ในค่ำคืนแห่งวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทิวเขายามสัมผัสกับแสงแห่งพระจันทร์ดูราวกับเงาปีศาจยืนเรียงราย
หญิงสาวนั่งทอดขาเหยียดยาวให้ชายหนุ่มได้หนุนนอน ด้านหน้าเป็นแม่น้ำในยามค่ำคืนแสงระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแห่งพระจันทร์ ความเงียบในป่าใหญ่ทำให้ทั้งสองได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจของอีกฝ่าย ทั้งคู่พูดคุยกันราวกระซิบ แต่ถ้่าจะพูดให้ถูกทั้งคู่ใช้ความเงียบคุยกันมากกว่า เมื่อมือสัมผัสกัน ตามองตาก็สื่อถึงหัวใจ ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าทั้งคู่ใช้หัวใจคุยกันด้วยภาษาแห่งรัก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองแอบออกมาพลอดรักกันสองต่อสองเช่นนี้ แม้จะดูเป็นเรื่องไม่งามนัก แต่ตลอดเวลาที่รักกันมา ทั้งสองกลับไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียอันเป็นการไม่ให้เกียรติกันและยังเป็นการทำผิดกฏและประเพณีเลย
ความรัก หากเป็นความรักที่บริสุทธิ์และเป็นรักจริงแท้แน่แล้ว ย่อมให้เกียรติกันและรอคอยบ่มเพาะให้ความรักสุกงอมตามเวลามากกว่าจะใจร้อนบุ่มบ่ามจนเสียการ
ค่ำคืนนี้เหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา ทั้งสองยังคงพลอดรักกันและคุยกันด้วยภาษาแห่งรัก
“พี่โชคดีเหลือเกิน สา” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ
“เรื่องอะไรคะ?”
“ที่วันนี้พี่มีสา”
“พี่ปากหวานอีกแล้ว แต่สา..ชอบ”
“พี่พูดจริงๆ พี่รักสา..”
ชายหนุ่มพูดพลางดึงมือหญิงสาวเข้ามาแนบอก และประทับจูบลงอย่างแผ่วเบา หญิงสาวสะท้านอาย แต่ยังมิได้ขัดขืน ด้วยเธอก็มีใจให้เขาเช่นกัน
หากตอนนี้มิใช่กลางคืนชายหนุ่มคงเห็นหน้าหญิงสาวเป็นสีแดงระเรื่อ หน้าเธอร้อนผ่าวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
พระจันทร์บนฟ้าถูกฝูงเมฆกลุ้มรุมจนสนิท แสงสว่างจากพระจันทร์ลับหายราวกับจะเป็นใจให้ชายหนุ่ม โดยปกติเขาจะเป็นคนที่ให้เกียรติคนรักเสมอ แต่ค่ำคืนนี้เหมือนว่าความรักที่บ่มเพาะสุกงอม อารมณ์ของหนิ่งหญิงกับหนึ่งชายที่ได้อยู่ใกล้กัน กลิ่นของหนุ่่มสาวรัญจวนใจจนยากจะหักห้าม ทั้งคู่ได้หลงเข้าสู่บ่วงแห่งเสน่หาท่ามกลางค่ำคืนแห่งพระจันทร์เต็มดวงที่มืดมิด ..
