ดอยม่อนจอง อยู่ในอำเภอนันทบุรี ในความดูแลของหน่วยมูเซอ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย จุดเริ่มต้นของการตัดสินใจมาเดินป่าที่ดอยม่อนจองนี้ เกิดขึ้นหลังจากกลับจากสันหนอกวัว (ดูทริปสันหนอกวัว) กลุ่มน้องๆที่ออฟฟิสเกิดสนใจกิจกรรมการเดินป่าบ้าง หลังจากหาข้อมูลและปรึกษากันเองในที่สุดก็ปักหมุดหมายที่ “ดอยม่อนจอง”
ทริปนี้ผมจึงมีส่วนร่วมน้อยมาก มีหน้าที่ไปอย่างเดียว ทุกสิ่งอย่างน้อยๆได้จัดเตรียมจองเรียบร้อยแล้ว และวันหมุดหมายที่ปักไว้ในปฏิทินคือวันที่ 26 มกราคม
เราเดินทางด้วยเครื่องบินในเย็นวันพฤหัส พักอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ 1 วัน เช้าตรู่วันเสาร์ต้องออกเดินทางเพื่อเตรียมเดินเท้าขึ้นดอยม่อนจอง
หลังจากเครื่องบินร่อนลงบนสนามบินเชียงใหม่ รถเช่าที่เราทำการเช่าไว้ก็นำรถมาส่งถึงสถานี ก่อนเช็คอินที่โรงแรมคืนนี้เราไปแวะหาอะไรกินกันก่อนที่ตำบลช้างเผือก สุกี้ช้างเผือกที่ลือชื่อแม้เวลาจะล่วงเลยถึง 4 ทุ่มแล้ว แต่คิวก็ยังยาวเช่นเดิม กลุ่มเรายังใช้ความอดทนรอคิวที่ต้องจองผ่านแอป QQ จนในที่สุดก็ได้ลิ้มรสสุกี้ช้างเผือกในตำนาน
ทริปนี้แม้จะเป็นการมาเที่ยวแต่วันศุกร์เราอีกหลายคนยังต้องทำงาน จึงต้องหาคาเฟ่ที่มีโต๊ะนั่งทำงาน ในตัวเมืองเชียงใหม่มีร้านลักษณะแบบนี้เยอะมาก ละแวะที่เราพักก็มี Co-working อยู่พอดี
บ่ายวันนั้นเราก็ตะเวนกิน เที่ยวในเมืองเชียงใหม่อีกหลายที่ คืนวันนี้เราต้องรีบเข้านอนกันไวหน่อย เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นตั้งแต่ตี 3.45 เพื่อออกเดินทางให้ทันเวลา 8 โมงเช้าที่อำเภออมก๋อย
การเดินป่าครั้งนี้เราไม่ต้องเตรียมอาหารหรือของกินไปเอง เราไปจอยกับกรุ๊ปๆ จะมีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน และการจองขึ้นดอย การจอยกรุ๊ปเราสามารถเดินทางพร้อมกับเขาเลยด้วยรถตู้จากกรุงเทพ หรือเดินทางมาด้วยตัวเอง แต่ไปเจอกันที่หมู่บ้านมูเซอ ราคาก็จะแตกต่างกัน เราเลือกวิธีจอยกรุ๊ป โดยไปเจอกับกลุ่มเลยที่หมู่บ้านมูเซอ
หลังจากลงทะเบียนเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว จากหมู่บ้านมูเซอเราต้องนั่งรถกระบะหัวโยกเข้าไปในป่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เรียกได้ว่าเป็น 1 ชั่วโมงแห่งความสั่นคลอน สั่นคลอนสิ่งที่อยู่ในท้อง สั่นคลอนประสาท สั่นคลอนระบบตับไต้ใส้พุงในร่างกาย เหมือนถูกจับเขย่าจนหัวโยกอยู่ 1 ชั่วโมง สำหรับคนที่จะไปดอยม่อนจอง นอกจากเตรียมเรื่องความพร้อมของร่างกายแล้ว แนะนำให้เตรียมตัวสำหรับการถูกจับเขย่านี้ด้วยจะช่วยได้มาก
..
– เริ่มเดิน –
..
“ถ้าอยากรู้จักตัวเอง ให้พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ลำบาก..”
เมื่อเราเริ่มออกเดินด้วยเท้าและแบกของที่เต็มกระเป๋า ด้านหน้าของเราคือป่าเขาที่กวักมือเรียกท้าทายให้เราเข้าไปสัมผัส เราก้าวเดินจนเหนื่อยล้าเราจะเริ่มพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่เราแบกขึ้นมาจำเป็นกับเรามากน้อยแค่ไหน จำเป็นมั้ย บางอย่างไม่มีได้มั้ย หรือมันเป็นแค่ภาระที่อาจไม่มีประโยชน์ใดๆเลย
เช่นเดียวกับชีวิต การใช้ชีวิตที่ต้องแบกทุกอย่างไว้ตลอดเวลามันหนัก เราจึงควรมีเวลามีพิจารณาว่าสิ่งใดจำเป็นต่อการใช้ชีวิต สิ่งใดที่ควรสละ!
เส้นทางเดินม่อนจองต้องถือว่าไม่ยาก เหมาะสำหรับมือใหม่หรือคนกำลังหัดเดิน สภาพส่วนใหญ่เป็นป่าและเนินเขามีความชันบ้างเล็กน้อย มีความหวาดเสียวเมื่อต้องเดินเลาะริมหน้าผา เมื่อเดินพ้นป่าก็จะเจอเนินเขาที่โล่งสวยงามเป็นทิวแถว ระยะทางการเดินเท้าประมาณ 4 กิโลเมตร
ถึงแม้ดอยม่อนจองจะเป็นเนินเขาโล่งๆ แต่จุดกางเต๊นท์อยู่ในหุบเขาที่มีต้นไม้หนา หลบลมหนาวได้ดี ข้อเสียของจุดกางเต๊นท์ที่นี่คือมีความลาดเอียง ทำให้กลางคืนนอนไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ตัวจะไหลออกจากเต๊นท์ตลอดเวลา วันที่เราไปถึงต้องถือว่าอากาศกลางคืนหนาวมากและมีลมค่อนข้างแรก โชคดีที่ทริปนี้ผมตัดสินใจซื้อถุงนอนใหม่ จึงช่วยได้เรื่องความหนาว
ความสวยงามของดอยม่อนจองคือทิวเขาสลับเรียงรายไม่มีต้นไม้ ธรรมชาติมีความงามในแบบของมันโดยที่ไม่ต้องเติมแต่งอะไร เราควรแค่เข้าไปสัมผัส ดื่มด่ำ และจากมาโดยไม่ทำให้ธรรมชาติบอบช้ำ
การเดินป่าแม้จะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เราจะได้อะไรกลับมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความงามของธรรมชาติ ความงามของมิตรภาพ เรื่องราวที่เล่าไม่รู้จบ ฯลฯ
ไม่ต้องรอให้ทุกอย่างพร้อมจึงเดินทาง เพราะอาจไม่มีวันนั้น.