ทริปม่วนใจ ม่อนจอง 2 วัน 1 คืน
แบกเป้เที่ยวม่อนจอง ยอดเขาสวยในจังหวัดเชียงใหม่
Find your Heart, Find the Happiness.
แบกเป้เที่ยวม่อนจอง ยอดเขาสวยในจังหวัดเชียงใหม่
เคยคิดไหมว่าชีวิตเราที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้ เพราะมีพระเจ้าคอยกำหนดไว้ หรือมันแค่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น?
กลับไปสู่ป่าเขาอีกครั้งตามคำเรียกร้องของจิตวิญญาณ เสียงลมและแสงแดดกำลังต้องการตัว ทริปนี้ผมไป “สันหนอกหวัว”
นอนเต๊นท์เล่นน้ำตก
เพลงที่ดังจากเครื่องเล่นในป้อมยาม ยังคงขับกล่อมด้วยเครื่องเล่นเครื่องเก่าและเพลงที่เปิดยังเป็นเพลงเก่าๆ ที่ฟังกี่ครั้งก็ยังไพเราะ เป็นเพลงที่ข้ามเวลามาจากอดีต
นานเท่าไรแล้วที่เราไม่ได้นั่งรถไฟ..ทริปนี้เลยออกเที่ยวด้วยการนั่งรถไฟไปขุนตาล
ค่ำคืนเดือนมืดที่ท้องฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดาว สัตว์บางชนิดออกหาเหยื่อ ในขณะที่สัตว์บางชนิดใช้เวลานี้ในการพักผ่อน เช่นเดียวกับคน
ผมลืมตาอีกครั้ง..กลับพบตัวเองในความมืด เงียบ ไม่มีแสงสว่างหรือเสียงจากที่ใด ขาที่ค่อย ๆ ย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผมไม่หยุดอยู่กับที่อีกแล้ว อดีตที่ผ่านมามันเป็นอุทาหรณ์ให้ผมต้องไม่หยุดอยู่กับที่ แม้มีเพียงความมืดอยู่เบื้องหน้า แต่ขาไม่ควรหยุดเดิน เมื่อเราหยุดแม้เพียงนาทีเดียว โอกาสของเราก็ยิ่งจะเลือนรางจางหายไปในทุกที ความปราณีมันไม่มีอีกแล้วในยุคที่ทุกคนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ภาพรอยยิ้มของเพื่อนผู้ที่ผมไว้ใจที่สุดปรากฏในห้วงแห่งอดีต เพื่อนที่แย่งทุกอย่างไปจากผม ตำแหน่งหน้าที่ และฤดีแฟนสาวของผม ไอ้เพื่อนระยำ..! สายลมเบา ๆ พัดมากับความมืดแล้วผ่านหน้าผมไปอย่างวังเวง ผมเริ่มขยับก้าวที่สอง และก้าวที่สามไปตามลำดับเรื่อย ๆ ช้า ๆ เท้าที่ไร้รองเท้ารองรับได้สัมผัสกับพื้นที่ไม่คุ้นตีน เกิดความรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่มันที่ไหน พื้นไม่ใช่พื้นทราย และไม่ใช่พื้นปูน สัมผัสจากฝ่าเท้าบอกแค่ว่ามันเป็นพื้นที่ขรุขระ บางครั้งเป็นพื้นชื้น ๆ ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเดินไปไหน และไปเพื่ออะไร ในหัวสมองผมปวดขึ้นมาทันทีเมื่อพยายามคิดถึงเรื่องนี ้ ถ้าผมจำไม่ ผิด เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ ผมยังนอนบนเตียงที่รายล้อมด้วยแพทย์และพยาบาลในชุดสี เขียว ตรงกลางมีไฟขนาดให*่ส่องลงมาทำให้ต้องปิดตาอยู่ตลอด ทุกคนต่างสนใจอยู่ที่กลางท้องของผม นางพยาบาลส่งอุปกรณ์ให้หมอเป็นระยะ ๆ แม้ที่หน้าของหมอจะมีผ้าคาดไว้ แต่ก็ปรากฏแววตาเครียดอย่างเห็นได้ขัด พยาบาลคอยซับเหงื่อให้หมออยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้อง และสุดท้ายก็ไร้สติหลับใหลไปในที่สุด ผมพยายามคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่ผมจะต้องมานอนรายล้อมด้วยหมอและพยาบาล ภาพฤดีเดินไปช้า ๆ กับเพื่อนอัปรีย์ค่อย ๆปรากฏขึ้น เธอและเขาขึ้นรถหรูซึ่งเคยเป็นของผมออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแกมเยาะเย้ย 5 ปีที่ผมทุ่มเทให้กับบริษัทเล็ก ๆ นี้จนเจริญขึ้นทุกปีมีหน้ามีตา กลับถูกตอบแทนด้วยข้อหายักยอกเงินบริษัท ผมถูกฟ้องร้องในชั้นศาล และแพ้ความในทุกกรณีด้วยหลักฐาน และพยานชิ้นสำคัญนั่นก็คือ ฤดีแฟนรัก และประจักษ์ เพื่อนที่ไว้ใจ ผมกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวชั่วคืนเดียว ความเครียดที่มีอยู่แล้วในทุกวัน กลับพลันเพิ่มขึ้นทวี มันเกิดที่ขึ้นศีรษะ และปะทะลงในกระเพาะอาหาร ผมปวดท้องอย่างแรง ชนิดที่ไม่เคยปวดอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนมีแผลเน่า ๆ อยู่กลางท้อง แล้วถูกราดลงด้วยทิงเจอร์ ขณะที่ศีรษะก็ปวดมากไม่แพ้กัน ที่ร้ายไปกว่านั้นในใจผมแหลกเหลว เมื่อคิดถึงเพื่อนเลวและแฟนทรยศ บัดสบ..! ทั้งปวดหัว ปวดท้อง ปวดหัวใจ ความปวดทั้งหลายมันประดังมาเต็มที่ จน ..ผมไม่สามารถจะทานทนได้ด้วยกำลังของตนที่มีอยู่ .. ฟ้ายังปรานี มีคนพาผมเข้าโรงพยาบาล ผมอยากจะขอบคุณเขา แต่ตอนนี้ล่ะ ผมกำลังอยู่ที่ไหน ..โอ๊ยย…
