำบากทั้งกายและใจอยู่หลายอย่าง  1. ลำบากใจ เพราะการสอบมีตั้ง 5 วัน โชคดีที่ไม่ติดกันทั้ง 5 วัน การจะลาหลายๆวันในเดือนเดียวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากใจ ผู้จัดการไม่ว่ากระไร แต่เราก็เกรงใจเหลือแสน  2. ลำบากกาย การสอบทหารนอกจากจะต้องทำข้อสอบได้แล้ว ร่างกายต้องแข็งแรง มีการทดสอบดันพื้น ลุกนั่ง และวิ่งรอบสนามฟุตบอล 2 รอบ ประมาณ 800 เมตรในเวลาไม่เกิน 4 นาที !! ด่านอื่นๆไม่ว่าจะดันพื้น หรือลุกนั่ง เราต้องแข่งกับตัวเอง และไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก แต่ตอนวิ่งนี่สิ ต้องวิ่งพร้อมกับคนอื่นและทุกคนก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขคือต้องวิ่งไม่เกิน 4 นาที ดังนั้น สิ้นเสียงนกหวีด ทุกคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุในเวลา 11.00 น. นาทีนั้น ผมคิดถึงครั้งแรกในชีวิตของทุกคนที่ต้องแข่ง คือ การแข่งกันของสเปิร์มที่ว่ายเพื่อไปถึงไข่ในมดลูก สเปิร์มตัวที่แข็งแรงที่สุดจะเป็นผู้กำชัยชนะ ทุกคนเป็นสเปิร์ม ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งโดยไม่หันมอง ทักทาย หรือสนใจคนข้างๆที่วิ่งไม่ไหวแล้ว สนใจแต่เป้าหมายของตน มันต่างจากวิ่งจ๊อกกิ้งในเวลาเช้าที่สวนสาธารณะ ไม่มีการทักทาย ยิ้มแย้ม ทุกคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด มุ่งมั่นเพื่อชัยชนะ ผมวิ่งตามจังหวะและระดับความเร็วของตัวเองที่เคยทำตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เหนื่อยเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าครั้งแรกที่มาซ้อมวิ่งที่สวนสาธารณะ ผมได้ความเร็วที่ 3.39 นาที ถือว่าผ่าน วันพฤหัส ไปสอบข้อเขียน บ่ายวันนั้นฤกษ์ไม่ดีเอาซะเลย ใกล้จะถึงกรมยุทธฯอยู่แล้วแท้ๆ เจอด่านตำรวจ ผมนั่งมอเตอร์ไซต์วินจาก รถไฟใต้ดินบางซื่อ ไม่ใส่หมวกกันน็อค คนขับเป็นผุ้หญิง แกตกใจมาก ตำรวจถามว่า ทำไมไม่หาหมวกกันน็อคให้ผุ้โดยสาร ..แกเงอะงะพูดไม่ออก ตำรวจเลยหันมาทางผม ..”ผมจะรีบไปสอบนายร้อยครับ” พูดพร้อมยื่นบัตรให้ดู ..ตำรวจกล่าวตักเตือนคนขับมอไซต์นิดหน่อย แล้วก็ปล่อยไป  ดวงไม่ดีจริงๆ เพราะผมทำข้อสอบข้อเขียนไม่ได้เลย !!! วันนี้(วันศุกร์) พึ่งไปสอบสัมภาษณ์มา..เฮ้อ ต้องถอนหายใจแรงๆอีกสักที รู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามได้ไม่น่าประทับใจสักเท่าไร .. แต่ช่างเถอะ หมดหน้าที่ของเราแล้ว ..เราทำดีที่สุดที่สามารถทำได้แล้ว…

อ่านต่อ

เที่ยวไร่ไฮเดรนเยียร์ เชียงใหม่

ท่องเที่ยว 24 March 202024 March 2020

ไร่ไฮเดรนเยียร์ที่ผมจะพาไปชมในครั้งนี้อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ครับ จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 (สายเชียงใหม่ – ฮอด) ถึงกม. 82-83 บริเวณสามแยกไปบ้านแปะและวัดตอง ให้เลี้ยวขาวตรงไปผ่านบ้านแปะ บ้านทุ่งพัฒนา บ้านบนนา บ้านขุนแปะ ประมาณ 22 กิโลเมตร ถ้าท่านเคยไปเห็นจากที่อื่นอาจจะมีภาพไร่ดอกไฮเดรนเยียร์ที่สวยและเยอะกว่านี้มาก บังเอิญที่ผมไปเป็นช่วงหมดดอกพอดี (ผมไปช่วงเดือนธันวาคม) ดอกน่าจะสวยเต็มที่ช่วงหน้าฝน ถ้าให้ชัวร์ควรสอบถามก่อนเดินทางไปนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปชมดอกไฮเดรนเยียร์ แค่บังเอิญผ่าน .. เอาล่ะไปชมในแบบของผมกัน อย่างที่บอกครับ ถ้าจะมาชมความสวยงามของดอกไฮเดรนเยียร์ก็ต้องมาให้ถูกฤดูกาลของเขา และขอกระซิบเบาๆนิดนึงครับ ทางมานี่โหดเอาเรื่อง ทริปหน้าค่อยว่ากันใหม่ครับ

ขุนแปะ เชียงใหม่ ไร่ไฮเดรนเยียร์

แบ่งตามหมวด

  • say (8)
  • กลอน (1)
  • คุยกับคอม (9)
  • ช่วยชิม (11)
  • ท่องเที่ยว (61)
  • บ่น (35)
  • บ้านบ้าน (16)
  • พูดจาภาษาฝรั่ง (9)
  • วิ่ง (26)
  • สุขกะภาพ (74)
  • เพลงสั้น (11)
  • เรื่องทั่วไป (88)
  • เรื่องยาว (9)
  • เรื่องสั้นสั้น (52)
  • แมคบุค (4)
  • ไดอารี่ (63)

Copyright © 2020. All rights reserved.

Contact me : nevikup@gmail.com
Facebook.com/aroundmeTH