Skip to content

N E V I K U P

Find your Heart, Find the Happiness.

☰
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ

เรื่องยาว

เรื่องราวที่ร้อยเรียงด้วยจินตนาการและการแต่งเติมเพื่อเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

อ่านต่อ

รักข้ามมิติ (ตอนจบ)

เรื่องยาว 18 July 201116 June 2019

ในค่ำคืนแห่งวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทิวเขายามสัมผัสกับแสงแห่งพระจันทร์ดูราวกับเงาปีศาจยืนเรียงราย

รัก
สืบนัก..รักซะเลย : ตอนที่ 1 ปริศนาการตาย อ่านต่อ

สืบนัก..รักซะเลย : ตอนที่ 1 ปริศนาการตาย

เรื่องยาว 11 November 20092 August 2017

นิดตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน เวลาเช้าของเธอนั้นต้องบอกว่าเช้าจริงๆ เพราะเธอออกจากบ้านในเวลาตี 5 เธอต้องตื่นไปจ่ายตลาด เพื่อทำข้าวแกงให้ทันขายในเวลาเที่ยง  เช้าวันนี้หน้าคอนโดเงียบกว่าที่เคย หรือเธอรู้สึกไปเอง อาจเพราะยามลาไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงทำให้ไม่มีใครทักทายในเวลาเช้าเช่นทุกวัน เธอค่อยๆถอยรถกระบะคู่ใจอย่างช้าๆ แม้จะรู้สึกสลึมสลืออยู่บ้าง แต่ความเคยชินบวกกับความที่ขับรถมานาน เธอจึงขับรถได้อย่างกระฉับกระเฉง เนื่องจากรถจอดอยู่บนที่ชัน แค่ปลดเบรกมือ มันก็ค่อยๆไหลลง ขณะที่รถค่อยๆไหลลงมาได้ครึ่งทาง มันกลับติดแง็กอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมไหลถอยมาให้ถึงถนนใหญ่ นิดรู้สึกแปลกใจ เพราะทุกครั้ง เธอไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งเพื่อถอยรถเลย แตะเบรกอย่างเดียวเพื่อกันไม่ให้รถไหลลง เธอแตะคันเร่งนิดนึง เพื่อให้รถถอยไปได้ เมื่อรถค่อยๆขยับ เธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ใต้ท้องรถ!! รถของเธอกำลังเหยียบสิ่งที่มีลักษณะนุ่มเหมือนสิ่งมีชีวิต!!! แต่ไม่น่าจะใช่สิ่งมีชีวิต เพราะไม่มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดใดๆเล็ดลอดออกมา ถึงกระนั้นนิดก็ใจคอไม่ค่อยดี เธอจึงรีบลงจากรถมาดู ภาพที่ปรากฏต่อหน้า แทบทำให้เธอล้มทั้งยืน มันช่างน่าสยดสยอง ลมในท้องปั่นป่วน เหมือนอวัยวะภายในได้รับความวุ่นวายอย่างหนัก เธอถึงกับหน้ามืด แต่ยังประคองตัวได้ไม่ให้เป็นลม ก่อนจะไปเรียกใครต่อใครมาให้ช่วยดูสิ่งที่เกิดขึ้น สุนัขท้องแก่ นอนอยู่ในสภาพไร้ลมหายใจ ท้องไส้กระจัดกระจายไปรอบๆ กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณ ลูกน้อยๆในท้องประมาณ 5-6 ตัว ขาดใจตายเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าสุนัขท้องแก่นี้ตายเพราะอะไร ถึงนิดจะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ได้ตายเพราะน้ำมือของเธอ แต่สภาพศพที่เละเลือดนองพื้น เกิดขึ้นเพราะฝีมือเธอแน่ๆ สีนวลเป็นสุนัขท้องแก่ ที่ลุงเกิดรับมาอุปการะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สีนวลเป็นสุนัขหลังอานไทยแท้สีน้ำตาลอ่อน ลิ้นมีสีดำแต้ม แสดงถึงลักษณะของสุนัขฉลาด แสนรู้ และซื่อสัตย์  ลุงเกิดพบมันขณะขับแท็กซี่ไปส่งผู้โดยสารในทางเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมันมีอายุเพียงขวบกว่า ถูกรถเฉี่ยวนอนรวยรินอยู่ข้างทาง ลุงเกิดนึกสงสารจึงรับกลับมาปฐมพยาบาล และให้ป้าเนียร ภรรยาของแกที่มีอาชีพขายของในร้านโชว์ห่วยใต้คอนโดช่วยดูแล หลังจากรักษาจนหาย ก็ไม่ได้ขังหรือหน่วงเหนี่ยวมันไว้แต่อย่างใด แต่เจ้าสีนวลก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ทุกคนในคอนโดต่างให้ความเอ็นดูสีนวล เพราะมันเป็นสุนัขที่น่ารัก เล่นได้กับทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆ และจะเห่าอย่างดุร้ายเมื่อพบว่ามีคนแปลกหน้า ทำท่าทางพิรุธผ่านมา “ไม่มีเหตุผล ที่สีนวลจะถูกฆ่า นอกจากอุบัติเหตุ” หมวดสรวัฒน์ ผู้อาศัยในคอนโดชั้น 11 ตั้งข้อสันนิษฐาน “หมวดจะบอกว่า สีนวลถูกรถทับตายงั้นเหรอ? แล้วทำไมขณะถูกรถทับมันไม่ร้องสักเอ๋ง มันชัดเจนอยู่แล้วว่ามันตายก่อนหน้านั้น ทำไม..” “ฟังผมให้จบก่อนสิพี่พัน. ผมไม่ได้จะบอกอย่างนั้น อุบัติเหตุที่ว่า ผมหมายถึง งู หรือตะขาบกัดตาย” “แถวนี้มันเคยมีสัตว์แบบนั้นด้วยหรือหมวด ตั้งสมมติฐานให้สมกับเป็นตำรวจหน่อยสิคร้าบ” พันเริ่มเรียงดัง เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับอาชีพของเขา พันขับรถเมล์ร่วมบริการ…

ฆาตกรรม สีนวล สืบสวน
เจ้าหญิงสุคันธา # 3 อ่านต่อ

เจ้าหญิงสุคันธา # 3

เรื่องยาว 30 November 2006

นานมาแล้ว..มีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งเธอเป็นพระธิดาองค์เดียวของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นอี้เทียน ทรงมีพระนามว่า เทียนฟู่ เป็นพระราชาหม้ายมาหลายปี พอเจ้าหญิงมีอายุ 20 ปี พระราชาทรงประสงค์จะให้เธอมีพระสวามีด้วยความที่ตลอดเวลา 20 ปี เจ้าหญิงไม่เคยพบปะสนทนาพูดคุยกับชายใดเลย พระนางจึงรู้สึกตื่นเต้น และขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวที่จะต้องคุยกับบุรุษเพศ “บุรุษนี่ เขาพูดจากันยังไงน่ะ?” เธอถามหญิงรับใช้หญิงรับใช้คนที่หนึ่งซึ่งมีอายุเท่าองค์หญิงทูลว่า “ชื่อว่าบุรุษนั้น เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยน ให้เกียรติต่อสตรีเสมอ คำพูดทุกคำล้วนเปี่ยมด้วยคำอ่อนหวาน”“บุรุษมีแต่คำพูดเหลาะแหละเชื่อถือไม่ได้ คำพูดจาไม่ได้ต่างจากร่างกายที่กระด้างของเขาเลย” หญิงรับใช้วัย 25 กล่าวบ้าง“บุรุษทุกคนคอยแต่หาโอกาสจากสตรีเพศ คิดแต่เรื่องลามกสกปรก” หญิงรับใช้วัย 30 กล่าวองค์หญิงรู้สึกสับสนกับคำตอบที่ขัดแย้งกัน จึงถามยังหญิงรับใช้ที่สูงวัยบ้าง“อันบุรุษหรือสตรีหามีความแตกต่างกัน ด้วยทั้งสองต่างเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน บุรุษหรือสตรีจะดีหรือไม่ดี ก็เพราะตัวของเขาเองหาเกี่ยวกับเพศไม่ เพียงเพราะบุรุษคนเดียวที่เราได้รู้จัก ไม่อาจตัดสินบุรุษทั้งโลกได้ และไม่ควรทำอย่างนั้น..” เจ้าหญิงทรงพอพระทัยกับคำตอบนี้มาก เพราะทำให้พระองค์เปลียนทัศนคติที่เคยมีต่อบุรุษใหม่ บุรุษไม่ใช่คนที่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด เมื่อข่าวเรื่องการประกาศหาคู่สมรสขององค์หญิงกระจายออกไป เจ้าชายตามเมืองต่างๆ ก็ต่างจัดขบวนมาสู่ขออย่างมิคาดสาย เมื่อมีมาก เพื่อความยุติธรรม พระราชาจึงตรัสในสมาคมนั้นว่า..”เนื่องจากเจ้าชายมากมายต่างมาสู่ขอองค์หญิง เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านให้ความรักต่อธิดาของเรา แต่เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับธิดาของเรามากที่สุด สมบัติใดๆอย่างอื่นเราไม่ต้องการ เราต้องการคนที่มีความรักต่อธิดาของเราอย่างแท้จริง” มีเสียงจอแจของเหล่าบุรุษผู้มาแสดงตนเพื่อขอเป็นราชบุตรเขยเสียงเหล่านั้นถูกสะกดให้เงียบด้วยเสียงอันน่าเกรงขามของพระราชา “ห่างจากเมืองนี้ ชั่วภูเขา 12 ลูก มีสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ ณ ที่นั้นมีเพียงดอกไม้ดอกเดียวที่มีความโดดเด่น ไม่เหมือนดอกใดๆในโลก ซึ่งลูกของเราชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง หากใครสามารถนำดอกไม้ดอกนั้นมากำนัลแด่ธิดาของเราในวันฉลองวันเกิดครบ 20 ปี เราจะมอบธิดาให้แก่บุรุษคนนั้น แต่เราขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้ด้วยว่า สวนดอกไม้แห่งนั้นล้วนรายล้อมด้วยอันตรายที่ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ขอให้พวกท่านจงระวังตัว คนที่ได้ดอกไม้มา ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถเหมาะสมแก่ธิดาของเรา การคัดเลือกราชบุตรเขยเริ่มต้น ณ​ บัดนี้..”

