กิน-เที่ยว-ถ่ายรูป-รีวิว

Travel Review ท่องเที่ยว

ความสุขหาได้ง่ายๆเริ่มจากสิ่งที่อยู่รอบตัว

ทริปวันเดียว-เที่ยวน้ำตก-นอนเต๊นท์-กาญจนบุรี

เป็นอีกหนึ่งปุ้บปั้บทริป..คุยโทรศัพท์กับเพื่อนว่าเสาร์นี้ไปกินข้าวกันมั้ย แค่ชวนกินข้าวร้านดีๆแถวบ้าน รู้ตัวอีกทีมากินข้าวกลางป่าที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติสายน้ำและภูเขาซะแล้ว.. ที่หลับที่นอนคืนนี้อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีห่างจากน้ำตกเอราวัณประมาณ 7 กิโลเมตรติดกับเขื่อนศรีนครินทร์ กางเต๊นท์บนผาที่มองด้านล่างลงมาเป็นเขื่อน ใกล้ๆกันมีน้ำตกที่ไม่ปรากฏชื่อในแผนที่!! สายน้ำเล็กๆที่ไหลผ่านหน้าเต๊นท์พวกเรา คือน้ำที่แบ่งสายมาจากน้ำตกซึ่งไหลลงมาจากภูเขาลงเขื่อน บรรยากาศต้องบอกว่าสุดๆจริงๆ   หลังจากกางเต๊นท์เสร็จก็ลองเดินสำรวจน้ำตกครับ ทีแรกนึกว่าน้ำตกเล็กๆ แต่พอเดินลัดเลาะไปตามเสียงน้ำตกก็พบว่า ไม่เล็กเลย แต่เนื่องจากทางที่เดินลงมาค่อนข้างลำบาก คนก็เลยไม่นิยมมาเล่น กอรปกับค่อนข้างอันตรายนิดนึ่งเพราะด้านล่างเป็นเขื่อน ถ้าลื่นมีหวังไหลลงเขื่อนแน่นอน หลังจากสำรวจเสร็จก็กลับไปทำอาหารกินกันที่เต๊นท์ครับ บรรยากาศทำอาหารกินเองหวนให้ระลึกถึงสมัยเข้าค่ายลูกเสือ สมัยนั้นได้มาม่าปลากระป๋องนี่ก็ถือว่าเลิศแล้ว คืนนี้มีฝนปรอยๆทำให้บรรยากาศเย็นลงนิดนึง นอนฟังเสียงฝนและเสียงน้ำตก บางคนอาจรำคาญ แต่สำหรับผมบอกเลยว่า ฟินนนนน เช้าประมาณตี 5 เปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดกีฬา ออกไปวิ่งที่เขื่อนศรีนครินท์ บรรยากาศต้องบอกว่าคุ้มค่าตื่นมากๆ..หมอกหนาเต็มพื้นที่ ราวกับวิ่งบนสวรรค์ หลังจากวิ่งเสร็จก็กลับมาทานอาหารเช้ากันที่เต๊นท์ และหลังจากนั้นสายๆ ก็เก็บเต๊นท์ และมุ่งหน้าไปหาน้ำตกอีกที่หนึ่ง เราออกเดินทางจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 40 กิโลเมตร ก็มาถึง “น้ำตกแม่ขมิ้น” น้ำตกแม่ขมิ้น เป็นอุทยานแห่งชาติครับ ดังนั้น จึงมีบริการจุดกางเต๊นท์ มีร้านค้าสวัสดิการ เรียกว่าเป็นอีกที่หนึ่งสำหรับคนที่ชอบกางพักแบบกางเต๊นท์ มีเต๊นท์ให้เช่าหรือจะเอาเต๊นท์มาเองก็สะดวก จบปุ้บปั้บทริปแต่เพียงเท่านี้ครับ

