ความเป็นพ่อ

เขายืนสงบนิ่งในซอกตึก ปล่อยให้ตำรวจเดินผ่านไป หัวใจที่เต้นตูมตามค่อยๆสงบนิ่ง และเป็นปกติในที่สุด

แม้จะผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน บางคนลงมือทำความชั่วเพราะโหยหาความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกตื่นเต้น หวาดกลัว มันช่วยให้เลือดสูบฉีดซ่านไปทั่วตัว แต่สำหรับเขาไม่ใช่ เขาทำเพราะจำเป็นจริงๆ

เขาสัญญากับตัวเองเหมือนกับหลายๆครั้งที่ผ่านมาว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”

 

ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เมื่อเข็มนาฬิกาเดินผ่านเลขสิบสอง ก็จะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ..เขาควรจะเริ่มชีวิตใหม่ในปีใหม่ และทิ้งความชั่วไว้ในปีเก่า

เขาใช้มือลูบเป้สะพายที่เต็มไปด้วยของมีค่าที่พึ่งลักเขามา ของเหล่านี้เป็นแค่ของนอกกายแต่มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับชีวิตน้อยๆของลูกเขา

พอนึกถึงลูกน้ำตาก็ไหล ลูกคนเดียวของเขาไม่เคยมีชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆทั่วไป ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ร่ำไป และทุกครั้งที่ต้องเข้าโรงพยาบาล นั่นคือค่าใช้จ่ายมหาศาล ลำพังค่าอาหารแต่ละวันก็ลำบากพอแรงแล้ว.. จะว่าไปแล้ว ก่อนที่ลูกเขาจะเป็นอย่างนี้ มันก็คงสืบเนื่องมาจากเขา ..เขาเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนซะเลย

เมื่อเมียรักทิ้งลูกและเขาหนีไปกับคนรักใหม่ด้วยทนสภาพยากไร้ไม่ได้ เขาได้แต่โทษตัวเอง ทิ้งตัวเองให้จมสู่วงเวียนแห่งความเศร้า ทั้งเหล้าและการพนัน ทิ้งลูกเพียงลำพังอย่างอดๆยากๆ ด้วยวัยเพียง ๔ ขวบ เด็กน้อยรู้จักหารายได้ด้วยการขายพวงมาลัย เศษเงินเล็กๆน้อยๆจากรายได้นั้น นอกจากเป็นค่าอาหารแล้ว ยังถูกพ่อใจหยาบนำมากินเหล้า..เมื่ออยากหาเงินให้ได้มากขึ้น เด็กน้อยจึงขายพวงมาลัยจนถึงดึกดื่น และนั่นเองคือที่มาของอุบัติเหตุที่เกือบคร่าชีวิต คนขับรถเมามายขับพุ่งออกนอกทางมาชนเด็กน้อยอย่างจัง และตั้งแต่วันนั้น ลูกเขาก็มีชีวิตที่ไม่ปกติ พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ และที่สำคัญต้องเข้าออกโรงพยาบาลเกือบทุกเดือน คนขับรถที่เมามาย ขับรถหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ยอมแสดงตนเพื่อรับผิดชอบต่อการกระทำอันต่ำช้าของตัวแต่อย่างใด โชคดีที่มีชาวบ้านแถวนั้นพาเข้าโรงพยาบาล

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา..เขาเกลียดคนเมาตั้งแต่บัดนั้น คนเมาทำให้ลูกเขาเป็นแบบนี้

เมื่อหาเงินรักษาลูกไม่ได้ ทางเดียวที่จะยื้อชีวิตลูกไว้..ขโมย

เสียงรถมอเตอร์ไซต์สายตรวจค่อยๆเงียบ จนไม่ได้ยินในที่สุด  เขาก้าวออกจากซอกตึกอย่างช้าๆ และเมื่อก้าวเดินออกสู่ถนน ท่าทางลุกลี้ลุกลนก็เปลี่ยนเป็นท่าทางของคนธรรมดา เขาเดินอย่างคนปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ในใจจะเต้นตูมตามแทบระเบิด แต่สีหน้าและท่าทางยังปกติ