เจ้าหญิงสุคันธา
รักข้ามมิติ อ่านต่อ

รักข้ามมิติ

เรื่องยาว 14 October 200616 June 2019

ชายชราสีหน้าเปื้อนยิ้ม เสยผมที่ขาวโพลน ก่อนเอ่ยปากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “ข้าอกหัก” ผู้ที่ใครๆรู้จักในนามลุงมา ผ่านโลกมาแล้วกว่า ๖๐ ปี กว่าครึ่งของอายุแกใช้ชีวิตในชุดสีเขียวเข้ม นั่นคือ เครื่องแบบทหาร ไม่ใช่ข้าราชการทหารทั่วไป แต่ทว่า แกคือทหารป่าลาดตระเวน เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว แกถูกเกณฑ์ทหาร ไม่ต้องรอให้ใครบังคับ แกเลือกที่จะสมัครไปเป็นทหาร แกเชื่อว่าแกเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และแกจะซื่อสัตย์ต่อคำตอบท่ีเคยตอบครูไปเมื่อสมัยอนุบาลว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร นักเรียนชายเกือบทั้งห้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากเป็นทหาร แต่เอาเข้าจริง เห็นมีแกอยู่คนเดียวที่สมัครเป็นทหาร ลุงมาเข้ารับการฝึกซ้อม เป็นทหารผู้มีระเบียบวินัยเคร่งครัดคนหนึ่ง เมื่อจวนเจียนจะครบกำหนด ๒ ปีที่ต้องอำลาชีวิตทหาร เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติที่ชายแดน ทหารทุกหน่วยถูกเรียกให้ไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ นั่นรวมถึงลุงมาด้วย เลือดนายทหารผู้พึ่งผ่านการฝึกฝนอย่างทรหดปะทุเต็มที่ เหตุการณ์ไม่ปกติกลับเข้าสู่ความปกติภายใน ๑ เดือน ทหารฝ่ายลุงมาได้รับชัยชนะ แต่ต้องสูญเสียทหารหาญไปมิใช่น้อย ศพนายทหารหาญทุกนายล้วนถูกลำเลียงมาบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติ ทุกอย่างเกือบจะปกติ แต่เมื่อตรวจเช็คตามรายชื่อ มีชื่อตกหล่น ลุงมา ยังไม่กลับมา ลุงมามีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตแล้ว ไม่มีใครทราบ แต่ทุกคนมีความเห็นอย่างเดียวกันว่า เสียชีวิตแล้ว ในการบำเพ็ญกุศลศพนายทหารหาญครั้งนั้น จึงมีรูปลุงมาตั้งอยู่ แต่ไม่ปรากฏศพ “ลุงไปอยู่ไหนมา” ผู้ที่รอคำตอบอย่างจดจ่อ คือ ทิดลั่น ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าไปยังท้องทุ่งอันเขียววจี ต้นตาลริมถนนที่มุ่งหน้าไปยังทุ่ง ตั้งเป็นแถวเรียงราย สายลมพัดต้นข้าวโอนเอนราววงดุริยางค์ประโคมดนตรีขับขาน “ข้าหนึข้าศึกเข้าป่าใหญ่ แต่แกรู้ไหม ที่ป่าใหญ่นั้นมีอะไรรอข้าอยู่” “ไม่รู้” “ข้าได้พบกับโลกใหม่” “ยังไงละลุง” “ที่นั่นนะ ผู้คนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ถักกันเองอย่างเรียบๆ ปลูกบ้านหลังเล็กๆ ทั้งหมู่บ้านไม่น่าจะถึง ๕๐ คน ทุกคนล้วนสื่อสารด้วยภาษาที่ข้าไม่เข้าใจ” “แล้วลุงทำไง” “ข้านั่งอยู่สักพัก เขาก็เอาผลไม้มาให้ข้า คล้ายๆลูกพุทรานะ แต่ลูกใหญ่เท่าส้มโอ” “โอ้โห..แล้วรสชาติเป็นไงลุง?” ทิดลั่นทำท่าตื่นเต้น “เหมือนมันแกว แต่หวานกว่า” “แล้วไงต่อ..ลุง” “ข้าใช้ชีวิตที่นั่นตามวิถีของคนที่นั่น ข้าลืมบ้านเมืองเราโดยสิ้น เพราะที่นั่นไม่มีเสียงรถ เสียงก่นด่า ไม่มีข่าวโหดร้าย ไม่มีคนโกง ไม่มีคำหยาบ ไม่มีควันบุหรี่ ไม่มี..” “พอๆๆ ลุง แล้วลุงอยู่ได้เหรอ ก็ไอ้ที่ไม่มีๆที่ลุงพูดมานั่นนะ มันมีในตัวลุงทั้งนั้นเลยนา”…

