บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเนินบนหาดเตยงาม

วิ่ง

นาวิกมาราธอน 2562 กับ มาราธอนครั้งที่ 5 ในชีวิต

มาราธอนครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 กับการเตรียมตัวเพียง 2 เดือน แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้าง ว่ากันตามจริง 2 เดือนนี่ก็ถือว่ามากพอสำหรับคนที่เคยผ่านมาราธอนมาแล้วตั้ง 4 ครั้ง!!!

นาวิกมาราธอน เป็นสนามมาราธอนที่บรรดานักวิ่งยกให้เป็นสนามโหดอันดับที่ 2 รองจากเขาค้อ เนื่องจากเป็นทางวิ่งที่มีเนินเขาค่อนข้างเยอะ เป็นของแสลงสำหรับนักวิ่งอ่อนซ้อมอย่างผม

ผมหมายหมั้นปั้นมือตั้งแต่ปีที่แล้วว่าอยากมาวิ่งงานนี้ให้จงได้ แต่เนื่องจากระบบการสมัครวิ่งที่อ่อนไหวต่อจำนวนคนมากมาย ทำให้ล่มแล้วล่มอีก จนไม่สามารถสมัครได้ ปีที่แล้วจึงพลาดการมาร่วมงาน ปีนี้จึงเอาใหม่ ทางทีมงานนาวิกมาราธอน เปลี่ยนการสมัครมาใช้ runlah.com จึงทำให้การสมัครวิ่งง่ายขึ้นเยอะ 

การซ้อม

อย่างที่บอก ผมมีเวลาซ้อม 2 เดือนหลังจากจบงานจอมบึงมาราธอนเมื่อต้นปี ก็หยุดวิ่งยาวจนเหลือเวลา 2 เดือนเพื่อไปนาวิกมาราธอน ดังนั้น 2 เดือนที่เหลือของผมจึงจำเป็นต้องซ้อมอย่างเข้มข้น! 

แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น..

ตั้งใจว่าการไปมาราธอนต้องซ้อมระยะอย่างน้อย 30 กิโลเมตร แต่ที่สุดก็ทำได้แค่ 25 กิโลเมตร แถม 2 อาทิตย์สุดท้ายฝนตกแทบทุกวันจนไม่มีโอกาสได้ซ้อม

มันก็แค่ข้ออ้างของคนขี้เกียจ!

มาราธอนต้องมีวินัย โดยไม่มีข้ออ้าง 

ผลจากการหยุดไปนาน เมื่อเริ่มต้นวิ่งใหม่ ทำให้เหมือนแทบเริ่มใหม่หมดเลย .. เหนื่อยง่าย วิ่งไม่ทน และวิ่งช้า ผมโทษรองเท้า!! 

ซื้อรองเท้าใหม่ Altra kayenta

Zero drop มั้ยละมึง!

เบา สบายเท้า เพราะหน้ากว้างและพื้นเป็น Zero drop  แต่เมื่อมาใส่ซ้อมวิ่งแล้ว พบว่าความเร็วเท่าเดิม วิ่งช้า และเหนื่อยง่าย อีกครั้งที่ผมโทษรองเท้า 

ซื้อรองเท้าใหม่ คราวนี้เอาแบบมีพื้นหนา ดีด เด้ง ได้รองเท้า on cloudtec มา

เหยียบเมฆเลยมั้ยละมึง!

ซ้อมวิ่งไป 100 KM ไม่เห็นความเร็วจะดีขึ้นเลย ไม่เกี่ยวกับรองเท้าละ เกี่ยวกับตัวเองนี่แหละ คือ ตัวเองอ่อนซ้อม!!

ตารางซ้อมคือ วันธรรมดาวิ่ง 5-6 km 2-3 วัน วันเสาร์วิ่ง 10-12 km วันอาทิตย์วิ่ง 15km – 25 km

เนื่องจากใส่รองเท้าทั้ง 2 ในการซ้อมวิ่ง วันวิ่งจริงจึงเกิดอาการลังเลว่าจะใช้คู่ไหนดีน๊า ในการออกไปรับใช้ชาติในครั้งนี้.. 

