รักข้ามมิติ (ตอนจบ)
ในค่ำคืนแห่งวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทิวเขายามสัมผัสกับแสงแห่งพระจันทร์ดูราวกับเงาปีศาจยืนเรียงราย
Find your Heart, Find the Happiness.
เรื่องราวที่ร้อยเรียงด้วยจินตนาการและการแต่งเติมเพื่อเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ในค่ำคืนแห่งวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทิวเขายามสัมผัสกับแสงแห่งพระจันทร์ดูราวกับเงาปีศาจยืนเรียงราย
นิดตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน เวลาเช้าของเธอนั้นต้องบอกว่าเช้าจริงๆ เพราะเธอออกจากบ้านในเวลาตี 5 เธอต้องตื่นไปจ่ายตลาด เพื่อทำข้าวแกงให้ทันขายในเวลาเที่ยง เช้าวันนี้หน้าคอนโดเงียบกว่าที่เคย หรือเธอรู้สึกไปเอง อาจเพราะยามลาไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงทำให้ไม่มีใครทักทายในเวลาเช้าเช่นทุกวัน เธอค่อยๆถอยรถกระบะคู่ใจอย่างช้าๆ แม้จะรู้สึกสลึมสลืออยู่บ้าง แต่ความเคยชินบวกกับความที่ขับรถมานาน เธอจึงขับรถได้อย่างกระฉับกระเฉง เนื่องจากรถจอดอยู่บนที่ชัน แค่ปลดเบรกมือ มันก็ค่อยๆไหลลง ขณะที่รถค่อยๆไหลลงมาได้ครึ่งทาง มันกลับติดแง็กอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมไหลถอยมาให้ถึงถนนใหญ่ นิดรู้สึกแปลกใจ เพราะทุกครั้ง เธอไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งเพื่อถอยรถเลย แตะเบรกอย่างเดียวเพื่อกันไม่ให้รถไหลลง เธอแตะคันเร่งนิดนึง เพื่อให้รถถอยไปได้ เมื่อรถค่อยๆขยับ เธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ใต้ท้องรถ!! รถของเธอกำลังเหยียบสิ่งที่มีลักษณะนุ่มเหมือนสิ่งมีชีวิต!!! แต่ไม่น่าจะใช่สิ่งมีชีวิต เพราะไม่มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดใดๆเล็ดลอดออกมา ถึงกระนั้นนิดก็ใจคอไม่ค่อยดี เธอจึงรีบลงจากรถมาดู ภาพที่ปรากฏต่อหน้า แทบทำให้เธอล้มทั้งยืน มันช่างน่าสยดสยอง ลมในท้องปั่นป่วน เหมือนอวัยวะภายในได้รับความวุ่นวายอย่างหนัก เธอถึงกับหน้ามืด แต่ยังประคองตัวได้ไม่ให้เป็นลม ก่อนจะไปเรียกใครต่อใครมาให้ช่วยดูสิ่งที่เกิดขึ้น สุนัขท้องแก่ นอนอยู่ในสภาพไร้ลมหายใจ ท้องไส้กระจัดกระจายไปรอบๆ กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณ ลูกน้อยๆในท้องประมาณ 5-6 ตัว ขาดใจตายเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าสุนัขท้องแก่นี้ตายเพราะอะไร ถึงนิดจะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ได้ตายเพราะน้ำมือของเธอ แต่สภาพศพที่เละเลือดนองพื้น เกิดขึ้นเพราะฝีมือเธอแน่ๆ สีนวลเป็นสุนัขท้องแก่ ที่ลุงเกิดรับมาอุปการะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สีนวลเป็นสุนัขหลังอานไทยแท้สีน้ำตาลอ่อน ลิ้นมีสีดำแต้ม แสดงถึงลักษณะของสุนัขฉลาด แสนรู้ และซื่อสัตย์ ลุงเกิดพบมันขณะขับแท็กซี่ไปส่งผู้โดยสารในทางเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมันมีอายุเพียงขวบกว่า ถูกรถเฉี่ยวนอนรวยรินอยู่ข้างทาง ลุงเกิดนึกสงสารจึงรับกลับมาปฐมพยาบาล และให้ป้าเนียร ภรรยาของแกที่มีอาชีพขายของในร้านโชว์ห่วยใต้คอนโดช่วยดูแล หลังจากรักษาจนหาย ก็ไม่ได้ขังหรือหน่วงเหนี่ยวมันไว้แต่อย่างใด แต่เจ้าสีนวลก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ทุกคนในคอนโดต่างให้ความเอ็นดูสีนวล เพราะมันเป็นสุนัขที่น่ารัก เล่นได้กับทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆ และจะเห่าอย่างดุร้ายเมื่อพบว่ามีคนแปลกหน้า ทำท่าทางพิรุธผ่านมา “ไม่มีเหตุผล ที่สีนวลจะถูกฆ่า นอกจากอุบัติเหตุ” หมวดสรวัฒน์ ผู้อาศัยในคอนโดชั้น 11 ตั้งข้อสันนิษฐาน “หมวดจะบอกว่า สีนวลถูกรถทับตายงั้นเหรอ? แล้วทำไมขณะถูกรถทับมันไม่ร้องสักเอ๋ง มันชัดเจนอยู่แล้วว่ามันตายก่อนหน้านั้น ทำไม..” “ฟังผมให้จบก่อนสิพี่พัน. ผมไม่ได้จะบอกอย่างนั้น อุบัติเหตุที่ว่า ผมหมายถึง งู หรือตะขาบกัดตาย” “แถวนี้มันเคยมีสัตว์แบบนั้นด้วยหรือหมวด ตั้งสมมติฐานให้สมกับเป็นตำรวจหน่อยสิคร้าบ” พันเริ่มเรียงดัง เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับอาชีพของเขา พันขับรถเมล์ร่วมบริการ…