. . – กระดาษ – กระดาษแผ่นนั้นเองที่เธอถืออยู่ไม่ยอมวางตั้งแต่เช้า เธอทะนุถนอมราวกับว่ามันจะปลิวหายไปกับสายลมเพียงเพราะถ้ามันหลุดออกจากมือ สีหน้าที่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางบรรดามี กลับไม่สามารถปกปิดร่องรอยแห่งความกังวล กระดาษใบนั้นมันแค่โพสอิทธรรมดา แต่ทว่าข้อความข้างในคงจะซ่อนเรื่องราวบางอย่างไว้จนทำให้เธอเครียดถึงเพียงนี้ เธอแอบเปิดดูเป็นครั้งคราวราวกับไม่แน่ใจในข้อความนั้น ข้อความนี้คืออะไร ทำไมสร้างความลำบากใจมากมายเหลือเกิน เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อเช้า..เช้าที่เธอมาทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ใครเลยจะรู้ว่าวันนี้มีบางอย่างรอเธออยู่ หลังจากลิฟท์พาเธอมายังชั้น 16 ที่เธอทำงานและเดินผ่านโต๊ะทำงานทั้งหลายจนมาหยุดที่โต๊ะทำงานตัวเอง เมื่อขยับเก้าอี้ออก สายตาเธอต้องสะดุดกับกระดาษโพสอิทที่หล่นอยู่ใต้โต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัย นาทีนั้นเองที่เธอเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง แววตาเศร้า และแทนที่จะนั่งลงกลับผลุนผลันออกไปทันที บัดนี้เบื้องหน้าเธอคือต้นชมพูขนาดใหญ่สองคนโอบกลางสวนสาธารณะที่คนมักใช้เป็นที่ผ่อนคลาย ออกกำลัง หรือนั่งเล่น หญิงสาวยืนมือออกอย่างช้าๆ สัมผัสลงที่พื้นผิวอันขรุขระของต้นไม้ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้า แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เธอกำลังร้องไห้ และทันใดนั่นเอง กระดาษโพสอิทที่เธอถือมาด้วยหลุดหล่นจากมือ เผยให้เห็นข้อความบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างขัดเจน “ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ของเรา” . . . . – ความรัก – เมื่อคนสองคนที่มีใจตรงกัน พูดภาษาเดียวกัน พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้กันและกัน อุปสรรคใดๆดูจะเป็นเรื่องเล็ก เธอและเขาพร้อมจะก้าวข้ามมันไปด้วยกัน ทุกๆวันที่ผ่านทั้งเธอและเขามอบแต่สิ่งดีให้กัน และสิ่งที่ดีที่สุดที่มีค่ามากกว่าเงินก็คือความรัก ทั้งสองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรักของเธอและเขานั้นบริสุทธิ์งดงาม และมีค่าแค่ไหน วันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่พักผ่อนใต้ต้นชมพูกลางสวนสาธารณะนั้น ฝ่ายชายเกิดคิดว่าเราควรจะมีสักขีพยานในความรักครั้งนี้ของเราสองคน และต้นชมพูใหญ่อันร่มรื่นนี้ดูจะมีอายุมากเปรียบกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ความร่มเย็นแก่ลูกหลานมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้น ต้นชมพูใหญ่เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ขอจงเป็นสักขีพยานในความรักของเธอและเขาในครั้งนี้ด้วยเถิด พูดจบทั้งคู่ก็โอบกอดต้นชมพู่ด้วยใจที่ชื่นบานมีความสุข “ความรักของเราจะสวยงามและยั่งยืนยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับต้นชมพูนี้” แทนการสลักข้อความลงบนต้นไม้ ชายหนุ่มหยิบกระดาษโพสอิทออกมา เขียนข้อความในใจ แผ่นที่ 1“รักของเรา..ตลอดไป” แผ่นที่ 2“เราจะไม่แยกจากกัน” แผ่นที่ 3“ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ของเรา” . . . – ความเปลี่ยนแปลง – โลกนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สัจธรรมที่ทุกคนต้องพบเจอไม่ช้าก็เร็ว นั่นคือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เมื่อเวลาผ่านไปหญิงสาวก็เริ่มเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ชัดเจนขึ้น แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือเร็วไปไหมกับเวลาเพียง 1 ปีที่เขาเปลี่ยนไป คิดอีกมุมหนึ่งก็ดี ที่เธอกับเขาจะไม่ต้องเสียเวลากันไปมากกว่านี้ เขาไม่เหมือนเดิมเขาเปลี่ยนไปจากเคยถามไถ่ กลับห่างเหินจากจับมือเดิน กลับต้องเดินคนเดียว ในที่สุดทั้งคู่ก็สุดจะรั้งความสัมพันธ์นี้ไปได้ต่อ หญิงสาวแม้จะทำใจไว้นานแล้ว แต่ในวันที่จากลากลับไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ขณะที่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาเดินหายไปในกลุ่มคนราวเป็นเรื่องปกติ . ….