รีวิวที่พัก ที่เที่ยวเขาใหญ่ ณ มายโอโซน My Ozone

ขอต้อนรับสู่ my ozone ดินแดนดุจปราสาทในเทพนิยาย, พูดถึงเขาใหญ่ ที่นี่มีที่ให้เที่ยวหลายที่ แต่ถ้ามีเวลาแค่วันเดียวและที่พักของคุณคือที่ มาย โอโซน ขอแนะนำว่าตัดที่เที่ยวที่อื่นทิ้งให้หมด และใช้ชีวิตใน 1 วันของคุณที่มาย โอโซนเท่านั้น สืบเนื่องจากได้รับของสมนาคุณจากเพื่อนคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมอบรางวัลแด่มิตรภาพด้วยที่พักดีๆ ที่เหมาะแก่การไปพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆ ..ก็จึงเป็นที่มาของการมาที่พักที่หรูหราในครั้งนี้  ที่นี่จะมีที่พักทั้งแบบเป็นห้องและเป็นหลัง ราคาก็แตกต่างกันไป มีไฮไลท์ตรงปราสาทที่เด่นตระหง่าเป็นทั้งที่รับประทานอาหารเช้า ฟิสเนต และสระว่ายน้ำ แต่สำหรับผมสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่านั้นคือ สนามหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา .. เช้านี้ต้องออกไปวิ่งซะหน่อยแล้ว พาไปชมห้องพักแบบ standard ซึ่งเป็นที่พักของคนในค่ำคืนนี้  ทุกอย่างในห้องพักดูดีมีราคา เตียงนุ่มสมราคา ตำแหน่งแสงไฟแต่ละจุดไม่แยงตา ไม่ทำร้ายสายตา นอนได้แม้ในเวลากลางวัน แง้มบานประตูด้านหลังออกไปจากเห็นทุ่งหญ้าสวยงาม แค่ใช้ชีวิตในห้องนอนนี้ก็คิดว่าคุ้มค่ามากแล้ว ..แต่อย่าเลยครับ ด้านนอกห้องยังมีอะไรให้เที่ยวชมอีกมาก นอนแต่พอหายเหนื่อย ออกไปเที่ยวรอบๆดีกว่า.. อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับที่นี่เลย นั่นคือ สระว่ายน้ำ นอกจากจะมีโซนที่นั่งริมสระหลากหลายทั้ง outdoor และ indoor แล้ว ขนาดของสระใหญ่พอที่จะให้กระโดดโลดเล่นว่ายได้จนเหนื่อยหอบเลยละครับ  ข้อดีของที่นี่อีกอย่างคือ ไม่หวงสนามหญ้า ด้านหน้าปราสาทและด้านหน้าที่พัก สามารถจอดบนสนามได้เลย อ้อมไปด้านหลังปราสาทจะพบดอกหญ้าเป็นกลุ่มแนวสวยงาม ซึ่งจะมีสนามหญ้าเป็นเนินสนับกันไปสวยงาม มองออกไปไกลๆเป็นแนวเขาใหญ่ ราวกับที่นี่เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าเขาในยุคเก่า หยุดใจที่วุ่นวายสักพัก หายใจอย่างช้าๆ และสะกดเวลาให้เดินช้าที่สุด ผมกับเจ้าขาววิ่งอ้อมออกด้านหลังปราสาทที่เป็นสนามกอล์ฟ สำหรับคนที่ชอบวิ่งหรือชอบปั่นจักรยาน นี่คือสวรรค์ชัดๆ ถนนคอนกรีตเล็กๆลัดเลาะไปตามเนินเขาเล็กๆ มองไปจนลับหูลับตาราวกับว่าเชิญชวนให้เราออกไปสัมผัสมัน รุ่งขึ้นอีกวัน ออกไปสำรวจโซนอื่นๆบ้าง เห็นว่ามีสวนดอกไม้อยู่ไกลๆด้านหน้าโน้น ส่วนร้านกาแฟเห็นมีคนเยอะ ก็เลยไม่ได้แวะครับ เป็นเวลา 2 วัน 1 คืนที่รู้สึกว่ามีอะไรให้ค้นหาตลอดเวลาครับ ห้องก็น่านอนน่าอยู่ แต่ก็คิดว่ามีเวลาน้อยเกินที่จะนอนหลับเฉยๆแล้วตื่นขึ้นแต่งตัวออกจากที่พัก หากอยากหลับตาและตื่นขึ้นท่ามกลางปราสาทกลางป่าเขา ที่นี่คือคำตอบครับ

