น้ำตา..ซาตาน
ในเมืองที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ณ ซอกซอยแคบของย่านเก่า “ไอศูรย์” ชายวัยกลางคนที่ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวของความผิดพลาด เป็นที่รู้จักในนาม “ซาตาน” ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งหรือฉลาด แต่เพราะชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย
Find your Heart, Find the Happiness.
ในเมืองที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ณ ซอกซอยแคบของย่านเก่า “ไอศูรย์” ชายวัยกลางคนที่ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวของความผิดพลาด เป็นที่รู้จักในนาม “ซาตาน” ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งหรือฉลาด แต่เพราะชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย
เคยคิดไหมว่าชีวิตเราที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้ เพราะมีพระเจ้าคอยกำหนดไว้ หรือมันแค่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น?
เพลงที่ดังจากเครื่องเล่นในป้อมยาม ยังคงขับกล่อมด้วยเครื่องเล่นเครื่องเก่าและเพลงที่เปิดยังเป็นเพลงเก่าๆ ที่ฟังกี่ครั้งก็ยังไพเราะ เป็นเพลงที่ข้ามเวลามาจากอดีต
ค่ำคืนเดือนมืดที่ท้องฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดาว สัตว์บางชนิดออกหาเหยื่อ ในขณะที่สัตว์บางชนิดใช้เวลานี้ในการพักผ่อน เช่นเดียวกับคน
ผมลืมตาอีกครั้ง..กลับพบตัวเองในความมืด เงียบ ไม่มีแสงสว่างหรือเสียงจากที่ใด ขาที่ค่อย ๆ ย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผมไม่หยุดอยู่กับที่อีกแล้ว อดีตที่ผ่านมามันเป็นอุทาหรณ์ให้ผมต้องไม่หยุดอยู่กับที่ แม้มีเพียงความมืดอยู่เบื้องหน้า แต่ขาไม่ควรหยุดเดิน เมื่อเราหยุดแม้เพียงนาทีเดียว โอกาสของเราก็ยิ่งจะเลือนรางจางหายไปในทุกที ความปราณีมันไม่มีอีกแล้วในยุคที่ทุกคนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ภาพรอยยิ้มของเพื่อนผู้ที่ผมไว้ใจที่สุดปรากฏในห้วงแห่งอดีต เพื่อนที่แย่งทุกอย่างไปจากผม ตำแหน่งหน้าที่ และฤดีแฟนสาวของผม ไอ้เพื่อนระยำ..! สายลมเบา ๆ พัดมากับความมืดแล้วผ่านหน้าผมไปอย่างวังเวง ผมเริ่มขยับก้าวที่สอง และก้าวที่สามไปตามลำดับเรื่อย ๆ ช้า ๆ เท้าที่ไร้รองเท้ารองรับได้สัมผัสกับพื้นที่ไม่คุ้นตีน เกิดความรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก ที่นี่มันที่ไหน พื้นไม่ใช่พื้นทราย และไม่ใช่พื้นปูน สัมผัสจากฝ่าเท้าบอกแค่ว่ามันเป็นพื้นที่ขรุขระ บางครั้งเป็นพื้นชื้น ๆ ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเดินไปไหน และไปเพื่ออะไร ในหัวสมองผมปวดขึ้นมาทันทีเมื่อพยายามคิดถึงเรื่องนี ้ ถ้าผมจำไม่ ผิด เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ ผมยังนอนบนเตียงที่รายล้อมด้วยแพทย์และพยาบาลในชุดสี เขียว ตรงกลางมีไฟขนาดให*่ส่องลงมาทำให้ต้องปิดตาอยู่ตลอด ทุกคนต่างสนใจอยู่ที่กลางท้องของผม นางพยาบาลส่งอุปกรณ์ให้หมอเป็นระยะ ๆ แม้ที่หน้าของหมอจะมีผ้าคาดไว้ แต่ก็ปรากฏแววตาเครียดอย่างเห็นได้ขัด พยาบาลคอยซับเหงื่อให้หมออยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้อง และสุดท้ายก็ไร้สติหลับใหลไปในที่สุด ผมพยายามคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่ผมจะต้องมานอนรายล้อมด้วยหมอและพยาบาล ภาพฤดีเดินไปช้า ๆ กับเพื่อนอัปรีย์ค่อย ๆปรากฏขึ้น เธอและเขาขึ้นรถหรูซึ่งเคยเป็นของผมออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแกมเยาะเย้ย 5 ปีที่ผมทุ่มเทให้กับบริษัทเล็ก ๆ นี้จนเจริญขึ้นทุกปีมีหน้ามีตา กลับถูกตอบแทนด้วยข้อหายักยอกเงินบริษัท ผมถูกฟ้องร้องในชั้นศาล และแพ้ความในทุกกรณีด้วยหลักฐาน และพยานชิ้นสำคัญนั่นก็คือ ฤดีแฟนรัก และประจักษ์ เพื่อนที่ไว้ใจ ผมกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวชั่วคืนเดียว ความเครียดที่มีอยู่แล้วในทุกวัน กลับพลันเพิ่มขึ้นทวี มันเกิดที่ขึ้นศีรษะ และปะทะลงในกระเพาะอาหาร ผมปวดท้องอย่างแรง ชนิดที่ไม่เคยปวดอย่างนี้มาก่อน มันเหมือนมีแผลเน่า ๆ อยู่กลางท้อง แล้วถูกราดลงด้วยทิงเจอร์ ขณะที่ศีรษะก็ปวดมากไม่แพ้กัน ที่ร้ายไปกว่านั้นในใจผมแหลกเหลว เมื่อคิดถึงเพื่อนเลวและแฟนทรยศ บัดสบ..! ทั้งปวดหัว ปวดท้อง ปวดหัวใจ ความปวดทั้งหลายมันประดังมาเต็มที่ จน ..ผมไม่สามารถจะทานทนได้ด้วยกำลังของตนที่มีอยู่ .. ฟ้ายังปรานี มีคนพาผมเข้าโรงพยาบาล ผมอยากจะขอบคุณเขา แต่ตอนนี้ล่ะ ผมกำลังอยู่ที่ไหน ..โอ๊ยย…
. . – กระดาษ – กระดาษแผ่นนั้นเองที่เธอถืออยู่ไม่ยอมวางตั้งแต่เช้า เธอทะนุถนอมราวกับว่ามันจะปลิวหายไปกับสายลมเพียงเพราะถ้ามันหลุดออกจากมือ สีหน้าที่ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางบรรดามี กลับไม่สามารถปกปิดร่องรอยแห่งความกังวล กระดาษใบนั้นมันแค่โพสอิทธรรมดา แต่ทว่าข้อความข้างในคงจะซ่อนเรื่องราวบางอย่างไว้จนทำให้เธอเครียดถึงเพียงนี้ เธอแอบเปิดดูเป็นครั้งคราวราวกับไม่แน่ใจในข้อความนั้น ข้อความนี้คืออะไร ทำไมสร้างความลำบากใจมากมายเหลือเกิน เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อเช้า..เช้าที่เธอมาทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ใครเลยจะรู้ว่าวันนี้มีบางอย่างรอเธออยู่ หลังจากลิฟท์พาเธอมายังชั้น 16 ที่เธอทำงานและเดินผ่านโต๊ะทำงานทั้งหลายจนมาหยุดที่โต๊ะทำงานตัวเอง เมื่อขยับเก้าอี้ออก สายตาเธอต้องสะดุดกับกระดาษโพสอิทที่หล่นอยู่ใต้โต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัย นาทีนั้นเองที่เธอเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง แววตาเศร้า และแทนที่จะนั่งลงกลับผลุนผลันออกไปทันที บัดนี้เบื้องหน้าเธอคือต้นชมพูขนาดใหญ่สองคนโอบกลางสวนสาธารณะที่คนมักใช้เป็นที่ผ่อนคลาย ออกกำลัง หรือนั่งเล่น หญิงสาวยืนมือออกอย่างช้าๆ สัมผัสลงที่พื้นผิวอันขรุขระของต้นไม้ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้า แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เธอกำลังร้องไห้ และทันใดนั่นเอง กระดาษโพสอิทที่เธอถือมาด้วยหลุดหล่นจากมือ เผยให้เห็นข้อความบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างขัดเจน “ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ของเรา” . . . . – ความรัก – เมื่อคนสองคนที่มีใจตรงกัน พูดภาษาเดียวกัน พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้กันและกัน อุปสรรคใดๆดูจะเป็นเรื่องเล็ก เธอและเขาพร้อมจะก้าวข้ามมันไปด้วยกัน ทุกๆวันที่ผ่านทั้งเธอและเขามอบแต่สิ่งดีให้กัน และสิ่งที่ดีที่สุดที่มีค่ามากกว่าเงินก็คือความรัก ทั้งสองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรักของเธอและเขานั้นบริสุทธิ์งดงาม และมีค่าแค่ไหน วันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่พักผ่อนใต้ต้นชมพูกลางสวนสาธารณะนั้น ฝ่ายชายเกิดคิดว่าเราควรจะมีสักขีพยานในความรักครั้งนี้ของเราสองคน และต้นชมพูใหญ่อันร่มรื่นนี้ดูจะมีอายุมากเปรียบกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ความร่มเย็นแก่ลูกหลานมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้น ต้นชมพูใหญ่เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ขอจงเป็นสักขีพยานในความรักของเธอและเขาในครั้งนี้ด้วยเถิด พูดจบทั้งคู่ก็โอบกอดต้นชมพู่ด้วยใจที่ชื่นบานมีความสุข “ความรักของเราจะสวยงามและยั่งยืนยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับต้นชมพูนี้” แทนการสลักข้อความลงบนต้นไม้ ชายหนุ่มหยิบกระดาษโพสอิทออกมา เขียนข้อความในใจ แผ่นที่ 1“รักของเรา..ตลอดไป” แผ่นที่ 2“เราจะไม่แยกจากกัน” แผ่นที่ 3“ณ ที่แห่งนี้เป็นที่ของเรา” . . . – ความเปลี่ยนแปลง – โลกนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สัจธรรมที่ทุกคนต้องพบเจอไม่ช้าก็เร็ว นั่นคือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เมื่อเวลาผ่านไปหญิงสาวก็เริ่มเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ชัดเจนขึ้น แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือเร็วไปไหมกับเวลาเพียง 1 ปีที่เขาเปลี่ยนไป คิดอีกมุมหนึ่งก็ดี ที่เธอกับเขาจะไม่ต้องเสียเวลากันไปมากกว่านี้ เขาไม่เหมือนเดิมเขาเปลี่ยนไปจากเคยถามไถ่ กลับห่างเหินจากจับมือเดิน กลับต้องเดินคนเดียว ในที่สุดทั้งคู่ก็สุดจะรั้งความสัมพันธ์นี้ไปได้ต่อ หญิงสาวแม้จะทำใจไว้นานแล้ว แต่ในวันที่จากลากลับไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ขณะที่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาเดินหายไปในกลุ่มคนราวเป็นเรื่องปกติ . ….
เรื่องราวของชายที่ปมในวัยเด็ก หลังเกิดเหตุฆาตกรรมฆ่าหมดบ้าน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาฆาตกร เรื่องราวถูกถ่ายทอดในรูปแบบของกลอนแปดสุภาพบ้าง ไม่สุภาพบ้าง ..เชิญติดตามได้ ณ บัดนั้น.
“กูแค่หลอกฟันเมียมึงเท่านั้นแหละ ไม่ได้จริงจังหรอก” หลังจากวางสาย ในหัวผมอื้ออึง เหล้าที่กินเข้าไปเกือบหมดขวดดูเหมือนจะน้อยกว่าความโกรธที่พุ่งพล่านทั่วร่าง สองปีที่ผมอยู่กินกับเธอมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอมีใจให้คนอื่นไม่โหดร้ายเท่าชายคนนั้นโทรมาเหยียบย่ำน้ำใจกันอีก ผมปิดมิตเตอร์ ไม่รับผู้โดยสาร บึ่งหน้าไปยังบ้านชายโฉดกับหญิงชั่วนั้นทันที! ไม่นานผมก็มาปรากฏกายหน้าห้องมัน