รัก
คนเลว อ่านต่อ

คนเลว

เรื่องยาว 17 August 2006

เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะรถวิ่งพล่าน เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จาก ๓๐ นาที เข้าสู่นาทีที่ ๓๑ จากป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนเพียง ๔-๕ คน เพิ่มเป็น ๑๐-๑๕ คน รถเมล์เป้าหมายยังมาไม่ถึง แม้จะเร่งรีบ แต่เขาก็เข้าใจในความจริงที่ว่า มีหลายอย่างในโลกนี้ ที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเรา การแสดงอาการร้อนรน คำสบถด่า การบ่น การด่ารัฐบาล มิได้ช่วยให้รถเมล์มาเร็วขึ้น ที่แย่กว่านั้น มันทำให้คนรอบข้าง หรือกระทั่งบรรยากาศแย่ไปด้วย เวลาผ่านไปอีก ๑๕ นาที รถเมล์ที่เขาเฝ้ารอมานานเดินทางมาถึง คนเกือบทั้งหมดในป้ายรถเมล์กรูขึ้นอย่างเร่งรีบ ส่งผลให้หญิงชรานางหนึ่งถูกเบียดเสียดเสียหลักล้มลงหน้าประตูรถเมล์ ข้าวของในมือร่วงกระจายเต็มพื้น ไม่ปรากฏผู้กระทำผิดลงมายอมรับผิดพร้อมยื่นค่าชดใช้หรือไม่มีแม้กระทั่งคำขอโทษ เขาเดินเข้าไปช่วยเก็บข้าวของ พร้อมตะโกนบอกรถเมล์ที่ทำท่าจะออกจากท่าให้หยุดรอก่อน กระเป๋ารถเมล์ทำท่าไม่พอใจ ไม่รู้แม่มันจะตายหรือยังไง ถึงต้องรีบอะไรขนาดนั้น เขาถือของให้หญิงชราแล้วค่อยๆพยุงให้เธอขึ้นรถอย่างระมัดระวัง บนรถเมล์แทบไม่มีแม้ที่จะยืน ไม่ต้องกล่าวถึงที่นั่งสำหรับหญิงชราวัย ๗๐ อย่างเธอ และไม่ปรากฏผู้ใดผู้หนึ่งเสียสละลุกให้เธอนั่ง“ขอที่นั่งให้คนแก่หน่อยครับ” เขาพยายามพูดอย่างสุภาพ พร้อมก้มตัวเล็กน้อยขอความเห็นใจ ชายผู้เป็นเจ้าของที่นั่งวัย ๓๐ ต้นๆ ลุกให้อย่างไม่เต็มใจ มีคำสบถเล็ดลอดออกจากมุมปาก แต่เขาไม่สนใจ ชายหนุ่มพาหญิงชราเข้าที่นั่งอย่างนิ่มนวล“ขอบใจนะ พ่อหนุ่ม” เขายิ้มแทนคำตอบ รถเมล์ค่อยๆผ่าดงรถติดทีละนิด จนกระทั่งลุถึงที่หมายปลายทาง เขาขยับตัวยืนรอที่หน้าประตูรถเมล์ก่อนถึงป้ายประมาณ ๓๐ เมตร กดกริ่งเพื่อให้คนขับรู้ว่า ป้ายหน้ามีคนลง เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น โชเฟอร์เหลือบมองกระจกหลังดูผู้ที่จะลง เมื่อเห็นว่าเป็นเขา จึงแกล้งแถมให้อีก ๒ ป้าย เขายังนิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจ สบถ หรือก่นด่าสาปแช่ง รถเมล์จอดลง เขาลงจากรถอย่างเยือกเย็น หันมายิ้มให้โชเฟอร์และกระเป๋ารถเมล์อีกครั้งก่อนก้าวลงจากรถไป ถึงที่ทำงานแล้ว เขาเดินเข้าไปในตึกสูงตระหง่าน กดลิฟต์ไปยังชั้น ๒๖ภายในลิฟต์ยัดเยียดด้วยมนุษย์เงินเดือนที่ฟุ้งด้วยน้ำหอมจากนานาประเทศ ยกเว้นประเทศไทย ดูเหมือนว่า นอกจากเขาแล้ว คงไม่มีใครในลิฟต์ที่ใช้เสื้อผ้า ชนิด Made in Thailand ไม่น่าแปลกที่เขาถูกมองอย่างเหยียดๆ และไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกคนล้วนครองตัวด้วยชุดสูทโก้หรู เสื้อกางเกงเรียบแปร้ รองเท้าหนังมันแวววับ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเนียบไร้ที่ติ แต่น่าเสียดาย เขาเนียบเฉพาะภายนอก ภายในรกร้างยิ่ง หลายคนสีหน้าบึงตึง…

เจ้าหญิงสุคันธา #2 อ่านต่อ

เจ้าหญิงสุคันธา #2

เรื่องยาว 31 July 2006

เมื่ออรุณรุ่ง พระอาทิตย์ฉายแสงยามเช้า เจ้าหญิงในร่างของดอกกระดาษ เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้น พอได้สติ เหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย ยังเข้าใจว่าตัวเองเพียงฝันไป แต่มันคงเป็นฝันที่ยาวนานยิ่ง เมื่อไรจะตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที “เธอ ๆ ๆ ได้สติแล้วเหรอ?” เสียงดอกไม้ดอกเดิมเรียกเธออีกครั้ง ครั้งนี้เองเธอจึงได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป “ฉันชื่อจรรยา เธอชื่ออะไร” ดอกกระดาษสีเหลืองเอ่ย “​ฉัน..น” เจ้าหญิงกล้ำกลืนน้ำตา รู้สึกสับสนในชีวิตยิ่ง แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเป็นฝัน อันไหนเป็นจริง ตอนนี้กำลังฝันอยู่หรือว่าช่วงเวลาที่เป็นเจ้าหญิงนั้นเป็นฝันกันแน่ “เธอไม่ต้องร้องไห้หรอก ช่วงแรกๆเราทุกคนก็เป็นเหมือนเธอกันทั้งนั้นแหละ” เจ้าหญิงปาดน้ำตา “พวกเธอเป็นยังไงเหรอ” “พวกเราทุกคนล้วนถูกสาป โดยแม่มดปีศาจ” “แม่มด” “ใช่ ดอกกระดาษที่เบ่งบานหลากสีเต็มท้องทุ่งนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ที่ถูกสาปทั้งสิ้น” “ท..ทำไม” “เมืองนี้ตั้งอยู่บนเขาที่ยากแก่การเพาะปลูกดอกไม้ เมื่อก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เมื่อองค์หญิงประสูติขึ้น พระราชาต้องการจะเอาใจองค์หญิงองค์นี้ จึงรับสั่งให้ปลูกดอกไม้ทั่วเมือง ทุกดอกล้วนปลูกขึ้นได้อย่างสวยสดงดงาม ยกเว้นดอกกระดาษ” “ทำไม” “ดอกกระดาษเป็นดอกที่ขึ้นได้เฉพาะพื้นที่ พระราชารับสั่งให้คนสวนผู้ชำนาญในการปลูกดอกไม้ทั่วเมืองมาปลูก ก็ไม่สามารถปลูกได้ ทรงกริ้วมาก อยากจะเอาชนะธรรมชาติ จึงรับสั่งว่า ถ้าใครสามารถปลูกดอกกระดาษได้ ถ้าอยากได้อะไรพระองค์จะพระราชทานให้ทันที!” “ครั้งนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งอาสาจะปลูกต้นไม้ โดยจะขอใช้เวลาเพียง ๑ เดือน พระราชาทรงอนุญาต และเมื่อครบ ๑ เดือน ดอกกระดาษหลากสีสันก็เต็มอุทยาน ในตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่านางใช้วิธีไหนเนรมิตดอกไม้เหล่านี้ แต่พร้อมๆกับการเบ่งบานของหมู่ดอกไม้ ก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นในเมือง นั่นคือ อยู่ๆชาวบ้านก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ครั้งละคนสองคน ตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้ แต่เดี่ยวนี้รู้แล้วว่า ที่หายไปนั้น หายไปไหน?” “หายไปไหน” เจ้าหญิงถามประสาซื่อ “ก็ถูกนำสาปเป็ดอกไม้อยู่นี่ไง” “พระราชาทรงพอพระทัยมาก จึงรับสั่งถามว่า เจ้าอยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน? หญิงนั้นตอบว่า หม่อมฉันมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งอายุเท่าๆกับองค์หญิง พ่อของเด็กเสียชีวิตตั้งแต่ลูกยังเล็ก หม่อมฉันเพียงหวังให้ลูกเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งคู่กับพระราชธิดา เมื่อหญิงนั้นกล่าวจบ พระราชาทรงกริ้วมาก ถือว่าเป็นการหลบลู่ ไม่รุ้จักฟ้าสุงแผ่นดินต่ำ โทษครั้งนี้ถึงกับต้องถูกประหาร ๗ ชั่วโคตร แต่ด้วยความดีความชอบที่นางสามารถปลูกดอกไม้ที่ไม่มีใครสามารถปลูกได้ ถ้าจะฆ่าทิ้งเสียก็เสียดาย จึงรับสั่งให้นางเป็นคนดูแลสวน ปลูกดอกไม้ ห้ามออกจากสวนนั้นจนชั่วชีวิต” “หญิงคนนั้น ชื่ออะไร” เจ้าหญิงเอ่ย หลังจากฟังอย่างเลื่อนลอยอยู่นาน “ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไร…