เที่ยวสัตหีบ หาดเตยงาม อ่าวดงตาล

ทะเลที่ไม่ไกลกรุงเทพมากนัก เดินทางไปสะดวก ที่สำคัญทะเลสวย น้ำใส สะอาด และสงบ ขอแนะนำที่นี่เลยครับ หาดเตยงาม สัตหีบ  น้ำทะเลใสมาก..ถ้าจะเล่นน้ำทะเล ก็สามารถลงเล่นได้เลยที่หาดเตยงาม แต่ถ้าจะนั่งชิวริมทะเล บรรยากาศสบายๆ นั่งทานข้าวชมวิวสวยๆ แนะนำอ่าวดงตาล ผมเดินเล่นจากหาดเตยงาม และขับรถต่อไปอีกนิดเดียวก็ถึงอ่าวดงตาล เวลาตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตก เป็นบรรยากาศที่สบาย วิวสวยมากครับ อ่าวดงตาล เป็นชายหาดที่อยู่ในพื้นที่ของกองเรือยุทธการ ฐานทัพเรือสัตหีบ แต่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปเที่ยว พักผ่อนได้ บริเวณริมอ่าวมีต้นสนและ ต้นตาลสูงเรียงรายเป็นแถว ที่ปลูกไว้อย่างหนาแน่นจนกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชายหาดแห่งนี้ และเป็นที่มาของชื่ออ่าวดงตาล

พาน้องหมาเที่ยวทะเล..หาดเจ้าสำราญ

สำหรับคนรักหมาแล้ว การพาหมาไปเที่ยวถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แม้หมามันจะอยากไปหรือไม่ก็ตาม.. การพาหมาไปเที่ยวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่พักต้องเป็นที่ๆอนุญาตให้หมาพักได้ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีราคาแพงกว่าปกติ) การจะแวะเที่ยวโน่นนี่นั่นหรือไปหาของกินอร่อยๆ อันนี้ก็ต้องตัดทิ้งไป เพราะนอกจากบางร้านจะไม่อนุญาตให้นำหมาเข้าแล้ว เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า คนชอบหมาก็มาก คนไม่ชอบก็มากเช่นกัน ที่สาธารณะผมจึงพยายามเลี่ยง แม้วันเที่ยวเองก็เลือกวันธรรมดา เพื่อเลี่ยงคนเยอะ แต่กระนั้นที่นี่ Loft Caravan resort หาดเจ้าสำราญ ก็มีคนมาพักอย่างหนาตา อาจจะเพราะบรรยากาศและความเป็นส่วนตัวของที่นี่ การพาน้องหมาไปเที่ยว ปัญหาอย่างหนึ่งเลยคือการต้องนั่งรถนานๆ หมาบางตัวเมารถ เจ้าแซลม่อน เมื่อก่อนหน้านี้ก็มีอาการเมารถ นั่งรถแค่ใกล้ๆ ก็เมาน้ำลายนองพื้น วันนี้ก็ห่วงเหมือนกันว่าจะมีอาการเมาอีกหรือเปล่า แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพียงแต่น้องหมาจะมีอาการอ่อนเพลีย เพราะนอนบนรถไม่หลับ นั่นคือเหตุผลที่เลือกหาดเจ้าสำราญ เพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่ไกลมาก พูดถึงที่พัก Loft caravan resort หาดเจ้าสำราญ  นอกจากจะสามารถพาน้องหมามาพักได้แล้ว ที่นี่มีความเป็นส่วนตัว เงียบ สงบ ที่สำคัญติดกับหาด แต่ข้อเสียนิดนึงคือทะเลไม่สะอาดพอที่จะลงเล่น และหาดมีเศษขยะที่ไม่วางใจพอที่จะถอดรองเท้าเดิน เจ้าของรีสอร์ทสุภาพมาก แต่พนักงานไม่ค่อย ผมได้รับสายตาแปลกๆจากพนักงานเมื่อเขาเห็นผมจูงน้องหมาเดินเข้ารีสอร์ท ร้ายกว่านั้นอาหารเช้าเริ่ม 8 โมง แต่ผมไปตอน 7.30 เพราะอันนี้ไม่ทราบจริงๆ ถูกพนักงานไล่กลับราวกับเราไปขอเขารับประทาน นั่นคือข้อเสียเพียงน้อยนิดนะครับ ถ้าเทียบกับรสชาตอาหารแล้ว เรื่องชวนขุ่นใจอันนั้นลืมไปได้เลย อ้อ .. ช่วงนี้หน้าฝน โชคดีมากครับ เจอฝนตลอดทริปเลยยย..T_T ก่อนปิดทริปมีคำแนะนำนิดนึงสำหรับการเดินทางไปในช่วงนี้..เส้นพระราม 2 กำลังทำถนนรถติดมากก ..หาของกินติดรถไว้เยอะๆครับ จะได้ไม่เครียดดดด.. เจอกันทริปหน้านะ