ในที่สุดจึงตัดสินใจเลือกรักแรกอย่าง Altra Kayenta

 

วันวิ่งจริง

เวลาปล่อยตัวคือ ตี 3.30 นาที แต่ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าควรจะมาเตรียมตัวตั้งแต่ตี 3 เผื่อรถราติดขัดและเวลาในการหาที่จอดรถด้วย จุดปล่อยตัวอยู่ที่หาดเตยงาม การจะหาที่จอดรถสำหรับคนมาร่วมงาน 10,000 กว่าคน (รวมทุกระยะ) ไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อตัดปัญหานั้น ผมจึงให้แฟนเป็นคนขับรถมาส่ง     

กิโลเมตรที่  0 

อุตส่ามาถึงก่อนเวลาตั้ง 15 นาที แต่พอลงจากรถลืมไปว่าต้องฝากแว่นตาไว้ที่รถ รีบวิ่งตามรถไปเผื่อฝากแว่นตา เหลือเวลาอีกประมาณ 5 นาทีกับระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรไปจุดปล่อยตัว ผมต้องวิ่ง และนั่นคือกิโลเมตรที่ 0 ของผม ถือเป็นการวอร์มอัพ!

กิโลเมตรที่  1

หลังจากสัญญาณปล่อยตัว ยังไม่สามารถวิ่งได้ในทันที เนื่องจากคนเยอะมากและผมเองก็อยู่ท้ายๆแถว ต้องเดินๆจ๊อกๆประมาณ 1 ที จึงพ้นจากจุดสตาร์ท ทางที่ออกจากค่ายทหารค่อนข้างแคบ คนเยอะ กิโลเมตรแรกๆทุกคนยังบ้าพลัง ต่างพวยพุ่ง เร่งทยานเพื่อไปอยู่แนวหน้าให้ได้  ผมยังรักษาเพชตัวเองไว้อยู่ กิโลเมตรแรก จบที่เพช 7

กิโลเมตรที่  2

ทางส่วนใหญ่ยังแคบ และยังอยู่ในค่ายทหาร ยังทำความเร็วไม่ได้มากนัก แต่กระนั้นบรรดาขาแรงทั้งหลาย ก็ยังคงทะยานแซงไปด้านหน้า ผมยังคงจ๊อกรักษาเพชเช่นเดิม

กิโลเมตรที่  3 

คนเริ่มกระจายตัว ทางกว้างขึ้น ผมทำความเร็วมาอยู่ที่เพช 6 ซึ่งต้องบอกเลยว่านั่นคือความคิดที่ผิดสำหรับการวิ่งในครั้งนี้ 

กิโลเมตรที่  4

ผ่านจุดให้น้ำแรกแล้ว ผมไม่แวะ เหงื่อเริ่มซึมตามแผ่นหลัง ความเร็วยังคงที่อยู่ที่เพช 6 

กิโลเมตรที่  5 

แวะรับน้ำในจุดให้น้ำที่ 2 เหงื่อเริ่มเยอะถึงจะมีลมบ้างก็ตาม ลมหายใจยังดีอยู่ ขายังไม่รู้สึกอะไรมากนัก และเพชยังคงเป็น 6 เช่นเดิม

กิโลเมตรที่  6 – 10

ในช่วงนี้มีเนินซึมๆ สลับทางราบ แม้จะเป็นเนินเล็กๆ แต่ก็ทำให้แรงตกลงพอสมควร ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมใช้ความเร็วเพช 6 ในการวิ่งครั้งนี้ ทั้งที่ตอนซ้อมใช้เพช 7 มาตลอด 

กิโลเมตรที่  11 – 15 

ความเร็วตกลงมาที่เพช 7 แล้ว ระบบหายใจยังดีอยู่แรงขายังสบายๆ ระยะนี้ถือเป็นระยะซ้อมที่สบายอยู่ หยิบกล้วยตากมากินก่อนจะหิว

กิโลเมตรที่  16 – 20

หยิบเจลซองแรกมากิน ผมยังใช้ความเร็วที่เพชเดิมนั่นคือ 7 อาการเหนื่อยเริ่มมากขึ้น เนื่องจากเจอเนินซึมๆมาก่อนหน้า ทำให้มีปฏิกิริยากับหน่องพอสมควร หน่องมีสภาพบอบบางมาก จากที่เคยเป็นตะคริวหนักหน่วงเมื่อมาราธอนแรกที่บางแสน ทำให้ระบมเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว 

กิโลเมตรที่  21 – 25 

แม้จะแวะรับน้ำทุกจุดทุก 2.5 กิโลเมตร แต่ผมเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองวางแผนผิดที่ใช้ความเร็วในเพช 6 ในการเริ่มต้น ลำพองใจในสนามนี้จนเกินเหตุ ความเหนื่อยหอบ และอาการล้าที่ขาเริ่มมาเยือนแล้ว

