หมาแก่และดอกทิวลิปเดียวดาย บทที่ 1

.

.

.

บทที่ 1 มนญา

. . . . . .

.

ค่ำคืนเดือนมืดที่ท้องฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดาว สัตว์บางชนิดออกหาเหยื่อ ในขณะที่สัตว์บางชนิดใช้เวลานี้ในการพักผ่อน เช่นเดียวกับคน บางคนพักผ่อนหลับใหลเพื่อตื่นมาต่อสู้ชีวิตอีกครั้ง ในขณะที่บางคนต้องทำงานในยามค่ำคืน มันคือวิถีชีวิตของแต่ละคน

ผมจัดอยู่ในประเภทหลังที่เมื่อตะวันพ้นขอบฟ้าก็ถึงเวลาเริ่มงาน งานที่หลายๆคนบอกเป็นงานง่ายไม่ต้องใช้ทักษะอะไร ใช้แค่ความอดและความทน ทนต่อความง่วงและความเหงาที่ต้องเดียวดายในทุกค่ำคืน หน้าที่สำคัญของงานผมคือรักษาความเรียบร้อยปลอดภัยของหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีจำนวน 60 หลังคาเรือน ใช่ละครับ บางคนเรียกผมยาม บางคนเรียกรปภ. บางคนเรียกให้เท่หน่อยก็ซีเคียวริตี้ นั่นคือชื่อที่เขาเรียกผม แต่ต่อให้เรียกด้วยชื่ออะไรก็ไม่ดีใจเท่าเรียกด้วยชื่อจริง

อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่รู้ชื่อผม ถึงจะเป็นแค่ยัยเด็กปากดีก็ตาม จะว่าไปยัยเด็กนี่ถึงจะปากร้าย แต่หัวจิตหัวใจถือว่าใหญ่เกินตัว ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้จะจัดอยู่ในประเภทมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ทำงานในเวลากลางวัน แต่หลายครั้งที่เธอทำงานเลยเวลามาจนดึกจนดื่น และนั่นทำให้ผมรู้จักเธอ ยัยเด็กแสบ

ย้อนไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ที่ผมพึ่งมาเริ่มงานที่นี่ใหม่ๆ ความไม่คุ้นชินกับสถานที่และเวลางานที่ต้องมาทำในเวลากลางคืน ทำให้ผมประหม่าและตื่นกลัว ขณะที่กำลังเฝ้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้าน ท่ามกลางความมืดของคืนนั้นปรากฏร่างหนึ่งกับสัมภาระล้นมือ ร่างค่อยๆชัดขึ้นใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผมขยี้ตาแรงๆสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านั่นคือคนหรือไม่ใช่ หัวใจผมเต้นโครมคราม เหงื่อไหลโดยที่อากาศไม่ได้ร้อน แว่บหนึ่งผมคิดถึงเรื่องเล่าใน The ghost radio แต่เพื่อหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ผมจำเป็นต้องข่มความกลัวและตะโกนถามไป “นั่นใครนะ”

เมื่อร่างนั้นเดินมาใกล้ๆ จึงเห็นชัดว่าเป็นคนและเป็นผู้หญิง ที่มาพร้อมกับข้าวของล้นมือ สัญชาตญาณผู้รักษาความปลอดภัยอย่างผมกระตุ้นเตือนว่า นี่คือสิ่งผิดปกติ!

“พี่ยาม เปิดประตูให้หนูหน่อย” น้ำเสียงห้วนแข็ง

“ถ้าไม่มีบัตรเจ้าของบ้านต้องแลกบัตร แต่นี่ก็ดึกแล้วไม่อนุญาตคนนอกเข้านะครับ”

“ยามมาใหม่เหรอ ชั้นลืมบัตรไว้ที่ทำงาน”

“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ถ้าคุณเป็นโจรละ”

“หน้าอย่างชั้นเนี่ยะนะจะเป็นโจร แกต่างหากที่น่าจะเป็นโจร” เธอตวาดเสียงดังและตามด้วยคำด่าอื่นๆอีกมากมาย

ผมแทบไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกเลยได้แต่ฟังอย่างเดียว เธอด่าผมชุดใหญ่จนท้องไส้ปั่นป่วน ท้ายที่สุดต้องยอมเปิดประตูให้เธอ ถึงแม้จะเป็นการละเมิดกฏ แต่กฏบางข้อก็ควรอยู่ภายใต้วิจารณญาณในสถานการณ์ต่อหน้า ซึ่งก็ถือว่าวิจารณญาณของผมถูกต้อง เธอคือลูกบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ เธอเป็นแม่ค้าเสื้อผ้าออนไลน์ที่มีร้านเล็กๆ อยู่ในเมือง วันไหนที่ต้องเข้าร้านเธอจะกลับบ้านดึกเสมอ ผมเจอเธอบ่อยขึ้นจนในที่สุดจึงได้รู้จักชื่อ

“ชื่ออะไรครับ” ผมทักทายในวันที่เธอมาพร้อมน้องหมาน่ารัก

“มนญา”

“ไม่ พี่หมายถึงน้องหมา”

“ปงปง”

“ชื่อแปลกดี แปลว่าอะไร?”

“มาจากคำว่าจัมปงในภาษาญี่ปุ่น แปลว่าการผสมผสาน”

“ไม่ พี่หมายถึงมนญาอะ แปลว่าอะไร?”

“พี่แม่งกวนตีนวะ”

เธอมองค้อนผมเล็กน้อย ก่อนจะพาน้องหมาเดินกลับเข้าบ้านไป ก็เป็นอันได้รู้จักชื่อเธอตั้งแต่วันนั้น จากการได้ช่วยเหลือและพูดคุยทักทายกันอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้เกิดความสนิทในระดับหนึ่ง ช่วงเวลาที่ได้พบเจอพูดคุยมักจะเป็นเวลากลางคืนเสมอ เพราะผมกะกลางคืนและเธอเองก็กลับบ้านในเวลานั้นเช่นกัน

สาเหตุที่ผมเลือกทำงานกะกลางคืน ส่วนหนึ่งเพราะผมชอบความเงียบ ความไม่วุ่นวาย ผมสามารถฟังเพลงและอ่านหนังสือที่ผมชอบในป้อมยามได้ นานๆจะมีรถผ่านเข้ามาสักครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นแท็กซี่ก็ต้องขอแลกบัตร หลายครั้งรถที่เข้ามาเป็นลูกบ้าน เปิดกระจกออกมาโวยวายหาว่าเปิดที่กั้นประตูออกให้ช้า กลิ่นเหล้าคละคลุ้งออกมาจากรถ และหลายครั้งผมถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย

ผมแค่คนทำงานคนหนึ่งเหมือนคุณ ถึงงานของผมไม่ได้สร้างรายได้มากมาย แต่งานของผมก็เป็นงานสุจริตและมีเกียรติไม่ต่างกัน ลำพังงานไม่ได้สร้างความลำบากสักเท่าไรนัก แค่ตรวจตราหมู่บ้านในยามค่ำคืนและเฝ้าระวังคนเข้าออกหมู่บ้านอย่างใส่ใจ แต่สิ่งที่สร้างความลำบากใจกลับกลายเป็นคน

จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง

“ช่างแม่งเถอะพี่ คนเราไม่เหมือนกัน ให้ความสำคัญเฉพาะคนที่เราใส่ใจก็พอ”

เป็นคำพูดที่แสนธรรมดาของมนญาเด็กหญิงวัยยี่สิบกว่าๆ แต่พูดจาราวกับคนกร้านโลก สำหรับผมมันมีมูลค่าต่อจิตใจ ในคนเป็นร้อยเป็นพันขอแค่สักคนที่เข้าใจก็มากพอ เมื่อไรที่เจอคนงี่เง่า ก็ท่องคาถาของมนญา “คนเราไม่เหมือนกัน”

เมื่อเข้าใจในความแตกต่าง เราก็พร้อมที่จะให้อภัย

ในวันที่มนญาเข้าออกหมู่บ้านเป็นต้องแวะทักทายผมเสมอ จากคนที่เคยเกลียดโกรธกันกลับกลายเป็นคนที่พูดจาถูกคอ เธอชอบอ่านหนังสือ ชอบฟังเพลง ชอบเขียนบันทึก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอดหลายสิบปีเช่นกัน กฏของแรงดึงดูดมักดึงคนที่ชอบอะไรคล้ายๆกันให้มาเจอกันเสมอ