เที่ยววัดพระปฐมเจดีย์

วัดพระปฐมเจดีย์..ระยะทางห่างจากกรุงเทพประมาณ 50 กิโลเมตร ไปไหว้พระ และหาของดีของอร่อยที่เมืองนครปฐมกินกัน

City run วิ่งชมเมือง สาทร – วงเวียนใหญ่

City Run คือการวิ่งออกกำลังกายนอกสถานที่ครับ วิ่งไปตามตรอกซอกซอย หรือเส้นทางที่คับแคบไม่มีรถและคนจอแจ กรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงที่มีพื้นที่กว้างขวางและมีตรอกซอกซอยจุดเล็กจุดน้อยเยอะมาก ถึงจะอยู่กรุงเทพเป็นสิบๆปีแต่รับรองเลยว่ามีอีกหลายที่ๆเราไม่เคยเห็นหรือไม่เคยไปถึง การวิ่ง city run จะทำให้เข้าถึงสถานที่เหล่านั้นได้ การวิ่ง city run ครั้งนี้เส้นทางเน้นเลียบไปกับแม่น้ำเจ้าพระยาครับ เริ่มต้นที่สะพานสาทร ลัดเลาะไปตามแม่น้ำจนถึงวัดอรุณและไปจบที่วงเวียนใหญ่ อนุสาวรีย์ชัยพระเจ้าตากสิน สำหรับท่านที่ไม่เคยไปกราบสักการะอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่นะครับ วิธีเข้าไปข้างในต้องลอดใต้อุโมงค์ อุโมงค์อยู่ขวามือถ้าไปจากสะพานพุทธ ครั้งหน้าไปวิ่ง cityrun ที่ไหนค่อยว่ากันครับ

เที่ยวชุมพร 3 วัน 2 คืน

ชุมพรเป็นจังหวัดเล็กๆ ในภาคใต้ ถ้าเดินทางจากกรุงเทพ จังหวัดชุมพรถือว่าเป็นประตูสู่ภาคใต้ติดกับประจวบคีรีขันธ์ แต่จังหวัดประจวบฯ ถือว่าเป็นภาคกลางตอนล่าง ยังไม่นับเป็นภาคใต้ .. การเดินทางไปชุมพรครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการไปเที่ยวภาคใต้ในรอบหลายสิบปี (ครั้งก่อนโน้นไปเที่ยวเกาะสุรินทร์ที่จังหวัดพังงา) เช่นเคยครับการเดินทางไปครั้งนี้ผมขับรถไปด้วยตัวเอง คืนแรกพักที่ ชลิชา รีสอร์ท  ตั้งอยู่กลางเมืองชุมพร เพราะตั้งใจว่าวันแรกจะเที่ยวในตัวเมืองชุมพรก่อน และคืนที่สองพักที่นานาบีช รีสอร์ท ติดทะเล ไหนๆก็มาทะเลแล้ว ก็ต้องลงทะเลซะหน่อย ชลิชา รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทที่เงียบสงบ สะอาด ราคาไม่แพง ข้อเสียคือไม่มีอาหารเช้า (หากต้องการอาหารเช้า ต้องเพิ่มเงิน) ที่นี่จึงเหมาะแก่การพักค้างหลังจากไปเที่ยวมาแล้ว  ไม่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวเท่าไรนัก อยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 15 กิโลเมตร คืนที่สองนานาบีชรีสอร์ท มีที่พักทั้งแบบเป็นหลังและเป็นห้อง ราคาก็แตกต่างกันไป ..ผมได้แบบห้อง ข้อเสียคือ อยู่ชั้น 3 และแอร์ไม่ค่อยเย็น แต่ข้อดีคือมีสระว่ายน้ำ และติดทะเล! งานนี้จึงได้เล่นทั้งน้ำทะเลและน้ำในสระ มาทะเลทั้งทีก็ขออยู่กับทะเลให้หนำใจ ตอนเช้าๆ สำหรับคนที่ชอบวิ่งออกกำลังกาย หาดทุ่งวัวแล่นที่มีระยะทางเกือบ 3 กิโลเมตร ถือเป็นที่วิ่งที่บรรยากาศดีไม่น้อย ทะเลอาจจะไม่สวยใสเท่าฝั่งอันดามัน แต่ถ้าใครที่ชอบบรรยากาศทะเลที่ไม่พลุกพล่าน ขอแนะนำที่ชุมพรเลยครับ