นานมาแล้ว..มีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งเธอเป็นพระธิดาองค์เดียวของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นอี้เทียน ทรงมีพระนามว่า เทียนฟู่ เป็นพระราชาหม้ายมาหลายปี พอเจ้าหญิงมีอายุ 20 ปี พระราชาทรงประสงค์จะให้เธอมีพระสวามีด้วยความที่ตลอดเวลา 20 ปี เจ้าหญิงไม่เคยพบปะสนทนาพูดคุยกับชายใดเลย พระนางจึงรู้สึกตื่นเต้น และขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวที่จะต้องคุยกับบุรุษเพศ “บุรุษนี่ เขาพูดจากันยังไงน่ะ?” เธอถามหญิงรับใช้หญิงรับใช้คนที่หนึ่งซึ่งมีอายุเท่าองค์หญิงทูลว่า “ชื่อว่าบุรุษนั้น เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยน ให้เกียรติต่อสตรีเสมอ คำพูดทุกคำล้วนเปี่ยมด้วยคำอ่อนหวาน”“บุรุษมีแต่คำพูดเหลาะแหละเชื่อถือไม่ได้ คำพูดจาไม่ได้ต่างจากร่างกายที่กระด้างของเขาเลย” หญิงรับใช้วัย 25 กล่าวบ้าง“บุรุษทุกคนคอยแต่หาโอกาสจากสตรีเพศ คิดแต่เรื่องลามกสกปรก” หญิงรับใช้วัย 30 กล่าวองค์หญิงรู้สึกสับสนกับคำตอบที่ขัดแย้งกัน จึงถามยังหญิงรับใช้ที่สูงวัยบ้าง“อันบุรุษหรือสตรีหามีความแตกต่างกัน ด้วยทั้งสองต่างเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน บุรุษหรือสตรีจะดีหรือไม่ดี ก็เพราะตัวของเขาเองหาเกี่ยวกับเพศไม่ เพียงเพราะบุรุษคนเดียวที่เราได้รู้จัก ไม่อาจตัดสินบุรุษทั้งโลกได้ และไม่ควรทำอย่างนั้น..” เจ้าหญิงทรงพอพระทัยกับคำตอบนี้มาก เพราะทำให้พระองค์เปลียนทัศนคติที่เคยมีต่อบุรุษใหม่ บุรุษไม่ใช่คนที่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด เมื่อข่าวเรื่องการประกาศหาคู่สมรสขององค์หญิงกระจายออกไป เจ้าชายตามเมืองต่างๆ ก็ต่างจัดขบวนมาสู่ขออย่างมิคาดสาย เมื่อมีมาก เพื่อความยุติธรรม พระราชาจึงตรัสในสมาคมนั้นว่า..”เนื่องจากเจ้าชายมากมายต่างมาสู่ขอองค์หญิง เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านให้ความรักต่อธิดาของเรา แต่เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับธิดาของเรามากที่สุด สมบัติใดๆอย่างอื่นเราไม่ต้องการ เราต้องการคนที่มีความรักต่อธิดาของเราอย่างแท้จริง” มีเสียงจอแจของเหล่าบุรุษผู้มาแสดงตนเพื่อขอเป็นราชบุตรเขยเสียงเหล่านั้นถูกสะกดให้เงียบด้วยเสียงอันน่าเกรงขามของพระราชา “ห่างจากเมืองนี้ ชั่วภูเขา 12 ลูก มีสวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ ณ ที่นั้นมีเพียงดอกไม้ดอกเดียวที่มีความโดดเด่น ไม่เหมือนดอกใดๆในโลก ซึ่งลูกของเราชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง หากใครสามารถนำดอกไม้ดอกนั้นมากำนัลแด่ธิดาของเราในวันฉลองวันเกิดครบ 20 ปี เราจะมอบธิดาให้แก่บุรุษคนนั้น แต่เราขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้ด้วยว่า สวนดอกไม้แห่งนั้นล้วนรายล้อมด้วยอันตรายที่ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ขอให้พวกท่านจงระวังตัว คนที่ได้ดอกไม้มา ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถเหมาะสมแก่ธิดาของเรา การคัดเลือกราชบุตรเขยเริ่มต้น ณ บัดนี้..”