กิโลเมตรที่  26 – 30

อาการเก่ากำเริบ ตะคริวครับ ครั้งนี้มีประสบการณ์แล้ว พอมันเริ่มก่อตัวเป็นลูกต้องลดความเร็ว หรือหยุดเดินและทิ้งน้ำหนักลงขาอีกข้างหนึ่งแทน  ระยะที่ซ้อมผมสิ้นสุดลงแล้ว ผมซ้อมมากสุดแค่ 25 กิโลเมตร และจากนี้ผมจะต้องรับวิบากกรรมจากการขาดวินัยในการซ้อมของตัวเอง จุดนี้คล้ายบรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้งมาราธอนแรกที่บางแสน ทั้งปวดตะคริว เหนื่อยล้า หมดแรง หยิบเจลมากินพอมีแรงได้ไปต่ออย่างช้าๆ

สารภาพตามตรงว่าผมคิดจะ DNF ต่อสู้กับจิตใจตัวเองอยู่นานพอสมควร เมื่อครั้งบางแสนมาราธอน แม้จะเจ็บปวดและเหนื่อยกว่านี้หลายเท่านัก ตะคริวก็ขึ้นที่ขาทั้งสองครั้ง แต่ความคิดจะ DNF ไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลย นั่นเพราะคำว่า “มาราธอนแรก”  และเพราะระบบโชว์สถิติแบบ real time บนหน้าเฟสบุคทำให้ยังไงก็แล้วแต่ ต้องจบให้ได้ 

ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่มีความกดดัน หรือความคาดหวังใดๆทั้งสิ้น จิตใจติดอยู่กับความสบาย คิดถึงบรรยากาศหลังเส้นชัย อาหารอร่อยๆ น้ำเย็นๆ ที่นอนนุ่มๆ ..พอเรา DNF ปุ้บรถจะมารับและกลับไปนอนสบายยยยย .. จิตใจมันคิดไปถึงขนาดนั้นจริงๆ 

พอมองกลับไป มีคนอีกเป็นร้อยคนที่อยู่หลังเรา วิ่งช้ากว่าและน่าจะเหนื่อยพอๆหรือมากกว่าเราซะด้วยซ้ำไป ทำไมเขาถึงไม่ยอมแพ้ เรามาจนเกินครึ่งทางแล้วนะ จะยอมทำไม ~ คิดได้ดังนั้น กัดฟันวิ่งต่อครับ..

พอไปได้ 200 เมตร ตะคริวก็ถามหาอีก T_T

กิโลเมตรที่  31 – 40

เรียกได้ว่าเป็นระยะรับกรรมแบบเต็มๆ แต่ต้องขอชื่นชมผู้จัดงาน น้ำดื่ม ของกิน มีให้ตลอดทางจริงๆ ทุกระยะ 2 กิโลเมตรเลยทีเดียว ทั้งเนินที่ไม่น่าเรียกว่าเนิน น่าจะเรียกว่าเขาลูกเล็กๆ ที่มีความลาดชันค่อนข้างมาก รถยังต้องใช้เกียร์ต่ำถึงจะขึ้นได้ สารภาพตามตรงว่า “เดินมากกว่าวิ่ง”  

กิโลเมตรที่  41 – 42

เขาลูกสุดท้ายพอได้ยินเสียงเครื่องเสียงจากจุดปล่อยตัว จิตใจเริ่มมีความหวัง กระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าลิงโลดจนเผลอวิ่งเร็ว เพราะตะคริวยังคงเกาะกินหน่องที่ขาซ้าย ส่วนขาขวามันเกาะที่ต้นขา ส่วนที่ฝ่าเท้านั้นระบมไปหมด เนื่องจากพื้นรองเท้าที่ค่อนข้างบางเบา แต่พื้นถนนมีหลายจุดที่ขรุขระ  

สุดท้ายก็พาตัวเองมาจนถึงเส้นชัยอย่างทุลักทุเล ~ ด้วยเวลา 05.37 นาที ดีกว่าบางแสนนิดนึง

ปล. ขอโทษร่างกายที่พานายมาทรมาน..

ประกาศนียบัตรว่าผ่านสนามมาราธอนนี้แล้ว

และนี่คือภาพที่ดีที่สุดของงานนี้