ลมหายใจสุดท้าย

ชายชราเดินหลังโค้งงอ หน้าแลต่ำไปตามทางที่ความเจริญยังมาไม่ถึงดี กล่าวคือ มันมาครึ่งๆกลางๆ มาบ้างไม่มาบ้าง มากระปริดกระปรอย มาๆ หายๆ ถ้าเดินไปให้ถึงต้นทางจะเห็นร่องรอยการลาดยางมะตอย นั่นคือ เหตุการณ์เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วหลังการเลือกตั้ง

ถ้าถนนแห่งความเจริญเข้ามาถึง มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านนี้ไปในรูปแบบไหน ยังไง ก็ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่ชอบความเป็นธรรมชาติแบบเดิมมากกว่า เสียงผู้เฒ่าที่เหลือไม่ถึง ๑ ใน ๓ ของประชากรในหมู่บ้าน หรือจะสู้เสียงของคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น เด็กวัยใหม่ได้

เพียงแค่เริ่มโครงการจะทำถนน ความเจริญก็ทะลักล้นเข้ามาในหมู่บ้าน!
เด็กหญิงทิ้งผ้าถุง หันไปนุ่งกระโปรงสั้น

แต่งหน้าทาปากแดง เหน็บกระเป๋าราคาที่แพงกว่าค่ากับข้าวของคนในบ้านทั้งเดือน หรือสองเดือน หรืออาจจะ ๓ เดือน!

โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งกว่าค่ากับข้าว เมื่ออุตส่าห์ยอมเสียที่นาบางแห่งเพื่อแลกกับมันมาแล้ว ต้องคอยหาเงินซื้อบัตรเติมเงินให้มันอีก ยิ่งเครื่องใหม่ อารมณ์เห่อของใหม่ยังไม่หาย ยิ่งกินเงินมากเป็นพิเศษ

ผู้เฒ่าผู้แก่นั่งบนแคร่ตะบั้นหมากมองลูกสาวลูกชายที่แม้ตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่มันแท้ๆ ยังลังเลว่า ใช่ลูกกูหรือเปล่า ..การแต่งตัว เสื้อผ้าอาภรณ์ช่างขัดแย้งกับสภาพบ้านโทรมๆนี้ยิ่งนัก

“นั่นมึงจะไปไหน แต่เช้า วันนี้ข้าว่าจะชวนไปไร่ซะหน่อย” เฒ่าสนถามลูกชาย
“ไว้วันหลังละกันพ่อ วันนี้น้องเชอรี่ให้พาไปดูหนัง” พูดพลางนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่ผู้พ่ออุตส่าถ่อสังขารไปผ่อนมาให้ คิดว่าไอ้เครื่องนี้จะช่วยให้งานในไร่ดีขึ้น
“บักหำ..” เฒ่าสนต้องหยุดคำพูด เมื่อลูกชายหันมาตะวาด
“พ่อ ผมบอกพ่อกี่ครั้งแล้ว ผมเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว เตอร์ ผมชื่อเตอร์ หำห่าอะไรนั่นนะ ไว้เรียกควายของพ่อเถอะ” พูดพลางบิดมอเตอร์ไซค์เสียงแหลมปี๊ดไปถึงลำไส้ใหญ่ บึ่งรถออกไป ทำราวกับหลิวเต๋อหัว ในผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ เท่จังนะเมิง (อันหลังนี่ ผมพูดเอง เขียนไปเห็นภาพมันไป ชักอิน รู้สึกมันไส้)

เฒ่าสนเดินหลังโก่งมานั่งบนแคร่ มองไปบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย แกบ่นพึมพำในลำคอ
“ยายปลิวเอ้ย แกเห็นลูกชายของเรารึยัง ยิ่งโตมันยิ่งเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ถ้าแกอยู่ด้วย แกคงดุ คงตีมันสินะ ตอนเด็กๆ ข้าไม่น่าเอาใจมันมากเลย พอแกตี ข้าก็จะคอยห้าม นี่ ถ้าข้าปล่อยให้แกตี คงไม่เป็นแบบนี้ โบราณว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี..”