ชายชราสีหน้าเปื้อนยิ้ม เสยผมที่ขาวโพลน ก่อนเอ่ยปากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “ข้าอกหัก” ผู้ที่ใครๆรู้จักในนามลุงมา ผ่านโลกมาแล้วกว่า ๖๐ ปี กว่าครึ่งของอายุแกใช้ชีวิตในชุดสีเขียวเข้ม นั่นคือ เครื่องแบบทหาร ไม่ใช่ข้าราชการทหารทั่วไป แต่ทว่า แกคือทหารป่าลาดตระเวน เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว แกถูกเกณฑ์ทหาร ไม่ต้องรอให้ใครบังคับ แกเลือกที่จะสมัครไปเป็นทหาร แกเชื่อว่าแกเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และแกจะซื่อสัตย์ต่อคำตอบท่ีเคยตอบครูไปเมื่อสมัยอนุบาลว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร นักเรียนชายเกือบทั้งห้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากเป็นทหาร แต่เอาเข้าจริง เห็นมีแกอยู่คนเดียวที่สมัครเป็นทหาร ลุงมาเข้ารับการฝึกซ้อม เป็นทหารผู้มีระเบียบวินัยเคร่งครัดคนหนึ่ง เมื่อจวนเจียนจะครบกำหนด ๒ ปีที่ต้องอำลาชีวิตทหาร เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติที่ชายแดน ทหารทุกหน่วยถูกเรียกให้ไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ นั่นรวมถึงลุงมาด้วย เลือดนายทหารผู้พึ่งผ่านการฝึกฝนอย่างทรหดปะทุเต็มที่ เหตุการณ์ไม่ปกติกลับเข้าสู่ความปกติภายใน ๑ เดือน ทหารฝ่ายลุงมาได้รับชัยชนะ แต่ต้องสูญเสียทหารหาญไปมิใช่น้อย ศพนายทหารหาญทุกนายล้วนถูกลำเลียงมาบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติ ทุกอย่างเกือบจะปกติ แต่เมื่อตรวจเช็คตามรายชื่อ มีชื่อตกหล่น ลุงมา ยังไม่กลับมา ลุงมามีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตแล้ว ไม่มีใครทราบ แต่ทุกคนมีความเห็นอย่างเดียวกันว่า เสียชีวิตแล้ว ในการบำเพ็ญกุศลศพนายทหารหาญครั้งนั้น จึงมีรูปลุงมาตั้งอยู่ แต่ไม่ปรากฏศพ “ลุงไปอยู่ไหนมา” ผู้ที่รอคำตอบอย่างจดจ่อ คือ ทิดลั่น ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าไปยังท้องทุ่งอันเขียววจี ต้นตาลริมถนนที่มุ่งหน้าไปยังทุ่ง ตั้งเป็นแถวเรียงราย สายลมพัดต้นข้าวโอนเอนราววงดุริยางค์ประโคมดนตรีขับขาน “ข้าหนึข้าศึกเข้าป่าใหญ่ แต่แกรู้ไหม ที่ป่าใหญ่นั้นมีอะไรรอข้าอยู่” “ไม่รู้” “ข้าได้พบกับโลกใหม่” “ยังไงละลุง” “ที่นั่นนะ ผู้คนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ถักกันเองอย่างเรียบๆ ปลูกบ้านหลังเล็กๆ ทั้งหมู่บ้านไม่น่าจะถึง ๕๐ คน ทุกคนล้วนสื่อสารด้วยภาษาที่ข้าไม่เข้าใจ” “แล้วลุงทำไง” “ข้านั่งอยู่สักพัก เขาก็เอาผลไม้มาให้ข้า คล้ายๆลูกพุทรานะ แต่ลูกใหญ่เท่าส้มโอ” “โอ้โห..แล้วรสชาติเป็นไงลุง?” ทิดลั่นทำท่าตื่นเต้น “เหมือนมันแกว แต่หวานกว่า” “แล้วไงต่อ..ลุง” “ข้าใช้ชีวิตที่นั่นตามวิถีของคนที่นั่น ข้าลืมบ้านเมืองเราโดยสิ้น เพราะที่นั่นไม่มีเสียงรถ เสียงก่นด่า ไม่มีข่าวโหดร้าย ไม่มีคนโกง ไม่มีคำหยาบ ไม่มีควันบุหรี่ ไม่มี..” “พอๆๆ ลุง แล้วลุงอยู่ได้เหรอ ก็ไอ้ที่ไม่มีๆที่ลุงพูดมานั่นนะ มันมีในตัวลุงทั้งนั้นเลยนา”…
เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะรถวิ่งพล่าน เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จาก ๓๐ นาที เข้าสู่นาทีที่ ๓๑ จากป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนเพียง ๔-๕ คน เพิ่มเป็น ๑๐-๑๕ คน รถเมล์เป้าหมายยังมาไม่ถึง แม้จะเร่งรีบ แต่เขาก็เข้าใจในความจริงที่ว่า มีหลายอย่างในโลกนี้ ที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของเรา การแสดงอาการร้อนรน คำสบถด่า การบ่น การด่ารัฐบาล มิได้ช่วยให้รถเมล์มาเร็วขึ้น ที่แย่กว่านั้น มันทำให้คนรอบข้าง หรือกระทั่งบรรยากาศแย่ไปด้วย เวลาผ่านไปอีก ๑๕ นาที รถเมล์ที่เขาเฝ้ารอมานานเดินทางมาถึง คนเกือบทั้งหมดในป้ายรถเมล์กรูขึ้นอย่างเร่งรีบ ส่งผลให้หญิงชรานางหนึ่งถูกเบียดเสียดเสียหลักล้มลงหน้าประตูรถเมล์ ข้าวของในมือร่วงกระจายเต็มพื้น ไม่ปรากฏผู้กระทำผิดลงมายอมรับผิดพร้อมยื่นค่าชดใช้หรือไม่มีแม้กระทั่งคำขอโทษ เขาเดินเข้าไปช่วยเก็บข้าวของ พร้อมตะโกนบอกรถเมล์ที่ทำท่าจะออกจากท่าให้หยุดรอก่อน กระเป๋ารถเมล์ทำท่าไม่พอใจ ไม่รู้แม่มันจะตายหรือยังไง ถึงต้องรีบอะไรขนาดนั้น เขาถือของให้หญิงชราแล้วค่อยๆพยุงให้เธอขึ้นรถอย่างระมัดระวัง บนรถเมล์แทบไม่มีแม้ที่จะยืน ไม่ต้องกล่าวถึงที่นั่งสำหรับหญิงชราวัย ๗๐ อย่างเธอ และไม่ปรากฏผู้ใดผู้หนึ่งเสียสละลุกให้เธอนั่ง“ขอที่นั่งให้คนแก่หน่อยครับ” เขาพยายามพูดอย่างสุภาพ พร้อมก้มตัวเล็กน้อยขอความเห็นใจ ชายผู้เป็นเจ้าของที่นั่งวัย ๓๐ ต้นๆ ลุกให้อย่างไม่เต็มใจ มีคำสบถเล็ดลอดออกจากมุมปาก แต่เขาไม่สนใจ ชายหนุ่มพาหญิงชราเข้าที่นั่งอย่างนิ่มนวล“ขอบใจนะ พ่อหนุ่ม” เขายิ้มแทนคำตอบ รถเมล์ค่อยๆผ่าดงรถติดทีละนิด จนกระทั่งลุถึงที่หมายปลายทาง เขาขยับตัวยืนรอที่หน้าประตูรถเมล์ก่อนถึงป้ายประมาณ ๓๐ เมตร กดกริ่งเพื่อให้คนขับรู้ว่า ป้ายหน้ามีคนลง เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น โชเฟอร์เหลือบมองกระจกหลังดูผู้ที่จะลง เมื่อเห็นว่าเป็นเขา จึงแกล้งแถมให้อีก ๒ ป้าย เขายังนิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจ สบถ หรือก่นด่าสาปแช่ง รถเมล์จอดลง เขาลงจากรถอย่างเยือกเย็น หันมายิ้มให้โชเฟอร์และกระเป๋ารถเมล์อีกครั้งก่อนก้าวลงจากรถไป ถึงที่ทำงานแล้ว เขาเดินเข้าไปในตึกสูงตระหง่าน กดลิฟต์ไปยังชั้น ๒๖ภายในลิฟต์ยัดเยียดด้วยมนุษย์เงินเดือนที่ฟุ้งด้วยน้ำหอมจากนานาประเทศ ยกเว้นประเทศไทย ดูเหมือนว่า นอกจากเขาแล้ว คงไม่มีใครในลิฟต์ที่ใช้เสื้อผ้า ชนิด Made in Thailand ไม่น่าแปลกที่เขาถูกมองอย่างเหยียดๆ และไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกคนล้วนครองตัวด้วยชุดสูทโก้หรู เสื้อกางเกงเรียบแปร้ รองเท้าหนังมันแวววับ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเนียบไร้ที่ติ แต่น่าเสียดาย เขาเนียบเฉพาะภายนอก ภายในรกร้างยิ่ง หลายคนสีหน้าบึงตึง…