เจ้าหญิงสุคันธา
เจ้าหญิงสุคันธา #1 อ่านต่อ

เจ้าหญิงสุคันธา #1

เรื่องยาว 28 July 2006

รู้สึกตัวอีกครั้ง เจ้าหญิงกลับพบตัวเองโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ท่ามกลางทุ่งร้าง ที่ไม่มีใคร รอบข้างมีเพียงต้นไม้เหี่ยวเฉา ดอกไม้แห้งๆ ที่รอวันตายด้วย ขาดน้ำมาจุนเจือและขาดการดูแลมาแรมปี เจ้าหญิงพยายามพยุงตัวเองขึ้น แต่เรี่ยวแรงไม่รู้หายไปไหนหมด ” ช .. ช ช่วย..ด” เสียงเจ้าหญิงยังคงเครืออยู่แค่ลำคอ ยามเมื่อลมพัดมา ก็โอนเอนไปตามแรงลมอย่างไร้แรงต้าน เจ้าหญิงหลับตาพยายามรวบรวมสติและคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เมื่อคืน .. ใช่..เมื่อคืนมีงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเธอ พอเวลาก้าวเข้าสู่ยามสอง เธอก็เข้าสู่วัย ๒๐ บริบูรณ์ ข้าราชบริพาร พ่อค้าประชาชน เสนาอำมาตย์ ต่างจุดพลุบรรเลงเพลงรื่นเริง เป็นคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว แสงไฟที่พวยพุ่งจากการจุดของเหล่าพนักงาน ช่วยแต่งเติมท้องฟ้าให้งดงามยิ่งนัก เสียงโห่ร้องก้องกู่ไม่ขาดสาย ของกำนัลนานัปประการจากเมืองเพื่อนบ้านที่ร่วมแสดงความยินดี บิดากับมารดายืนเคียงข้างกันยิ้มร่วมดื่มฉลองในการเลี้ยงครั้งนี้ เวลาผ่านไป..อย่างมีความสุข เมื่อเค้กชิ้นใหญ่ที่สุดในเมืองที่สั่งทำเป็นพิเศษ จากการระดมของช่างเค้กมีฝีมือทั่วอาณาจักร เค้กชิ้นนี้ถือว่าเป็นเค้กมงคล หลังจากเจ้าหญิงเป่าเค้กแล้วจะแบ่งทุกชิ้นให้แก่ประชาราษฏร์ ก่อนการเป่าเค้กชิ้นใหญ่ มีการดับไฟทุกดวง มีเพียงแสงเทียน ๒๐ ดวงจากเค้กชิ้นโตนั้น เมื่อสิ้นสุดเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ เจ้าหญิงอธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนบนเค้กใบใหญ่ หลังจากเทียนแท่งสุดท้ายดับลง อันธการก็ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ… องค์หญิงจำได้แค่นั้น และเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็อยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่เธอไม่คุ้นเคย น่ากลัว และไม่มีใคร “นี่ เธอๆ เธอได้ยินฉันมั้ย” เสียงใครคนหนึ่งดังจากข้างหลังเจ้าหญิง แต่ไม่น่าจะเรียกเจ้าหญิง เพราะชั่วชีวิต ไม่เคยมีใครเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่กันเอง และไร้ความเคารพอย่างนี้ นางพยายามพยุงตัวเองขึ้นอย่างช้าช้า มองไปรอบๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีใคร มีแต่ความว่างเปล่า และลมพัดวูบวาบที่ทำให้ร่างเธอโอนเอน “เธอ เธอนั่นแหละ ฉันอยู่นี่” เสียงนั้นอยู่ใกล้เจ้าหญิงยิ่ง นางจึงมองไปตามเสียง เจ้าหญิงแทบสิ้นสติสมประดีกับสิ่งที่นางได้ประสบ เจ้าของเสียงนั้นเป็นดอกไม้สีเหลืองที่เหี่ยวแห้งรอวันตาย! เธอรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ดี ดอกไม้นี้ชื่อว่า *ดอกกระดาษ เป็นดอกไม้ที่อยู่ได้นานวัน ไม่รู้จักโรย เมื่อถูกละอองน้ำค้างหรือน้ำเพียงเล็กน้อย ดอกจะหุบได้ ทุกเดือนเจ้าป้ากัญจนาวลัยผู้ดูแลอุทยานหลวงจะให้คนนำมาถวาย แต่ทุกดอกที่นางเคยเห็น ล้วนสดสวยไม่แห้งเหียวใกล้ตายเช่นนี้ เจ้าหญิงรวบรวมสติ แล้วเอ่ยขึ้น “ท..ที่นี่ คือ ที่ไหน ท..ทำไมดอกไม้พูดได้” “เธอก็ลองมองดูตัวเธอเองสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมดอกไม้พูดได้” เจ้าหญิงสำรวจตัวเอง นางแทบสิ้นสติอีกครั้ง เมื่อพบว่าตัวนางเองเป็นดอกไม้ ! โปรดติดตามตอนต่อไป ข้อมูลเพิ่มเติม…

เจ้าหญิงสุคันธา
SuperDJ ตอน ดีเจสระอา อ่านต่อ

SuperDJ ตอน ดีเจสระอา

เรื่องยาว 6 June 20069 June 2015

ผมชื่อสระอา พงษ์พุฒิพงษ์ อายุ 22 ปี น้ำหนัก 60 สูง 172 จบครุศาสตร์ เอกภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง(เขาก็มีชื่อกันทุกมหาลัยนั่นแหละ) ปัจจุบันมีอาชีพเป็นดีเจ อยู่คลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง อาจมีคนสงสัยว่า จบครุศาสตร์ ทำไมมาเป็นดีเจ ทำไมไม่เรียนนิเทศตั้งแต่ต้นเลยละไอ้ทิด? ตอบง่าย ๆ ครับ แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร ที่เรียนครุศาสตร์ เพราะแม่เป็นครู พ่อเป็นเบาหวาน เอ้ย เป็นทหาร (แต่ตอนหลังท่านก็เป็นเบาหวานจริง ๆ นะแหละ) แม่ท่านก็อยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเป็นครูที่ดี เหมือนที่ท่านเป็น ทั้ง ๆ ที่ไม่ดูสารรูปลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เลย เกเรที่หนึ่ง ย้ายโรงเรียน 2-3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาเรียนที่โรงเรียนที่แม่สอนเองนะแหละ ที่ย้ายโรงเรียนนะไม่ใช่ไปตีกะใครที่ไหนหรอก แม่เองนะแหละ เห็นว่าโรงเรียนที่ตัวเองสอนไม่ค่อยดี อยากไปเรียนในตัวเมือง โรงเรียนดัง ๆ แต่พอไปเรียนไกลหูไกลตา ครูประจำชั้นก็รายงานกลับมาว่า ด.ช. สระอา พงษ์พุฒิพงษ์ ไม่เคยไปโรงเรียนเลย อะแหมม จะให้เข้าได้ไง รอบๆโรงเรียนพรั่งพร้อมไปด้วยร้านเกมส์ โต๊ะสนุ๊ก เธค บาร์ ข้าง ๆโรงเรียนบรรยากาศครึกครึ้น พอมองลอดรั้วไปในโรงเรียน เห็นครูหน้าดุ ๆ นักเรียนซึมๆ เซาๆ ใครจะอยากเข้าไปในโรงเรียนนั่นละ เป็นทัณฑสถานก็ไม่ปาน หลังจากพยายามเคี่ยวเข็ญ ขู่บังคับ จนจบมัธยมได้ แม่ปฏิเสธการตั้งใจจะเอ็นทรานซ์ของผม (จริงๆผมปฏิเสธการให้เอ็นทรานซ์ของแม่) เพราะรู้ว่าผลมันออกตั้งแต่ผมยังไม่เอ็นท์ แม่พาผมไปเรียนมหาลัยเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง อธิการบดีเป็นเพื่อนซี้กับแม่ (ทราบภายหลังว่าเป็นกิ๊กเก่าของแม่สมัยเรียนปี 1) ชีวิตผมจึงค่อนข้างสบายในรั้วมหาวิทยาลัย เรียน 2 วัน หยุด 5 วัน แม้ไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่เกรดเฉลี่ย 3.00 ก็ไม่เลวนัก นับว่าเป็นอานิสงส์จากกิ๊กเก่าของแม่แท้ ๆ หลังจากจบปริญญาตรี เป็นบัณฑิตสมใจแม่แล้ว ก็เตร่ไปเตร่มากับเพื่อนฝูง แม่ให้ไปสมัครสอบบรรจุเป็นครู วันนั้นผมอายประชาชีเป็นที่สุด มีที่ไหนโตเป็นควาย แต่งตัวก็วัยรุ่น ให้แม่พาไปสมัครสอบ ตอนกรอกใบสมัครแม่ก็นั่งประกบชี้ให้เขียนโน่น เซ็นต์นี่อีก…