การพูดจาและแววตาของเธอทำให้ผมคิดถึงอดีตที่หวานชื่น แม้จะผ่านมานานแต่เรื่องราวต่างๆเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน หลายครั้งระหว่างพูดคุยกับมนญาผมเผลอคิดไปว่าผมคุยกับเธอคนนั้นอยู่ ผมนึกทบทวนเรื่องราวในอดีต อะไรที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุความรักของเรา อะไรที่ทำให้ผมยอมแพ้และยอมถอยออกมา เราทั้งคู่รักกันแค่ไหนไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาอธิบาย แค่สบตากันก็อบอุ่นหัวใจ หัวใจที่เอ่อล้นด้วยความรักและความห่วงใยกัน แต่ความรักในชีวิตจริงไม่เหมือนในละคร หรืออาจเพราะรักคงยังไม่พอ ไม่พอที่จะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อมัน

ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกลา จนทุกวันนี้ผมยังรู้สึกว่าเธอยังอยู่ตรงนั้น แม้ความจริงจะไม่ใช่ก็ตาม เธอคนนั้นมีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว ผมโง่เขลาที่ยังยึดมั่นไม่ยอมปล่อยมือแอบไปส่องเฟสบุคของเธอ ภาพงานแต่งที่อบอุ่นทำให้ผมน้ำตารื้น ต้องห้ามใจอย่างหนักเพื่อไม่ให้กดไลก์ ผมใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพื่อพิมพ์คอมเมนต์อวยพรให้เธอ แต่ในที่สุดเมื่อพิมพ์เสร็จก็ลบมัน

และเมื่อมนญาปรากฏตัว ผมไม่กล้าคิดว่ามนญาคือเธอคนนั้นที่กลับมาให้อภัยผม ผมไม่ควรได้รับการให้อภัย

มนญามีความหมายว่าหญิงผู้ใจดี เธอคือความหวังในกลุ่มคนที่สิ้นหวัง เหมือนดอกไม้ในดินแดนอันแร้นแค้น เหมือนหยดน้ำในผืนทะเลทราย เธอคือคนที่เดินเปิดหน้าในขณะที่คนอื่นเดินก้มหน้า

ในสายตาคนอื่นผมแค่ยามกะกลางคืนที่ไร้มนุษย์สัมพันธ์ แววตาซ่อนความเจ็บปวด พูดน้อย ถามคำตอบครึ่งคำและตอบเป็นหุ่นยนต์ ครับ, สวัสดีครับ, โอเคครับ แต่กับมนญาผมต่างออกไป เธอคือเพื่อนที่คุยเรื่องเดียวกันโดยไม่สนใจว่าผมเป็นใคร ดาวตกใช่ว่าดาวหมดแรง หากแต่ว่าดาวอาจแค่อยากรู้จักใครสักคนที่อยู่ข้างล่าง

โลกของผมมันอยู่ในความมืดมานาน และบัดนี้เธอคือคนที่ค่อยๆแง้มประตูให้แสงสาดส่องเข้ามา เราสบตากันระหว่างความมืดกับความสว่าง ผมจะออกไปสู่โลกที่มีแสงสว่างหรือเธอจะก้าวเข้ามาในความมืดนี้ อดีตคอยกระซิบเตือนเหมือนเพื่อนผู้หวังดีคอยห้ามปรามว่า “อย่า” ในขณะที่โลกแห่งความจริงก็กีดกั้นเธอออกไปเช่นกัน

ยามวัยกลางคนเช่นผมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน หัวใจที่เคยบอบช้ำ แม้จะเฉื่อยชาเหนื่อยล้าอ่อนแรง แต่เมื่อพบกับดอกไม้ที่เบ่งบานโดดเดี่ยว หัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับมีเรี่ยวแรง แต่ก็อดหวั่นไม่ได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นและจุดจบหรือไม่

.

.

.

ติดตามตอนต่อไป

.

.