เมื่ออรุณรุ่ง พระอาทิตย์ฉายแสงยามเช้า เจ้าหญิงในร่างของดอกกระดาษ เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้น พอได้สติ เหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย ยังเข้าใจว่าตัวเองเพียงฝันไป แต่มันคงเป็นฝันที่ยาวนานยิ่ง เมื่อไรจะตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที “เธอ ๆ ๆ ได้สติแล้วเหรอ?” เสียงดอกไม้ดอกเดิมเรียกเธออีกครั้ง ครั้งนี้เองเธอจึงได้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป “ฉันชื่อจรรยา เธอชื่ออะไร” ดอกกระดาษสีเหลืองเอ่ย “ฉัน..น” เจ้าหญิงกล้ำกลืนน้ำตา รู้สึกสับสนในชีวิตยิ่ง แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเป็นฝัน อันไหนเป็นจริง ตอนนี้กำลังฝันอยู่หรือว่าช่วงเวลาที่เป็นเจ้าหญิงนั้นเป็นฝันกันแน่ “เธอไม่ต้องร้องไห้หรอก ช่วงแรกๆเราทุกคนก็เป็นเหมือนเธอกันทั้งนั้นแหละ” เจ้าหญิงปาดน้ำตา “พวกเธอเป็นยังไงเหรอ” “พวกเราทุกคนล้วนถูกสาป โดยแม่มดปีศาจ” “แม่มด” “ใช่ ดอกกระดาษที่เบ่งบานหลากสีเต็มท้องทุ่งนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ที่ถูกสาปทั้งสิ้น” “ท..ทำไม” “เมืองนี้ตั้งอยู่บนเขาที่ยากแก่การเพาะปลูกดอกไม้ เมื่อก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เมื่อองค์หญิงประสูติขึ้น พระราชาต้องการจะเอาใจองค์หญิงองค์นี้ จึงรับสั่งให้ปลูกดอกไม้ทั่วเมือง ทุกดอกล้วนปลูกขึ้นได้อย่างสวยสดงดงาม ยกเว้นดอกกระดาษ” “ทำไม” “ดอกกระดาษเป็นดอกที่ขึ้นได้เฉพาะพื้นที่ พระราชารับสั่งให้คนสวนผู้ชำนาญในการปลูกดอกไม้ทั่วเมืองมาปลูก ก็ไม่สามารถปลูกได้ ทรงกริ้วมาก อยากจะเอาชนะธรรมชาติ จึงรับสั่งว่า ถ้าใครสามารถปลูกดอกกระดาษได้ ถ้าอยากได้อะไรพระองค์จะพระราชทานให้ทันที!” “ครั้งนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งอาสาจะปลูกต้นไม้ โดยจะขอใช้เวลาเพียง ๑ เดือน พระราชาทรงอนุญาต และเมื่อครบ ๑ เดือน ดอกกระดาษหลากสีสันก็เต็มอุทยาน ในตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่านางใช้วิธีไหนเนรมิตดอกไม้เหล่านี้ แต่พร้อมๆกับการเบ่งบานของหมู่ดอกไม้ ก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นในเมือง นั่นคือ อยู่ๆชาวบ้านก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ครั้งละคนสองคน ตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้ แต่เดี่ยวนี้รู้แล้วว่า ที่หายไปนั้น หายไปไหน?” “หายไปไหน” เจ้าหญิงถามประสาซื่อ “ก็ถูกนำสาปเป็ดอกไม้อยู่นี่ไง” “พระราชาทรงพอพระทัยมาก จึงรับสั่งถามว่า เจ้าอยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน? หญิงนั้นตอบว่า หม่อมฉันมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งอายุเท่าๆกับองค์หญิง พ่อของเด็กเสียชีวิตตั้งแต่ลูกยังเล็ก หม่อมฉันเพียงหวังให้ลูกเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งคู่กับพระราชธิดา เมื่อหญิงนั้นกล่าวจบ พระราชาทรงกริ้วมาก ถือว่าเป็นการหลบลู่ ไม่รุ้จักฟ้าสุงแผ่นดินต่ำ โทษครั้งนี้ถึงกับต้องถูกประหาร ๗ ชั่วโคตร แต่ด้วยความดีความชอบที่นางสามารถปลูกดอกไม้ที่ไม่มีใครสามารถปลูกได้ ถ้าจะฆ่าทิ้งเสียก็เสียดาย จึงรับสั่งให้นางเป็นคนดูแลสวน ปลูกดอกไม้ ห้ามออกจากสวนนั้นจนชั่วชีวิต” “หญิงคนนั้น ชื่ออะไร” เจ้าหญิงเอ่ย หลังจากฟังอย่างเลื่อนลอยอยู่นาน “ไม่มีใครรู้ว่านางชื่ออะไร…
รู้สึกตัวอีกครั้ง เจ้าหญิงกลับพบตัวเองโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ท่ามกลางทุ่งร้าง ที่ไม่มีใคร รอบข้างมีเพียงต้นไม้เหี่ยวเฉา ดอกไม้แห้งๆ ที่รอวันตายด้วย ขาดน้ำมาจุนเจือและขาดการดูแลมาแรมปี เจ้าหญิงพยายามพยุงตัวเองขึ้น แต่เรี่ยวแรงไม่รู้หายไปไหนหมด ” ช .. ช ช่วย..ด” เสียงเจ้าหญิงยังคงเครืออยู่แค่ลำคอ ยามเมื่อลมพัดมา ก็โอนเอนไปตามแรงลมอย่างไร้แรงต้าน เจ้าหญิงหลับตาพยายามรวบรวมสติและคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เมื่อคืน .. ใช่..เมื่อคืนมีงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเธอ พอเวลาก้าวเข้าสู่ยามสอง เธอก็เข้าสู่วัย ๒๐ บริบูรณ์ ข้าราชบริพาร พ่อค้าประชาชน เสนาอำมาตย์ ต่างจุดพลุบรรเลงเพลงรื่นเริง เป็นคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว แสงไฟที่พวยพุ่งจากการจุดของเหล่าพนักงาน ช่วยแต่งเติมท้องฟ้าให้งดงามยิ่งนัก เสียงโห่ร้องก้องกู่ไม่ขาดสาย ของกำนัลนานัปประการจากเมืองเพื่อนบ้านที่ร่วมแสดงความยินดี บิดากับมารดายืนเคียงข้างกันยิ้มร่วมดื่มฉลองในการเลี้ยงครั้งนี้ เวลาผ่านไป..อย่างมีความสุข เมื่อเค้กชิ้นใหญ่ที่สุดในเมืองที่สั่งทำเป็นพิเศษ จากการระดมของช่างเค้กมีฝีมือทั่วอาณาจักร เค้กชิ้นนี้ถือว่าเป็นเค้กมงคล หลังจากเจ้าหญิงเป่าเค้กแล้วจะแบ่งทุกชิ้นให้แก่ประชาราษฏร์ ก่อนการเป่าเค้กชิ้นใหญ่ มีการดับไฟทุกดวง มีเพียงแสงเทียน ๒๐ ดวงจากเค้กชิ้นโตนั้น เมื่อสิ้นสุดเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ เจ้าหญิงอธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนบนเค้กใบใหญ่ หลังจากเทียนแท่งสุดท้ายดับลง อันธการก็ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ… องค์หญิงจำได้แค่นั้น และเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็อยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่เธอไม่คุ้นเคย น่ากลัว และไม่มีใคร “นี่ เธอๆ เธอได้ยินฉันมั้ย” เสียงใครคนหนึ่งดังจากข้างหลังเจ้าหญิง แต่ไม่น่าจะเรียกเจ้าหญิง เพราะชั่วชีวิต ไม่เคยมีใครเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่กันเอง และไร้ความเคารพอย่างนี้ นางพยายามพยุงตัวเองขึ้นอย่างช้าช้า มองไปรอบๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีใคร มีแต่ความว่างเปล่า และลมพัดวูบวาบที่ทำให้ร่างเธอโอนเอน “เธอ เธอนั่นแหละ ฉันอยู่นี่” เสียงนั้นอยู่ใกล้เจ้าหญิงยิ่ง นางจึงมองไปตามเสียง เจ้าหญิงแทบสิ้นสติสมประดีกับสิ่งที่นางได้ประสบ เจ้าของเสียงนั้นเป็นดอกไม้สีเหลืองที่เหี่ยวแห้งรอวันตาย! เธอรู้จักดอกไม้ชนิดนี้ดี ดอกไม้นี้ชื่อว่า *ดอกกระดาษ เป็นดอกไม้ที่อยู่ได้นานวัน ไม่รู้จักโรย เมื่อถูกละอองน้ำค้างหรือน้ำเพียงเล็กน้อย ดอกจะหุบได้ ทุกเดือนเจ้าป้ากัญจนาวลัยผู้ดูแลอุทยานหลวงจะให้คนนำมาถวาย แต่ทุกดอกที่นางเคยเห็น ล้วนสดสวยไม่แห้งเหียวใกล้ตายเช่นนี้ เจ้าหญิงรวบรวมสติ แล้วเอ่ยขึ้น “ท..ที่นี่ คือ ที่ไหน ท..ทำไมดอกไม้พูดได้” “เธอก็ลองมองดูตัวเธอเองสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมดอกไม้พูดได้” เจ้าหญิงสำรวจตัวเอง นางแทบสิ้นสติอีกครั้ง เมื่อพบว่าตัวนางเองเป็นดอกไม้ ! โปรดติดตามตอนต่อไป ข้อมูลเพิ่มเติม…
ผมชื่อสระอา พงษ์พุฒิพงษ์ อายุ 22 ปี น้ำหนัก 60 สูง 172 จบครุศาสตร์ เอกภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง(เขาก็มีชื่อกันทุกมหาลัยนั่นแหละ) ปัจจุบันมีอาชีพเป็นดีเจ อยู่คลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง อาจมีคนสงสัยว่า จบครุศาสตร์ ทำไมมาเป็นดีเจ ทำไมไม่เรียนนิเทศตั้งแต่ต้นเลยละไอ้ทิด? ตอบง่าย ๆ ครับ แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร ที่เรียนครุศาสตร์ เพราะแม่เป็นครู พ่อเป็นเบาหวาน เอ้ย เป็นทหาร (แต่ตอนหลังท่านก็เป็นเบาหวานจริง ๆ นะแหละ) แม่ท่านก็อยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเป็นครูที่ดี เหมือนที่ท่านเป็น ทั้ง ๆ ที่ไม่ดูสารรูปลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เลย เกเรที่หนึ่ง ย้ายโรงเรียน 2-3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาเรียนที่โรงเรียนที่แม่สอนเองนะแหละ ที่ย้ายโรงเรียนนะไม่ใช่ไปตีกะใครที่ไหนหรอก แม่เองนะแหละ เห็นว่าโรงเรียนที่ตัวเองสอนไม่ค่อยดี อยากไปเรียนในตัวเมือง โรงเรียนดัง ๆ แต่พอไปเรียนไกลหูไกลตา ครูประจำชั้นก็รายงานกลับมาว่า ด.