จอมบึงมาราธอน ครั้งที่ 33, กับมาราธอนครั้งที่ 2 ในชีวิต

ตั้งแต่ไปร่วมงานจอมบึงมาราธอนเมื่อปีที่แล้ว ครั้งกระนั้นวิ่งในระยะ 21.5 หรือฮาล์ฟมาราธอน เห็นบรรยากาศและสนามวิ่งแล้ว ก็ปฏิญาณกับตัวเองว่าครั้งหน้าจะต้องมาในนามของมาราธอนให้ได้ และวันนั้นก็มาถึง

บรรยากาศและความรู้สึกไม่แตกต่างจากเดิมเลย ความคึกคักจากนักวิ่งที่มาจากทุกสารทิศทำให้บรรยากาศในอำเภอเล็กๆอย่างจอมบึงแน่นขนัดขึ้นมาทันตา สีสันการตกแต่งข้างทาง รวมถึงอัฒจรรย์สำหรับกองเชียร์ยิ่งทำให้บรรยากาศข้างทางมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะกองเชียร์แบบชาวบ้านๆ ที่หาได้ไม่ง่ายนักที่ทั้งหมู่บ้านจะร่วมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อสนับสนุนงานวิ่งระดับชาวบ้าน แต่มีตำนานระดับประเทศ

ปีนี้จอมบึงใช้สโลแกนว่า “มาราธอนระดับตำนาน The Legend Marathon” ซึ่งก็สมชื่อ นักวิ่งมาราธอนย่อมต้องรู้จักจอมบึง โดยเฉพาะปีนี้จัดเป็นปีที่ 33 แล้ว

 

The Legend MARATHON

สิ่งที่สร้างความปลาบปลื้มแก่นักวิ่ง และชาวจอมบึงทุกคนอีกเรื่องหนึ่ง คือ พระองค์ภาฯ ยังคงมาร่วมวิ่งด้วยอีกเช่นปีที่แล้ว แต่ปีนี้ลดระยะจากฟูลมารธอน เป็นฮาล์ฟมาราธอน พระองค์ทรงแข็งแรงมากจริงๆ

เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของมาราธอน และแม้จะซ้อมน้อยกว่าครั้งแรกมาก แต่ความตื่นเต้นต้องยอมรับว่าน้อยกว่าครั้งแรก ไม่มีความกังวล ความสนุกก็บังเกิด กินข้าวอร่อย นอนหลับสบายดี

พูดถึงที่นอน ผมเอาเต๊นท์ไปกางอีกเช่นเคย และได้กางตรงจุดเดิมของปีที่แล้วชนิดที่ว่าเปะๆทุกตารางนิ้ว ปีนี้มีแฟนไปด้วย แต่เต๊นท์ของเราใหญ่พอที่จะนอนอย่างมีความสุข

ถ้าจะติดขัดหน่อยก็เรื่องห้องน้ำ ไม่เข้าใจว่าปีนี้เกิดอะไรขึ้นถึงลดจำนวนห้องน้ำลง ทั้งห้องอาบน้ำและห้องสุข ซ้ำร้ายห้องสุขาแบบชั่วคราวไม่มีเลย ช่วงเช้าเลยเกิดอาการชุลมุนพอสมควร

ระยะฟูลมาราธอนปล่อยตัวตอนตี 4 ผมไปถึงจุดปล่อยตัวตั้งแต่ตี 3.30 นอนหลับสบาย พักผ่อนได้เต็มที่ งานนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง

ถึงเวลาปล่อยตัว ผมวิ่งด้วยเพชที่ซ้อมมาประมาณ 6.30 – 6.45 ช่วง 10 กิโลเมตรแรกเกิดอาการที่เรียกว่า “เมา” จนมีความคิดในหัวแ่บหนึ่งว่า “จะไม่วิ่งต่อ”

อาการ “เมา” ที่ว่าคือ เมากลิ่น เนื่องจากทางวิ่งต้องผ่านหมู่บ้าน ช่วงหนึ่งต้องผ่านคอกหมูซึ่งมีกลิ่นขี้หมูค่อนข้างแรง ผมมีอาการคลื่นไส้ ท้องปั่นป่วน วิ่งไปก็พิจารณาร่างกายตัวเองไปตลอดเวลาว่าเกิดอะไรขึ้น และจะแก้ไขอย่างไร แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมันไปได้ด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ และวิ่งด้วยท่าที่ผ่อนคลาย ไม่เกร็งไหล่ ใช้ความเร็วสม่ำเสมอจนที่สุดอาการก็ปกติ