Super DJ ตอน คุณปรางค์ผู้อาภัพรัก อ่านต่อ

Super DJ ตอน คุณปรางค์ผู้อาภัพรัก

เรื่องยาว 9 May 20066 February 2017

{ต่อจากตอนที่แล้ว} สวัสดีคร้าบบบบ ..บ ผมดีเจสระอามาแล้วว เวลาขณะนี้ ตี 2.18 นาที ใครยังไม่หลับ หรือนอนกระสับกระส่าย ต่อสายพูดคุยกันได้ คืนนี้ไม่มีเหงา เพราะคุณอยู่กับเรา ..Radio Hello Test FM 999.99 Mz สายแรกเข้ามาแล้ววว ???????????????????????????????? สวัสดีครับบ ชื่ออะไรครับ “….อืออ อา “ ช่วยหรี่วิทยุหน่อยครับ เสียงแย่มากเลย “….หวืออ หว ..ว” ยังไม่ดีขึ้นเลย แนะนำให้ปิดวิทยุไปเลย ไม่งั้นคุยกันไม่รู้เรื่องนะครับ “เสียงใช้ได้รึยังครับพี่” > เป็นน้องผู้ชายหรอกเหรอ เออ งั้นสงสัยคลื่นไม่ค่อยดี ไว้โอกาสหน้าค่อยโทรมาใหม่นะครับ เราจะรับสายที่สองกันเลยย .. ฮัลโหลลล สวัสดีครับ “สวัสดีค๊า..” เสียงสดใส น่ารักเชียว ชื่ออะไรครับ “น้ำฝนค่ะ” น้องน้ำฝน กี่ขวบแล้วเนี่ยะ แล้วทำไมยังไมยังไม่นอนอีก “เรียนอยู่ม.5 ค่ะ ฟังพี่ทุกวันเลย ชอบมากเลย เนี่ยะฟังมาหลายปีพึ่งกล้าโทรมาวันนี่แหละ” “น้องจ๋า cheap jerseys พี่ดีเจสระอา พึ่งจัดรายการวิทยุยังไม่ถึงอาทิตย์เลยจ๊ะ” “อ่ะหรอ นี่คลื่นHot wave ป่าวค๊ะ?” น้องเลื่อนไปอีกคลื่นข้าง ๆเลยจ๊ะ ..ปุ๊ป ตัดสายไปเลยย แหมมเราก็หลงดีใจ ถึงว่าปกติรายการเราไม่ผู้ชาย ก็คนแก่ ๆ โทรมา วันนี้เด็กมัธยมโทรมาเราก็หลงดีใจซะ ยังไม่มีสายเข้ามา ไปฟังเพลงก่อนนะครับ requestมาจากน้องแนท กับเพลงดาวลูกไก่ Uniforms ขับร้องโดยพร ภิรมย์ เอามาขับร้องใหม่โดยพี่เบิร์ด “………………” สวัสดีครับ ชื่อคุณอะไรครับ “ปรางค์ค่ะ” คุณปรางค์ทำอะไรอยู่ครับ ยังไม่นอน “มีเรื่องกลุ้มใจมากค่ะ นอนก็นอนไม่หลับ อยากจะระบาย ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง” เรื่องมันเป็นยังไงละครับ “คืองี้นะค่ะ ปรางค์ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งนะค่ะ สมมติว่าชื่อ ธ ละกัน…

อ่านต่อ

ทริปม่วนใจ ม่อนจอง 2 วัน 1 คืน

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 28 January 20234 February 2023

แบกเป้เที่ยวม่อนจอง ยอดเขาสวยในจังหวัดเชียงใหม่

ม่อนจอง เชียงใหม่ เดินป่า

ความขี้เกียจ ~ กิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน

เรื่องทั่วไป 28 March 2009

เสาร์นี้ เป็นเสาร์ที่น่าเบื่อ นั่งทำงานด้วยความเบื่อ และขี้เกียจ ความรู้สึกขี้เกียจ ในหนังสือ เดอะ ท็อป ซีเคร็ค ของทันตแพทย์สม สุจิรา บอกไว้ว่า เป็นความรู้สึกลบที่ต้องกำจัดทิ้ง เพราะความรู้สึกลบ จะดึงดูดสิ่งที่ลบเข้ามาตามกฏแห่งการดึงดูด และที่ร้ายไปกว่านั้น ความรู้สึกลบนี้อาจจะถูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึก นั่นหมายถึง ไอ้เจ้าความรู้สึกลบนี้อาจจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่านั้น ข้ามภพข้ามชาติไปเลยทีเดียว ทีนี้ กลับมาถามตัวเองต่อ เราชอบมั้ยละ ความขี้เกียจนี้ ปล่าวเลย เราไม่ชอบ และเรารู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันไม่ดี ดังนั้น ต้องรีบสร้างความรู้สึกขยัน มุ่งมั่น  และที่สำคัญต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างแรงขับให้ได้  ทันตแพทย์สม สุจิรา เขียนไว้ว่า “โดยปกติการคิดถึงแรงจูงใจ จะเกิดความสุขมากกว่า การคิดถึงแรงขับ  ดังนั้นคนที่จมปลักอยู่กับความทุกข์ โดยไม่มีแรงจูงใจ  ยากที่จะประสบความสำเร็จ  แรงขับเพียงอย่างเดียว กำหนดทิศทางชีวิตในอนาคตยาก  เช่นเดียวกับการยิงขีปนาวุธ ถ้ายิงด้วยแรงขับจากดินปืนเพียงอย่างเดียว โอกาสไม่ถูกเป้าหมายมีสูงมาก เพราะควบคุมทิศทางไม่ได้  แต่เมื่อใดที่ใช้ขีปนาวุธนำวิถี ก็เหมือนกับ เป้าหมายเป็นตัวดูดให้ขีปนาวุธนั้นวิ่งเข้าไปหาด้วย  โอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก   แรงผลักกำหนดทิศทางยากกว่าแรงดูด  ดังนั้นในวิถีชีวิตก็เช่นกัน  พยายามมองหาแรงจูงใจให้พบ  มิฉะนั้นแรงขับที่มีอยู่ก็ปราศจากประโยชน์..” (เนื้อความส่วนนี้ เป็นตัวอย่างหนังสือ เดอะ ท็อป ซีเคร็ค เล่ม ๒ อยากอ่านคลิกที่นี่) ช่วงนี้คลั่งหนังสือของทันตแพทย์สม สุจิรามาก ตั้งแต่ ตอบปัญหาวิชาโลก, ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น, เจาะตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ เดอะ ท็อป ซีเคร็ค ตั้งใจจะอ่านให้ครบเซ็ตของแกซะหน่อย เหลืออีกไม่กี่เล่ม (ตอบปัญหาวิชาใจ, ตอบปัญหาวิชาชีวิต, เกิดเพราะกรรมหรือความซวย และทวารหก ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง) วกเข้ามาเรื่องน่าเบื่อของวันเสาร์ต่อ ถึงแม้เข้าใจดี ถึงกิเลสข้อที่ว่าด้วยความขี้เกียจ แต่กระนั้น วันนี้ผมยอมแพ้ต่อความขี้เกียจอย่างราบคาบ นอกจากไม่เร่งทำงานที่กองท่วมหัวให้เสร็จๆแล้ว ยังแอบมาเขียนบล็อก และทำภาพประกอบนี่อีก ได้ภาพฮาๆ เหล่านี้มา เลยมานั่งรวบรวมไว้แก้เบื่อ.. ไม่รู้ช่วยได้หรือเปล่านะ แต่นั่งๆดูแล้ว บางภาพที่คนในภาพทำหน้าตาตลกๆ ธรรมชาติๆ ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ก็ขำดี ป.ล. ภาพพระซ่อมมอไซต์…

เบื่อม่ะ?

เรื่องทั่วไป 11 June 2008

เกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นมาเฉยๆ..(ซะอย่างนั้น) พยายามสร้างความรู้สึกอื่นมาต่อต้านอย่างหนัก เพราะความรู้สึกเบื่อ เป็นความรู้สึกฝ่ายลบ ต้องสร้างความรู้สึกฝ่ายบวกมาต่อต้าน กำราบให้ได้ เมื่อถูกความรู้สึกเบื่อครอบงำ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงความสุขก็ไม่มี การงานหน้าที่ก็ไม่คืบหน้า.. กำจัด ต้องรีบกำจัดเสีย คิดถึงงาน..เราจะทำงานในวันนี้ให้ดี ดีกว่าเดิม ดีที่สุด..คิดไป คิดมา ง่วง คิดถึงวันหยุดอันแสนสบาย เมฆสีฟ้า ทะเลสีคราม ..น้ำทะเลใส เสื้อลายดอก และกล้องถ่ายรูป…คิดไป คิดมา  พาลขี้เกียจทำงาน คิดถึงเรื่องดีๆที่ผ่านมา..คิดหนัก! คิดถึงเรื่องการเมือง ปัญหาบ้านเมือง น้ำมันแพง ค่ารถขึ้น ข้าวสารราคาขึ้น มาม่าห่อละ 8 บาท คนประท้วง ขโจรขโมยเต็มบ้านเต็มเมือง คนมีปัญหา..ฯลฯ คิดถึงเรื่องสุดท้ายนี่..หายง่วง แต่เริ่มจะเครียดแทนละ บ้านเมืองเข้าสู่ยุคอะไรฟ่ะเนี่ยะ..ทำไมมันมีอะไรวุ่นวายเยอะแยะไปหมด แต่อ่ะ จะรอดูๆๆๆ ..ว่าจะลงเอยอย่างไร  ทุกปัญหามีทางแก้ .. ก็หวังว่าจะแก้กันเร็วๆ ชาวบ้านจะแย่แล้วววคร้าบ  