ทั้งคู่รู้แก่ใจว่าได้ทำผิดกฏอันใหญ่หลวงของหมู่บ้านลี้ลับแห่งนี้เข้าแล้ว แต่รสไหนเลยจะหอมหวานติดอกติดใจน่าหลงใหลหลับตาเท่าไรก็มิมีวันลืมเท่ากับรสสวาท ทั้งคู่ได้ลักลอบทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนที่สุดวลีที่ว่า “ความลับไม่มีในโลก” หรือ “ไม่มีที่ลับสำหรับคนชั่ว” ก็เป็นจริง
ค่ำคืนวันหนึ่ง ขณะทั้งสองนัดพบและพลอดรักกันอยู่นั้น ชาวบ้านคนหนึ่งหลังจากออกล่าสัตว์ทั้งวัน เกิดหลงป่ากว่าจะหาทางกลับเข้าหมู่บ้านได้ก็ค่ำมืดและบังเอิญเจอทั้งสองเข้า เรื่องลับจึงกลายเป็นเรื่องเปิดเผยและกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น
การกระทำของทั้งสองถือว่าเป็นความผิดยิ่งใหญ่ร้ายแรงยากจะให้อภัย ฝ่ายหญิงต้องถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ส่วนฝ่ายชายต้องถูกจับโยนลงหน้าผา
ฝ่ายหญิงถูกกักตัวไว้ การลงโทษจะเริ่มที่ฝ่ายชายก่อน แต่ชายหนุ่มด้วยความรักตัวกลัวตายเยี่ยงปุถุชนจึงวิ่งหนีจากการไล่จับของชาวบ้าน
คนทั้งหมู่บ้านได้ไล่จับชายหนุ่มอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อมาลงโทษ.. ชายหนุ่มวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งเข้าไปในป่าใหญ่ วิ่ง วิ่ง และวิ่ง …
…….
“แล้วยังไงต่อละลุง” ทิดลั่นร้องทัก เมื่อเห็นลุงมาเล่าขาดช่วง
“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งนานแค่ไหน แต่กำลังทั้ง้หมดที่มีข้าทุ่มสุดชีวิต วิ่งจนไม่มีสติสตังค์ล้มฟุบไป”
“โห..”
“แต่พอได้สติอีกครั้ง ข้าก็อดประหลาดใจไม่ได้”
“อะไรเหรอลุง” ทิดอ่ำกระเถิบมาใกล้ด้วยความตื่นเต้น
“ข้าพบว่าข้ากลับมาแล้ว ตอนนั้นอดร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงสาไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเธอจะถูกขับจากหมู่บ้าน หรือถูกลงโทษหนักหนาปานใด”
“ลุงไม่พาเธอหนีกลับมาด้วยละ”
“ตอนนั้นข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ชาวบ้านได้จับเธอไปขังอย่างแน่นหนา ข้าไม่ได้แม้เอ่ยคำลา..” พูดพลางปาดน้ำตาจากหนังหน้าอันเหี่ยวย่น
ทิดอ่ำพลอยเศร้าไปกับลุงมาไปด้วย
“หากตอนนั้นข้าไม่ใจร้อนทำผิดกฏซะก่อน ป่านนี้ข้าคงได้ใช้ชีวิตที่นั่นอยู่กับคนรักจนแก่ตาย”
“ลุงไม่คิดจะกลับไปที่นั่นอีกเหรอ” ทิดอ่ำถามด้วยความสงสัย
“ปีแรกที่ข้ากลับจากที่นั่น ทุกๆวันข้าพยายามหาทางไป แต่จนแล้วจนรอดข้าก็ไม่สามารถไปได้ และก็ไม่รู้ว่าจะไปได้อย่างไร”
“ลุงไม่น่าท้อนะ มันน่าจะมีทางไปได้น่า”
“ข้าไม่ได้ท้อ แต่ยิ่งพยายามคนรอบข้างก็หาว่าข้าบ้า แต่นั่นไม่ได้ทำให้ข้าหยุด สิ่งที่ทำให้ข้าหยุด คือ เธอคนนั้น”
ลุงมาพูดพลางพยักหน้าไปยิ่งหญิงชราที่กำลังเดินมาทางนี้
“ยายเนียม?”
“ใช่ ยายเนียมเป็นคนสอนให้ข้ารู้ว่า คนเราไม่ควรสนใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ควรสนใจในสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า”
ลุงมากับยายเนียมจูงมือกันเดินไปจนลับตา
ทิ้งเรื่องราวในอดีตให้กับทิดอ่ำไว้เล่าให้คนรุ่นหลังฟังสืบไป