เที่ยวขุนแปะ เชียงใหม่

พอย้อนกลับไป ก็พบว่าผมไปเที่ยวทางภาคเหนือเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ไม่ไปก่อนปีใหม่ก็ไปหลังปีใหม่ มนต์เสน่ห์ของภาคเหนือมีให้เที่ยวกันตลอดปีไม่ซ้ำที่กัน ปีนี้ก็เช่นกัน ทุกอย่างต้องมีการวางแผน เรื่องเที่ยวก็เช่นกัน ถึงแม้โพสต์นี้ผมจะโฟกัสไปที่ขุนแปะ แต่ก็จะขอเล่าถึงแผนเล็กๆก่อนมาถึงที่นี่ ก่อนมาที่นี่ผมแวะไปงานวิ่งที่ลำพูนก่อน ระยะเพียง 21 กิโลเมตรไม่เหนื่อยมาก วิ่งเสร็จอาบน้ำทานข้าวเที่ยวต่อได้เลย จากลำพูนแว่บไปเที่ยวที่แม่กำปอง (ผมจะแยกเล่าถึงแม่กำปองอีกทริปหนึ่ง) ก่อนจะมาเที่ยวต่อที่นี่ ขุนแปะ กระท่อมตะวันไรวินทร์ ขุนแปะ ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ว่าขุนแปะหน้าตาเป็นอย่างไร เห็นภาพแว่บๆในกูเกิ้ลก็ประมาณว่าเป็นหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา สงบเงียบ ไม่มีอินเทอร์เนต และไร้สิ่งอำนวยความสะดวก และตกลงใจจองแบบงงๆในหน้าเพจของเขา ดูจากแผนที่แล้วระยะทางห่างจากแม่กำปองเพียง 159 กิโลเมตร ใช้เวลาอย่างมากไม่เกิน 2 ชั่วโมง หลังจากศึกษาเส้นทางแล้วก็คิดในใจว่าเหลือๆ หลังจากเที่ยวแม่กำปองเสร็จจึงมุ่งหน้าไปขุนแปะ ขับตามทางหลวงหมายเลข 108 ก่อนจะแยกไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 1013 ทางค่อนข้างดี เนื่องจากไม่ใช่เทศกาล ถนนโล่งวิ่งชิว จนกระทั่งเห็นป้ายปากทางบอกว่า ขุนแปะเข้าไป 20 กิโลเมตร เวลาเหลือๆ ยังไม่เข้าที่พักขอขับเลยไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติออบหลวงก่อน .. หลังจากเที่ยวอุทยานแห่งชาติออบหลวงเสร็จ ก็จึงมุ่งหน้าไปขุนแปะ ทางเข้าไปจากถนนใหญ่เป็นทางเล็กๆพื้นคอนกรีต ..เมื่อขับเข้าไปเรื่อยๆ ทางก็เล็กลงเรื่อยๆ คอนกรีตหายไปเป็นถนนลูกรัง และทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆเข้าไปในหุบเขา ที่เลวร้ายไปกว่านั้น มีการทำถนนอีกนั้น นั่นหมายความว่าเราต้องเผชิญกับลูกรังแคบๆ ฝุ่น และทางชันมาก ขับเข้าไปเกือบ 1 ชั่วโมงตามแผนที่กูเกิ้ล อากู๋บอกใกล้จะถึงแล้วเจอทางแยกซ้ายขวา ทางขวาเป็นทางดี ทางซ้ายเป็นทางไม่ค่อยดี ค่อนข้างรก ชัน ผมแทบร้องไห้ อากู๋บอกให้ไปทางซ้าย T_T แทบจะวิ่งเข้าไปในป่า ทางแคบมากๆ กลับรถไม่ได้ต้องเดินหน้าไปอย่างเดียว จนในที่สุดเดินหน้าต่อไม่ได้ เพราะทางข้างหน้าสูงชันกว่า 45 องศา ที่สำคัญถนนเป็นหินกรวดนิ่ม ซึ่งล้อไม่สามารถเกาะวิ่งไปได้ ครั้งแรกผมพยายามเร่งเครื่องยนต์เพื่อปีนเนินนั้น แต่แล้วก็ไม่เป็นผล รถไหลลงมา ครั้งที่สองลองใหม่อีกครั้ง ผลก็เป็นเช่นเดิม รถไปต่อไม่ได้แล้ว .. กลับรถก็ดูจะลำบากมากด้านข้างเป็นหน้าผาสูง ผมตัดสินใจโทรหาเจ้าของรีสอร์ท และโชคดีมากที่โทรติด เพราะแถวนั้นสัญญาณโทรศัพท์หายากมาก ติดๆขัดๆ เจ้าของที่พักบอกว่ามันไปได้สองทาง ทางที่อากู๋แนะนำนั้นก็ไปได้และใกล้กว่าด้วยแต่ต้องเป็นรถโฟลวิลขับเคลื่อน 4 ล้อ เท่านั้น (อากู๋มันไม่รู้ว่าผมขับรถอะไรมา…