อ่านต่อ

แม่ฮ่องสอน..ตะลอนเที่ยว: ปาย-หยุนไหล

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 18 December 202024 September 2021

หลังจากออกจากห้วยน้ำดัง จุดหมายที่ตั้งใจไว้คืออำเภอปาย เราไม่ได้จองที่พัก หลังรถเรามีเต๊นท์และอุปกรณ์ปิ้งย่าง ดังนั้นจุดที่เรากำลังมองหาคือจุด กางเต๊นท์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งที่มาเที่ยวปายครั้งแรก ผมประทับใจจุดกางเต๊นท์ตรงโป่งน้ำร้อนท่าปายมาก มีความเป็นธรรมชาติสูง และน่าจะมีเพื่อนกางเต๊นท์เยอะไม่เหงาไม่น่ากลัว คิดได้ดังนั้นก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที ระหว่างทางมีป้ายเล็กๆข้างถนนก่อนถึงโป่งน้ำร้อนท่าปาย “ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา” แวะไปห้อยขาซะหน่อย.. หลังจากอิ่มท้องก็ออกจากร้านและมุ่งหน้าโป่งน้ำร้อนท่าปาย..รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย (จริงๆก็ผิดหวังมากเลยละ) ความเป็นธรรมชาติแบบเมื่อก่อนหายไปหมดละ โป่งน้ำร้อนได้รับการทำให้เป็นกิจจะลักษณะด้วยการก่อปูนทุกบ่อ ดูเหมือนจะเจริญขึ้น แต่ทำไมผมไม่รู้สึกประทับใจ บรรยากาศโดยรวมดูเงียบเหงา อาจจะเพราะโควิดด้วยส่วนหนึ่ง พื้นที่ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ถ้าจะกางเต๊นท์นอนที่นี่คืนนี้คงมีแต่เต๊นท์เราหลังเดียวให้เปล่าเปลี่ยวหัวใจ เมื่อภาพในหัวไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ จึงต้องรีบหาที่พักใหม่ก่อนจะมืดค่ำ เราต้องการที่พักแบบกางเต๊นท์ จนในที่สุดก็มาสะดุดกับคำว่า “หยุนไหลทะเลหมอก” คำว่า “หยุนไหล” ไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับภาพประกอบ ภาพที่มีจุดกางเต๊นท์อยู่บนพื้นที่สูงวิวแบบ 360 องศา มองลงมาเห็นอำเภอปายทั้งอำเภอ ไม่รอช้า..มุ่งหน้าไปทันที ขับออกจากอำเภอปายมาทางหมู่บ้านสันติชลประมาณ 30 นาที ทะลุผ่านหมู่บ้านสันติชลเข้าไปอีกครับ จะมีทางเข้าที่ต้องขับผ่านหมู่บ้านเป็นถนนเล็กๆ และเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายจะเห็นป้ายคำว่า “หยุนไหล” อยู่บนเนินเขาเล็กๆ หยุนไหล..จุดชมวิวทะเลหมอก และจุดกางเต๊นท์ ที่นี่มีบริการทั้งเต๊นท์ให้เช่าและเต๊นท์นำมากางเองครับ ถ้านำเต๊นท์มาเองอย่างผมค่าบริการอยู่ที่คนละ 100 บาทเท่านั้น มีห้องน้ำ จุดล้างภาชนะ รวมถึงปลั้กไฟให้ใช้ ส่วนวิวรับรองว่าคุ้มค่ามาก.. เช้าวันรุ่งขึ้นผมตั้งใจจะวิ่งซิตี้รัน เพื่อชมวิถีชาวบ้านแถวนี้สักหน่อย ประมาณ 6 โมงเช้าฟ้าเริ่มสาง ผมก็เริ่มวิ่งจากเขาลงมา และภาพต่อไปนี้คือภาพที่ได้จากการวิ่งซิตี้รันประมาณ 6 กิโลเมตร กลับจากวิ่งประมาณ 9 โมงแล้ว แดดเริ่มมาต้องรีบเก็บเต๊นท์ ทานข้าวเช้าจุดมุ่งหมายของเราต่อไป นั่นคือ “ปางอุ๋ง” ออกจากหยุนไหลละครับ ใครชอบกางเต๊นท์ที่นี่คืออีกทางเลือกหนึ่ง ช่วงนี้ไปยังไม่หนาวมากนักตกกลางคืนแค่ 15 องศา ชาวบ้านบอกว่าช่วงหนาวมากๆ มีต่ำกว่า 10 องศาแนะ โพสต์หน้าเจอกันที่ “ปางอุ๋ง”

ปาย หยุนไหล แม่ฮ่องสอน
อ่านต่อ

โดดเดี่ยว..เที่ยวภูเขาทอง

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 9 November 200823 September 2016

ตั้งใจมาหลายวันแล้วว่าวันนี้ จะไปบริจาคเลือด !! นับเป็นครั้งที่  35 แล้ว ภูมิใจเล็กน้อย เมื่อกล่าวถึงจำนวนครั้ง บริจาคครั้งละ 400 ซีซี ถึงวันนี้ผมบริจาคเลือดไปแล้ว 14,000 ซีซี น่าจะได้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ไม่น้อย แม้ไม่รู้ว่าใครได้เลือดผมไป แต่ทุกครั้งที่มีคนได้เลือดผม นั่นคือชีวิตของเขา และบุญของผม การให้โดยไม่หวังคืนเช่นการบริจาคเลือดนี้ เปรียบเหมือนแม่ที่ให้ทุกอย่างแก่ลูก โดยไม่หวังสิ่งใดๆจากลูกเลย เราไม่รู้เลยว่าใครได้เลือดเราไป เช่นเดียวกัน พ่อแม่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อลูกโตแล้ว จะให้อะไรแก่พ่อแม่บ้าง วกมาถึงการเดินทางไปบริจาคเลือดในวันนี้ การเดินทางต้องมีการวางแผนครับ เพื่อประหยัดเวลาและค่าเดินทาง ผมจะไปโดยเรือ ขึ้นเรือที่ท่าเรือคลองตัน โผล่ที่ท่าเรืองอโศกเพชรบุรี แล้วขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรี ไปโผล่ที่สามย่านฝั่งตรงข้ามกับวัดหัวลำโพง หรือฝั่งจามจุรีสแควที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เดินตรงขึ้นไปก็จะถึงสถานเสาวภาหรือสวนงู หลังสวนงู คือสภากาชาด คาดว่าใช้เวลาไม่น่าจะถึงชั่วโมง (ปกติไปรถเมล์สาย 113 ใช้เวลาชม.กว่า) หลังจากบริจาคเลือดตั้งใจจะไปเดินเล่นที่วัดสระเกศ หรือวัดภูเขาทอง เวลาบ่ายโมงสี่สิบห้านาทีผมไปนั่งรอเรือที่ท่าเรือ วันนี้เรือมาช้ากว่าปกติ เพราะเป็นวันอาทิตย์ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการครับ ผมขึ้นจากเรือโผล่ที่เพชรบุรีต่อรถไฟ มาโผล่ที่สามย่าน ตรงหน้าจามจุรีสแควนี่เอง มีเรื่องให้พิจารณานิดหนึ่ง ขณะผมเดินด้านหน้าห้างนั่นเอง มีรถซีวิคฮอนด้านสีบรอนด์ ไม่ทราบเลขทะเบียน เพราะไม่สนใจ จอดริมฟุตบาทด้านหน้าผมไม่ถึงสิบเมตร พอรถจอด ก็มีชายคนหนึ่งรีบลงจากรถพร้อมด้วยถือสิ่งหนึ่งมาด้วย วางลงข้างฟุตบาทหน้าห้าง แล้วรีบขึ้นรถออกไป เมื่อผมเพ่งมองที่วัตถุที่ชายนิรนามนำมาวาง ปรากฏว่าเป็นสิ่งมีชีวิตครับ เป็นลูกแมวสีเทาตัวเล็กๆ ท่าทางอ่อนแรง และงงๆ กับชะตาชีวิต ร้องเหมียวๆท่ามกลางแดดที่ร้อนจ้า ผมจำใจเดินผ่านไป โดยไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าแมวนั่น ขณะที่เจ้าของที่ทิ้งก็ยังไม่ได้ไปไหนไกลเพราะรถติดอยุ่ ผมพยายามมองทะลุกระจกเข้าไปในรถ อยากจะดูว่าหน้าตาไอ้คนใจดำระยำห่านั่น หน้าตามันเป็นอย่างไร มากันกี่คน น่าเสียดายกระจกมืดดำ เลยอดเห็น ผมเองก็รู้สึกตัวเองผิดที่ไม่ได้ดูดำดูดีกับลูกแมวตัวนั้น ไม่ได้ทำอะไรที่ดีกว่านี้เลย ถึงสภากาชาดในเวลาบ่ายสองห้าสิบ วันเสาร์อาทิตย์และวันนักขัตตฤกษ์ ที่นี่จะปิดให้บริการเร็วคือจะปิดในเวลา 15.30 น. ดังนั้น ผมมีเวลาไม่่มาก เวลาขนาดนี้คนจะไม่เยอะเท่าไรแล้ว ไม่เหมือนตอนเช้าที่คนเนืองแน่นจนหน้ามืด ใช้เวลาในการบริจาคไม่ถึงสามสิบนาทีครับ (บริจาคจริงๆแค่สิบนาที ที่เหลือคือการรอคิว คิวตรวจเลือด คิวบริจาค) ออกจากสภากาชาด ตามแผนอย่างต่อเนื่องเลยครับ จับรถแท็กซี่ไปวัดสระเกศในทันที ด้วยราคามิเตอร์ 70 บาท ถ้าอยากประหยัดกว่านี้ก็ได้…