ห้องไม่ได้ล็อค จะโดยบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม วันนี้มันได้เจอดีแน่ ผมเปิดประตูเข้าไป ชายชู้กับหญิงชั่วยังนอนอยู่บนที่นอน โดยไม่รอช้า ผมคว้าขวดเป๊บซี่เปล่า ฟาดไปที่หัวสองที ก่อนที่มันจะตั้งตัว ผมใช้ขวดอันเดิมฟาดไปที่เสาบ้าน ขวดแตกครึ่งหนึ่งเป็นอาวุธชั้นดี ผมรีบแทงไปที่ท้องมันสองที จนมันแน่นิ่งเลือดพุ่งท่วมตัว ขณะที่หญิงชั่วอดีตคนรักผม กรี๊ดร้องออกนอกห้องไป โชคไม่เข้าข้างที่มีสายตรวจอยู่หน้าหอพักพอดี ผมถูกตำรวจจับกุมอย่างงายดาย ผมยอมรับทุกข้อกล่าวหา เหตุจูงใจในการฆ่า คือ การถูกหยามหน้าอย่างรุนแรง “งั้น ทำไมถึงไม่ฆ่าผู้หญิงด้วย” ตำรวจถาม “ผมฆ่าไม่ทัน มันวิ่งออกจากห้องไปก่อน” ผมตอบสีหน้านิ่ง ผมถูกพิพากษาจำคุก 10 ปี แต่เนื่องจากไม่เคยทำผิดมาก่อน และยอมรับผิด เป็นประโยชน์ต่อศาล จึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือแค่ 5 ปี.. “หมู่บ้านพี่อยู่ตรงไปใช่มั้ยครับ..” แท็กซี่คนดังกล่าวถามขึ้น หลังจากเล่าเรื่องราวในอดีตจบลง “ค..ครับ ใช่ ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย จอดตรงซอย 25” ผมตอบกลั้นเสียงสั่น “นี่ ครับค่าโดยสาร ไม่ต้องทอนก็ได้นะครับ” “ไม่ได้พี่ ตั้ง 5 บาท ยังไงผมต้องหาทอนจนได้ นี่ครับ เจอเหรียญแล้ว” อดีตฆาตกรคว้าเงินทอนได้ รีบยื่นให้ผม “ขอบคุณนะครับบ” แท็กซี่กล่าวขอบคุณก่อนบึ่งรถออกไป … จบบทสนทนากับแท็กซี่ อดีตฆาตกร กับเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงบนรถแท็กซี่ เหมือนได้ดูหนังจบหนึ่งเรื่อง หนังที่สร้างจากชีวิตจริงของคนๆหนึ่ง ความจริงยังมีรายละเอียดชีวิตในคุกอีกอีกนิดหน่อย แต่เรื่องไม่ปะติดปะต่อเท่าไร เป็นการตอบคำถามมากกว่า ผม : ในเรือนจำเป็นยังไงบ้างครับ? พี่แท็กซี่ : ตอนเข้าไปใหม่ๆ ลำบากมาก มีคนแกล้งทุกวัน ผม : แกล้งยังไง? พี่แท็กซี่ : มาตบหัวบ้าง มาขโมยของบ้าง เขาเห็นว่าเรามาใหม่ คิดว่าเราต้องมีตังค์ มีของ ก็จะมารีดเงิน ผม :…
เวลาเย็นๆโพล้เพล้ ผมเตร่จนกลับมาถึงหอ น่าแปลก..วันนี้เด็กๆหน้าตึกหายไปไหนหมด เจ๊ปิดร้านเร็วกว่าปกติ ไฟหน้าตึกเสีย ติดๆ ดับๆ ดีที่ลิฟต์ยังใช้งานได้อยู๋ กดลิฟต์ไปยังชั้นสี่ ลิฟต์เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ พอประตูเปิด มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรอจะใช้ลิฟต์ เธอผมยาว เสื้อผ้าชุดขาว ดูหน้าเธอซีด ๆ แต่ผมไม่ใส่ใจ ผมเดินมาที่ห้องตัวเองอย่างเหนือยๆ ห้องข้างๆ เปิดประตูอ้า มีคนพลุกพล่าน ผมพยายามจะไม่สนใจ พยายามจะเดินจ้ำๆให้ผ่านๆไป แต่พอจะผ่านห้องดังกล่าวไป พอดีกับมีการยกของใหญ่ชิ้นหนึ่งออกขวางทางเดินพอดี ผมเริ่มสังเกตเห็นว่า คนพลุกพล่านในห้องนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับ พี่ๆมูลนิธิปอเต็กตึ้ง และของขนาดใหญ่ที่เขายกออกมานั้น มีผ้าขาวปิดคลุมอยู่ ถ้าไม่โง่จนเกินไปก็พอจะเดาออก มันคือ ศพ เกิดอะไรขึ้น? ช่างบังเอิญเหลือเกินผ้าปิดหน้าผู้ตายเผยอออกขณะที่ผ่านมาหน้าผม ผมตกใจ..ศพนั้น เป็นสตรี ผมยาว และชุดขาว ถึงไม่ได้สังเกตแต่ก็พอจำได้ เธอคือคนๆเดียวกับที่ผมสวนทางหน้าลิฟต์!!