“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย” เขาบอกตัวเองอีกครั้ง แต่ไม่เคยเป็นจริงสักครั้ง สังคมยังจำภาพขี้เมาติดการพนันของเขาได้แม่น  ดังนั้น จึงยากที่จะรับเขาเข้าทำงาน เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องวนเวียนอยู่ในมิจฉาชีพนี้

พอดีที่เดินถึงทางแยกเพื่อเข้าสู่บ้าน เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังพร้อมกับเสียงพูดจนยากที่จะหลบเลี่ยง

“จะไปไหนครับ ดึกๆ ดื่นๆ”
พอได้ยิน ใจเขาตกไปกองอยู่ที่พื้น ตำรวจไม่ได้มาตรวจแค่คันเดียว คันหนึ่งบึ่งไปอีกทางหนึ่ง ส่วนอีกคันหนึ่งมาดักรอที่ปากทาง อาจจะเป็นความบังเอิญมากกว่าการวางแผนลวง แค่ดักจับขโมยงัดแงะกระจอกๆคนหนึ่ง คงไม่จำเป็นต้องใช้ตำรวจถึงขนาดนี้

“ในกระเป๋ามีอะไร ขอดูหน่อยได้ไหม” ตำรวจออกคำสั่ง ขณะที่เขาก้มหน้านิ่งและค่อยๆวางกระเป๋าลง เมื่อกระเป๋าถูกค้น เขาต้องถูกจับแน่นอน ในเวลาเกือบตี 2 อย่างนี้ คงไม่มีใครพกของมีค่ามากมายใส่กระเป๋าเพื่อเดินเล่น ถ้าเขาถูกจับ ลูกของเขา ใครจะเป็นคนดูแล ใครจะป้อนข้าวป้อนน้ำ ใครจะอาบน้ำให้ลูก ตื่นเช้าเมื่อลูกไม่เห็นพ่อ เธอคงตกใจ และร้องไห้หาพ่อ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม

“ในกระเป๋ามีอะไร..ขอตรวจดูหน่อยสิ”

ตำรวจนายหนึ่งลงจากมอเตอร์ไซค์ตรงดิ่งมาหาเขา ในมือถือไฟฉายสาดใส่หน้าเขาจนแสบตา เขาวางกระเป๋าลงกับพื้น ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ยอมรับต่อความผิดที่ตัวกระทำ น้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อตำรวจเดินมาถึง เขาตกใจยิ่งเมื่อได้ปะหน้าตำรวจนายนั้นตรงๆ ตำรวจเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน แต่เก็บอาการนั้นไว้ คงทำหน้าที่ค้นของในกระเป๋าด้วยอาการปกติ

สักครู่ตำรวจหนุ่มหยิบกระเป๋าสะพายยื่นให้เขา พร้อมกับหันไปบอกกับตำรวจคู่หู

“ในกระเป๋าไม่มีอะไรผิดปกติ” ไม่เพียงแต่ขโมยเท่านั้นที่แปลกใจ แม้ตำรวจคู่หูก็อดแปลกใจไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์มันชัดเจนขนาดนี้ จะมีทางไหนให้เชื่อว่าชายคนนี้ไม่ใช่โจรได้อีกหรือ?

..

เขาเดินกลับบ้านอย่างท้อแท้และรู้สึกผิด เสียงของตำรวจสายตรวจคนนั้น ยังดังก้องอยู่ในหัว

“แกก็เป็นพ่อคนแล้ว..อย่าทำอย่างนี้อีก”

“ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆแล้ว..เพื่อน” เขาบอกตัวเองอีกครั้ง ภาพเพื่อนในวัยเยาว์ผุดขึ้นในหัว กว่า 20 ปีที่ไม่ได้ปะหน้า

เขาไม่ได้แค่ให้สัญญาต่อเพื่อนตำรวจ แต่ให้สัญญาในฐานะพ่อที่ให้สัญญาต่อลูก