ผ่านกิโลเมตรที่ 15 ต้องบอกว่าอากาศเย็นสบาย การวิ่งก็สบายไปด้วย วิ่งแซงคนแล้วคนเล่าอย่างสนุกสนาม แต่ก็ยังอยู่ในความเร็วของตัวเอง

เข้าสู่กิโลเมตรที่ 20 การวิ่งมาราธอนที่มีเส้นทางวิ่งแบบย้อนกลับทางเดิม จะเหนื่อยใจก็ตรงนี้แหละครับ ตรงที่เห็นบรรดาขาแรงทั้งหลายกลับตัวมาแล้ว แต่เรายังไม่เห็นจุดกลับตัวเลย จริงๆร่างกายยังไม่เหนื่อย แต่เหมือนใจจดจ่อตรงจุดกลับตัวจนเกินไป คนแล้วคนเล่าที่กลับมาและวิ่งผ่านเราไป ใจก็ยิ่งท้อแท้ ..ตรงนี้ต้องเร่งสร้างกำลังใจให้ตัวเองอย่างหนัก เพิ่มสปีดได้ก็ต้องเพิ่มตรงนี้ เพื่อยกใจให้แข็งแรงขึ้น

กิโลเมตรที่ 25 จุดกลับตัว ถึงแม้เรี่ยวแรงยังเหลือเฟือ แต่ความเจ็บจากคริวในกิโลเมตรที่ 25 เมื่อครั้งบางแสนมาราธอน ทำให้ผมกลัว ผมลดความเร็วลงและหยิบเจลที่ติดตัวมาเพียง 1 ซองจากการแจกฟรีที่หน้างาน ประวัติศาตร์ต้องไม่ซ้ำรอย ผมเหลือบมองทางข้างหน้าใจประหวั่นเล็กน้อย ข้างหน้าเป็นเนินยาว บางคนเรียกมันว่า “เนินดูดวิญญาณ”

กิโลเมตรที่ 30 จุดนี้มีของกินเยอะแยะมากมาย แตงโม กล้วย สัปปะรด น้ำเต้าหู้ ข้าวต้มมัด ลูกอม กองเชียร์จากชาวบ้าน เด็กนักเรียน ส่งเสียงอย่างสนุกสนาน จนนักวิ่งบางคนเผลอไปร่วมเต้นด้วยเป็นที่สนุกสนาน

กิโลเมตรที่ 35 ผมเฝ้าดูร่างกายตัวเองมาตลอดทาง ณ ตรงนี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าแรงเริ่มตก แต่โชคดีที่ท้องได้รับอาหารทั้งแตงโมง ขนมปัง และกล้วนตากที่พกมาเอง ทำให้ร่างกายยังสามารถดูดซึมพลังงานมาใช้ได้บ้าง จนถึงตรงนี้ผมยังไม่ได้หยุดเดิน มีแต่หยุดกินน้ำตามจุดต่างๆ

กิโลเมตรที่ 40 ผมหยุดเดินทุกครั้งที่วิ่งครบกิโลเมตรหนึ่ง ช่วงท้ายๆมีจุดให้น้ำถี่มากขึ้นกว่าเดิมอีก เหลืออีกแค่ 2 กิโลเมตรแต่จิตใจรู้สึกไกลเหลือเกิน แดดเริ่มมานั่นแสดงว่าเราต้องรีบแล้ว

กิโลเมตรที่ 42 ก่อนถึงเส้นชัย 500 เมตร ผมใช้สปีดที่เหลือทั้งหมดที่มีเพื่อเข้าเส้นชัยให้ไวที่สุด และเข้าเส้นชัยในเวลา 4 ชั่วโมง 51 นาที

 

จบแล้วครับ มาราธอนครั้งที่ 2 ที่จอมบึงมาราธอนของผม

ปีนี้วิ่งเพื่อตัวเองน่าจะเพียงพอแล้ว เป้าหมายต่อไป คือ วิ่งเพื่อคนอื่น.