ภูเขาทอง
อ่านต่อ

21 กิโลเมตรแรกในรอบ 3 ปี

วิ่ง, สุขกะภาพ 17 July 202221 July 2022

อย่างที่ทราบกันดีว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาโลกของเราประสบกับปัญหาเดียวกัน นั่นคือ “โควิด” ทุกกิจกรรมที่ทำนอกบ้านต้องหยุดและเปลี่ยนมาทำในบ้านแทน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอน การทำงาน หรือแม้แต่การออกกำลังกาย อย่างอื่นพอทำในบ้านได้ครับ แต่สำหรับผมการออกกำลังกายต้องทำนอกบ้านเท่านั้น เพราะการออกกำลังกายของผมนั่นคือ “วิ่ง” นั่นเองถึงทำให้ผมมีข้ออ้างสำหรับการไม่ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องตั้ง 3 ปี!! สำหรับคนที่วิ่งบ่อยๆ จะรู้เลยว่า ถ้าหยุดวิ่งนานๆ การกลับมาวิ่งใหม่มันเท่ากับการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ความฟิตของร่างกายแทบไม่มี ความสนุกในการวิ่งที่เคยสัมผัสจะหายไป เราต้องเริ่มหัดวิ่งใหม่ตั้งแต่ระยะ 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร และจะผ่าน 10 กิโลเมตรแบบยากลำบากมาก การจะวิ่งด้วยตัวเองในระยะ 21 กิโลเมตรนั้นคงทำไม่ได้แน่ คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มหางานวิ่งที่กำลังเริ่มกลับมาคึกคักใหม่..ผมไปเจองาน UTMUthaiThaniMarathon หลังจากสมัครก็เริ่มซ้อมวิ่งครับ เหมือนเริ่มวิ่งใหม่ ครั้งแรกได้ 5 กิโลเมตร วิ่งด้วยระยะนี้ 2-3 วันก่อนแล้วค่อยขยับไปกิโลเมตรที่ 10 เริ่มวิ่ง 10 กิโลเมตรแบบสบายๆได้ แต่แล้ว..ดันไปติดโควิด ทำให้การซ้อมที่กำลังต่อเนื่องต้องหยุดไปถึง 10 วัน หลังจากหายโควิดมีเวลาซ้อมแค่ 10 วันอีกต่างหาก งานนี้จึงซ้อมได้แค่ 10 กิโลเมตรก่อนงานวิ่งแค่ 5 วัน วันงาน งานนี้ฉายเดี่ยวอีกเช่นเคยครับ ผมจองห้องพักไว้ใกล้จุดสตาร์ทซึ่งก็คือสวนน้ำเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ห่างแค่ 3 กิโลเมตร หลังจากไปรับบิบเสร็จเรียบร้อยก็เช็คอินเข้าที่พัก งานนี้ปล่อยตัวตอนตี 4.30 ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงจุดปล่อยตัวในเวลาตี 4 หลังจากอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็น เตรียมเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับพรุ่งนี้ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 3.40 เสร็จแล้วเข้านอน ค่ำคืนนี้ฝนตกหนักมาก ถึงจะหลับๆตื่นๆ และฝันว่าตัวเองออกไปวิ่งแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้หลับบ้าง ก่อนนาฬิกาจะปลุก 5 นาที ผมลุกจากที่นอนเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาทำธุระส่วนตัวไม่นานก็พาตัวเองออกจากห้องพักไปยังจุดสตาร์ท ปล่อยตัว ตี 4.30 เมื่อสิ้นสุดสัญญาณปล่อยตัว นักวิ่งพันกว่าคนรวมระยะ 21 และ 42 ก็ทะยานออกจากเส้นสตาร์ท ขาแรงที่อยู่แนวหน้าทั้งหลายตะบึ่งวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มีราวกับว่าจะวิ่งแค่ 400 เมตร แน่นอนสำหรับนักวิ่งขาแรงแล้ว 21 หรือ…

วิ่ง อุทัยธานีมาราธอน

'สาระแนสิบล้อ' ติดอันดับหนังเสียดายตังค์แห่งปี

เรื่องทั่วไป, ไดอารี่ 8 April 2010

พอดีไปอ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง “สาระแนสิบล้อ” มา  ก็เลยรู้สึกเห็นด้วย เพราะพึ่งไปดูมาเหมือนกัน !! เขาวิจารณ์ประมาณนี้อ่ะครับ “..ที่หนังโปรโมตตัวเองว่า “มีบท” นั้น เอาเข้าจริงก็ไม่ได้จริงจังอะไร คือโดยตัวหนัง มันก็มีหัวมีท้าย แบบว่าจะเริ่มเรื่องยังไงและจะไปจบตรงไหนยังไง พูดง่ายๆ ก็คือหนังเขียนบทไว้แบบหลวมๆ เพื่อจะอัดสถานการณ์พิลึกพิลั่นลงไป เปรียบเทียบกัน มันก็คงคล้ายๆ กับหนังของของคุณหม่ำ จ๊กม๊ก อย่าง “วงษ์คำเหลา” ที่คิดพล็อตคร่าวๆ ให้มันมีตอนต้นตอนท้าย แล้วในระหว่างทางก็ “ตบมุก” ไปเรื่อยๆ หรือถ้าจะพูดให้ชัดขึ้น ผมว่า บางที ทีมสาระแนอาจจะแจ่มแจ้งแก่ตัวเองดีว่าไม่มี “ความสนใจ” มากพอที่จะสร้างสรรค์หนังที่ดีๆ เนียนๆ ได้ ก็เลย “หาทางออก” ด้วยการเลือกที่จะทำมันออกมาในลักษณะแบบบ้าๆ บวมๆ และมั่วแหลกกันไปเลย และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความหลุดโลกสุดเพี้ยน เพี้ยนตั้งแต่เนื้อหาที่พ่วงมากับวิธีคิดแบบทื่อๆ ตื้นๆ อย่างเช่น การจะเป็นลูกผู้ชายได้ต้องใช้ชีวิตหยาบๆ เถื่อนๆ อย่างการไปเที่ยวซ่อง หรือใช้กำลังตัดสิน (กระทืบคนแก่!!) เพี้ยนทั้งตัวละครและสิ่งของ ที่มีตั้งแต่ “แฝดนรกหัวติดกัน” (เสนาหอย, โก๊ะตี๋ อารามบอย) หรือแม้แต่รถสิบล้อที่กลายร่างเป็นหุ่นยนต์คนเหล็ก (ยืมวิชามาจาก Transformers แบบเต็มๆ) และเพี้ยนแม้กระทั่งสถานการณ์ในเรื่อง อย่างเช่น มีดกระเด็นไปเฉาะปากของน้าเชจนฟันหน้าหลุดหลอ, มีดเล่มเดิมนั้นผ่าลงหัวของคู่แฝดทำให้ทั้งคู่หลุดออกเป็นอิสระจากกัน และที่ต้องบอกว่า “บ้า” อย่างสุดกู่ ก็คือผีสาวเข้าสิงรถสิบล้อแล้วทำให้รถสิบล้อพูดได้แถมร้องไห้ซิกๆ นั่นแหละครับ ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด กว่าจะได้ไอเดียนี้มา (อันนี้ไม่ได้แขวะนะครับ แต่ทึ่งจริงๆ ว่าคิดได้ไง)..” สรุปง่ายๆว่า..เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้ว รู้สึกสึกเสียดายตังค์มากกกกๆๆ ..และตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ดูหนังของค่าย Luck film อีกแล้ว