ช. สระอา พงษ์พุฒิพงษ์ ไม่เคยไปโรงเรียนเลย อะแหมม จะให้เข้าได้ไง รอบๆโรงเรียนพรั่งพร้อมไปด้วยร้านเกมส์ โต๊ะสนุ๊ก เธค บาร์ ข้าง ๆโรงเรียนบรรยากาศครึกครึ้น พอมองลอดรั้วไปในโรงเรียน เห็นครูหน้าดุ ๆ นักเรียนซึมๆ เซาๆ ใครจะอยากเข้าไปในโรงเรียนนั่นละ เป็นทัณฑสถานก็ไม่ปาน หลังจากพยายามเคี่ยวเข็ญ ขู่บังคับ จนจบมัธยมได้ แม่ปฏิเสธการตั้งใจจะเอ็นทรานซ์ของผม (จริงๆผมปฏิเสธการให้เอ็นทรานซ์ของแม่) เพราะรู้ว่าผลมันออกตั้งแต่ผมยังไม่เอ็นท์ แม่พาผมไปเรียนมหาลัยเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง อธิการบดีเป็นเพื่อนซี้กับแม่ (ทราบภายหลังว่าเป็นกิ๊กเก่าของแม่สมัยเรียนปี 1) ชีวิตผมจึงค่อนข้างสบายในรั้วมหาวิทยาลัย เรียน 2 วัน หยุด 5 วัน แม้ไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่เกรดเฉลี่ย 3.00 ก็ไม่เลวนัก นับว่าเป็นอานิสงส์จากกิ๊กเก่าของแม่แท้ ๆ หลังจากจบปริญญาตรี เป็นบัณฑิตสมใจแม่แล้ว ก็เตร่ไปเตร่มากับเพื่อนฝูง แม่ให้ไปสมัครสอบบรรจุเป็นครู วันนั้นผมอายประชาชีเป็นที่สุด มีที่ไหนโตเป็นควาย แต่งตัวก็วัยรุ่น ให้แม่พาไปสมัครสอบ ตอนกรอกใบสมัครแม่ก็นั่งประกบชี้ให้เขียนโน่น เซ็นต์นี่อีก…
{ต่อจากตอนที่แล้ว} สวัสดีคร้าบบบบ ..บ ผมดีเจสระอามาแล้วว เวลาขณะนี้ ตี 2.18 นาที ใครยังไม่หลับ หรือนอนกระสับกระส่าย ต่อสายพูดคุยกันได้ คืนนี้ไม่มีเหงา เพราะคุณอยู่กับเรา ..Radio Hello Test FM 999.99 Mz สายแรกเข้ามาแล้ววว ???????????????????????????????? สวัสดีครับบ ชื่ออะไรครับ “….อืออ อา “ ช่วยหรี่วิทยุหน่อยครับ เสียงแย่มากเลย “….หวืออ หว ..ว” ยังไม่ดีขึ้นเลย แนะนำให้ปิดวิทยุไปเลย ไม่งั้นคุยกันไม่รู้เรื่องนะครับ “เสียงใช้ได้รึยังครับพี่” > เป็นน้องผู้ชายหรอกเหรอ เออ งั้นสงสัยคลื่นไม่ค่อยดี ไว้โอกาสหน้าค่อยโทรมาใหม่นะครับ เราจะรับสายที่สองกันเลยย .. ฮัลโหลลล สวัสดีครับ “สวัสดีค๊า..” เสียงสดใส น่ารักเชียว ชื่ออะไรครับ “น้ำฝนค่ะ” น้องน้ำฝน กี่ขวบแล้วเนี่ยะ แล้วทำไมยังไมยังไม่นอนอีก “เรียนอยู่ม.5 ค่ะ ฟังพี่ทุกวันเลย ชอบมากเลย เนี่ยะฟังมาหลายปีพึ่งกล้าโทรมาวันนี่แหละ” “น้องจ๋า cheap jerseys พี่ดีเจสระอา พึ่งจัดรายการวิทยุยังไม่ถึงอาทิตย์เลยจ๊ะ” “อ่ะหรอ นี่คลื่นHot wave ป่าวค๊ะ?” น้องเลื่อนไปอีกคลื่นข้าง ๆเลยจ๊ะ ..ปุ๊ป ตัดสายไปเลยย แหมมเราก็หลงดีใจ ถึงว่าปกติรายการเราไม่ผู้ชาย ก็คนแก่ ๆ โทรมา วันนี้เด็กมัธยมโทรมาเราก็หลงดีใจซะ ยังไม่มีสายเข้ามา ไปฟังเพลงก่อนนะครับ requestมาจากน้องแนท กับเพลงดาวลูกไก่ Uniforms ขับร้องโดยพร ภิรมย์ เอามาขับร้องใหม่โดยพี่เบิร์ด “………………” สวัสดีครับ ชื่อคุณอะไรครับ “ปรางค์ค่ะ” คุณปรางค์ทำอะไรอยู่ครับ ยังไม่นอน “มีเรื่องกลุ้มใจมากค่ะ นอนก็นอนไม่หลับ อยากจะระบาย ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง” เรื่องมันเป็นยังไงละครับ “คืองี้นะค่ะ ปรางค์ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งนะค่ะ สมมติว่าชื่อ ธ ละกัน…