เฒ่าสนแบกจอบกับห่อข้าวเล็กๆ เดินดุ่มไปไร่เพียงลำพัง
แกถากๆไถ่ๆ จนตะวันบ่ายคล้อย..ไอ้มาเอะ (ดูี ดูชื่อเด็กสมัยนี้ .. ไม่ฝรั่งจ๋า ก็ญี่ปุ่นจี๊ด) ลูกเฒ่ากล่ำมาเรียก
“ลุงสนๆ ..ลุงสน”
“เออมีอะไร ไอ้แกละ”
“ไม่เอา ไม่บอกดีกว่า งอน มาเรียกชื่อเก่าเขาทำไม”
“เออๆๆๆ มาโอ่ะ มาเอะ อะไรของมึงนั่นก็ได้ มึงมีอะไร?”
“เห็นชาวบ้านบอกมีคนขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งไปชนเสาไฟฟ้าตรงสี่แยกนะลุง อาการสาหัส”
“ไอ้หำ..”

จอบในมือร่วงลงพื้น..

ตัดฉับไปที่ฉากแรกที่เอ่ยในตอนต้น ก็คือบรรทัดแรกของเรื่องนี้

ชายชราเดินหลังโค้งงอ หน้าแลต่ำไปตามทางที่ความเจริญยังมาไม่ถึงดี…
“บักหำลูกพ่อ บักหำ ๆ ” แกบ่นเพ้อไป เดินจ้ำไป จนถึงทางสี่แยกที่เกิดเหตุ

อีกฟากหนึ่งของถนน คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงกันอย่างวุ่นวาย เฒ่าสนรีบรุดเพื่อไปดูอาการของลูกชายที่คาดว่าน่าจะนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น

ด้วยความเร่งรีบ จึงไม่ได้สนใจ ถนน รถรา หรือไฟ้จราจร

พอก้าวที่สามที่ย่างบนถนนหลวง รอมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งแซงรถใหญ่มาด้วยความเร็ว พุ่งเข้าชนเฒ่าสนเต็มแรง ร่างแกกระเด็นไปข้างทาง ผู้ที่ขับขี่มอเตอรไซค์มีกัน ๒ คน คนที่ซ้อนกระดอนออกจากตัวรถ แต่ไม่แรงเท่าไร ผู้ขับขี่เป็นชายหนุ่ม ตัวพุ่งไปข้างหน้าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เมื่อได้สติจึงรีบลุกขึ้น สบถเสียงดังลั่น
“เดินห่าอะไรว่ะ ไม่ดูตาม้าตาเรือ”
เขายืนตรงกลางระหว่าง ผู้ที่เขาชน และคนที่ตนพาซ้อนมาด้วย
“เชอรี่ เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ แล้วคนที่ถูกชนเป้นยังไงบ้าง?”
“ช่างหัวมัน เสือกเดินไม่ดูเอง”
ขณะประคองคนรักเพื่อขึ้นรถ เหลือบไปมองผู้ที่ตนชนเมื่อสักครู่

“พ่อ…”

เฒ่าสนเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ
หมอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แกไม่ได้เสียชีวิตทันทีหลังจากถูกชน แต่เสียชีวิตหลังจากนั้นประมาณ ๑๐ นาที

ทันทีที่ร่างกระเด็นไปข้างทาง ความรักเป็นห่วงลูกทำให้แกยังมีสติอยู่ เพื่อพยายามไปดูอาการของลูก แต่เมื่อเห็นลูกชายคือผู้ที่ขับรถชนตน ก็สบายใจว่าลูกชายไม่เป็นอะไร แต่เสียใจที่ลูกชายเลือกที่จะช่วยคนรัก ไม่ใยดีพ่อแท้ๆของตน..

เป็นไปได้ว่าเฒ่าสน ไม่ได้ถูกรถชนตาย แต่แกเสียใจตาย