รถเมล์เหี้ย เหี้ย

เรื่องทั่วไป, ไดอารี่ 19 January 2011

การขึ้นรถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถตู้ หรือรถแท็กซี่เหมือนการซื้อหวย!! ต้องลุ้นเสมอๆว่าจะเจอโชเฟอร์นิสัยดีมั้ย? ขับรถดีมั้ย รถเหม็นมั้ย ฯลฯ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยถูกหวย มีแต่เฉียดๆ อย่าไปคาดหวังถึงรางวัลที่หนึ่ง เพราะไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า เท่าที่เคยขึ้นรถเมล์ รถตู้ และรถแท็กซี่มา คิดว่าเจอมาเกือบทุกประเภทแล้ว ตั้งแต่สูบบุหรี่บนรถ อันนี้นรกมากๆ เคยเจอทั้งบนรถแท็กซี่และบนรถเมล์(ร่วมบริการ) สาย 92 รถตู้ไม่เคยเจอสูบบุหรี่ เคยเจอแต่ขับเลวมากๆ ปาดซ้ายปาดขวา จี้ก้น เบรกหัวทิ่ม ออกตัวแรง ผู้โดยสารนั่งบนรถแทบจะอ๊วก เท่านั้นยังไม่พอ การพูดการจากับผู้โดยสารต้องบอกว่า “ต่ำ” และไม่ให้เกียรติเลย เคยเจอรถตู้ที่แอบขึ้นราคากับผู้โดยสารอย่างหน้าด้านๆ ก่อนซื้อหวยต้องอธิษฐานขอให้ถูก ก่อนขึ้นรถเมล์ก็คงต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน!! ปล. ชื่อเรื่องได้รับอิทธิพลจากน้าเน็ก

สติมา อย่าประมาท

เรื่องทั่วไป 27 June 2008

To love and to be loved is the greatest happiness of existence. การรักและมีคนรักคือความสุขทิ่ยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่. พูดถึงความสุข แต่ละคนก็มีความสุขแตกต่างกัน สุขมากสุขน้อย แตกต่างกันไป เมื่อไรที่มีความสุข ความทุกข์ก็รอโอกาสจะเข้ามาแทนทีอยู่ร่ำไป เหมือนกับมีกลางวัน ก็มีกลางคืน มีมืดก็มีสว่าง มีร้อนก็มีเย็น ฯลฯ  ไม่ค่อยจะมีความพอดีแบบ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เลย มีแต่สุขนิดหน่อย ทุกข์นิดหนึ่ง แต่หลายคนบอกว่าความสุขนะไม่มีหรอก มีแต่ความทุกข์มาก กับความทุกข์น้อยเท่านั้นแหละ ตรงที่มีความทุกข์น้อยนี่เอง บางคนเรียกว่า “ความสุข” แต่จะสุขหรือทุกข์ ก็ไม่สำคัญเท่า ความอยู่อย่างรู้ตัว ที่พระท่านเรียกว่า สติ การมีชีวีตอยู่อย่างมีสติรู้เท่าทันความคิดทุกขณะ ทุกอิริยาบถ เป็นการมีชีวิตอยู่ที่ประเสริฐ ธรรมะอีกข้อหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน นั่นคือ ความประมาท  อยากให้ดูรูปด้านล่างนี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนะครับ พระท่านว่า ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตาย ภาพนี้อธิบายได้ชัดเจนทีเดียว ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาทกันนะครับ.   ป.ล. เดี๋ยวนี้จะเขียนอะไรสักที ทำไมมันฝืดนักนะ ~ ไม่เหมือนเมื่อก่อน เขียนได้เป็นคุ้งเป็นแคว 🙁

อ่านต่อ

บ้านกรูด ทะเล – สวย – สงบ

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 17 April 200923 September 2016

ปีใหม่แบบไทยๆ สาดน้ำ ปะแป้ง รดน้ำ ดำหัว ยึดรถเมล์ เผารถ ไล่กระทึบ ยิง ฟัน ฆ่า ฯลฯ กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ไปอีกวัน นอกจาก 6 ตุลา , 14 ตุลา, พฤษภาทมิฬ , 7 ตุลา และล่าสุดสดๆร้อนๆ 12 เมษา คนไทยแบ่งเป็นฟักฝ่ายโดยแยกตามสี สีใหญ่ๆมี 2 สี แต่ไม่แน่ใจในอนาคตจะมีสีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ สีน้ำเงินที่โผล่มาแค่วันเดียวก็หายไป อาจจะเป็นสีเฉพาะกิจ แต่จะสีไหนก็ตาม เสื้อผ้าทั้งสองสีของผม ถูกพับเก็บไว้ในตู้มิดชิด ไม่ยอมใส่มันอีกต่อไป (ถึงจะชอบแค่ไหนก็ตาม)   วกมาเรื่องตัวเองบ้างดีกว่า สงกรานต์ปีนี้ก็เหมือนทุกๆทีครับ ..ไปทะเล ผมไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ พี่น้อง หรือญาติผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์นานแล้ว..(จนลืมไปแล้วว่า วันสงกรานต์ต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะถูกต้องตามจารีตประเพณี) จารีตประเพณีที่บังคับให้เราทำอะไรเหมือนๆกันในวันเดียวกันนี่เอง ทำให้เกิดปัญหา~ ปัญหารถติดเพราะต้องออกไปไหว้ผู้ใหญ่ในวันเดียวกัน ปัญหาสถิติคนตาย ปัญหาคนตกรถ อุบัติเหตุ ฯลฯ   เราถูกตั้งกฏ(โดยสื่อหรือใครก็ไม่รู้)ให้รักแม่รักพ่อปีละครั้ง รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ปีละ 3 วัน มีการรณรงค์ส่งเสริมให้ไปไหว้พ่อไหว้แม่ในวันดังกล่าว จนคนที่รักพ่อรักแม่อยู่ทุกวัน ไหว้พ่อไหว้แม่อยู่ทุกวัน รู้สึกไม่มั่นใจว่าที่ทำๆทุกวันนั่น ใช่รักพ่อรักแม่รึยัง? ต้องรีบไปไหว้เป็นพิเศษในวันนั้นให้ได้ ส่วนคนอื่นๆที่พ่อแม่อยู่ไกล ก็ต้องรีบออกจากบ้านออกเดินทางพร้อมกันในวันเดียวกัน จะไม่ไปก็ไม่ได้ เปิดทีวีช่องไหน ก็มีแต่ภาพดาราไหว้พ่อไหว้แม่ กอด จูบพ่อแม่อยู่นั่น จนคนดูเริ่มรู้สึก (แรกๆแค่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่ แต่หลังๆชักรู้สึกมั่นไส้) ผมก็ไม่ได้แอนตี้ประเพณีแบบนี้กันหรอกนะครับ เพียงแต่ว่า ปีละครั้ง มันพอเหรอ?? รณรงค์ ส่งเสริมกันแค่ปีละครั้งเองเหรอ คนที่รักพ่อแม่จริงๆ ทำได้ทุกวันง่ายๆ ทำตัวให้เป็นคนดี จะทำอะไรไม่ดีก็ขอให้คิดถึงท่านก่อน ก่อนนอนกราบพระและระลึกถึงท่าน อุปัฏฐาก บำรุง ดูแล ตามสมควร ฯลฯ เอาละ พูดมาเยอะแยะนั่นนะ ความรู้สึก ความเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ ไม่ต้องเห็นร่วมก็ได้ เอาภาพที่หนีกรุงเทพฯไปเที่ยวทะเลมาฝาก (ต้องใช้คำว่าหนีจริงๆ เพราะวันที่ไปนั่นนะ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดแล้ว…

แบ่งตามหมวด

  • say (8)
  • กลอน (1)
  • คุยกับคอม (9)
  • ช่วยชิม (11)
  • ท่องเที่ยว (61)
  • บ่น (35)
  • บ้านบ้าน (16)
  • พูดจาภาษาฝรั่ง (9)
  • วิ่ง (26)
  • สุขกะภาพ (74)
  • เพลงสั้น (11)
  • เรื่องทั่วไป (88)
  • เรื่องยาว (9)
  • เรื่องสั้นสั้น (52)
  • แมคบุค (4)
  • ไดอารี่ (63)

Copyright © 2020. All rights reserved.

Contact me : nevikup@gmail.com
Facebook.com/aroundmeTH