สำราญมากเว่อร์…เมื่อได้มาเที่ยวที่หาดเจ้าสำราญ

มีเวลาพักแค่เพียงน้อยนิดแต่อยากเที่ยวทะเล เล่นน้ำให้ชื่นใจ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ โอบล้อมด้วยหาดทราย สายลม น้ำทะเล ไม่ต้องเสียเวลาหาโปรแกรมเที่ยวให้เหนื่อย แนะนำให้มาที่หาดเจ้าสำราญ เพราะให้ความสำราญเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจใน 1 วันมากจริงๆ แต่ถ้าใครมาเที่ยวแล้วเกิดอาการอินบรรยากาศดีๆ และอาหารอร่อยๆ จนต้องค้างคืนเพื่อดื่มด่ำความสุขต่อไปก็สามารถ กดคลิก จองที่พักหาดเจ้าสำราญกับ Traveloka ก่อนเดินทางได้เลย รับรองว่าเที่ยวได้เพลินๆ เรื่องที่พักไม่ต้องกังวลอีกต่อไป “หาดเจ้าสำราญ” ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นชายหาดสีนวลสะอาดตาความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร โดยหาดเจ้าสำราญเคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ มาแต่สมัยโบราณ โดดเด่นชวนประทับใจด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย มีสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทั้ง ปูเสฉวน หอย แมงกะพรุน อีกด้านหนึ่งติดภูเขา มีบรรยากาศที่เงียบสงบ โดยรอบโอบล้อมด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย อากาศช่วงค่ำเย็นสบาย ได้กลิ่นไอทะเลช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายพร้อมที่พักหลากหลายสไตล์ให้เลือกมากมาย เริ่มด้วยการเดินทาง สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพ บอกเลยว่าสะดวกมากๆ เพราะมีวิธีการเดินทางให้เลือกถึง 4 วิธี ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนตัว โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (สายธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เข้าสู่อำเภอปากท่อ จากนั้นแยกเข้าสู่จังหวัดเพชรบุรี และจากอำเภอเมืองเพชรบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 3177 ผ่านสถาบันราชภัฎเพชรบุรี ไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร จะผ่านสถานีตำรวจภูธรหาดเจ้าสำราญ เมื่อถึงสี่แยกให้ตรงไปก็จะถึงหาดเจ้าสำราญ ส่วนรถโดยสารประจำทางแนะนำให้ไปใช้บริการจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ถนนบรมราชชนนี สำหรับใครที่ชอบควรรวดเร็วสามารถเลือกใช้บริการรถตู้ได้เช่นกัน โดยรถตู้ สายอนุสาวรีย์ชัย – เพชรบุรี วิ่งตั้งแต่เวลา 05.00-19.00 หรืออยากเดินทางแบบชิลล์ๆ ก็ขึ้นรถไฟได้จ้า มีรถไฟ จากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) และสถานีรถไฟธนบุรี (บางกอกน้อย) ให้บริการหลายขบวน ทั้งรถธรรมดา รถด่วน รถเร็ว และรถด่วนพิเศษ นั่งรถกันมาอาจจะเมื่อยล้าบ้างอะไรบ้าง แต่ทันทีที่มาถึงหาดสำราญ ความเหน็ดเหนื่อยน่าจะลดน้อยถอยลงกว่าครึ่ง เพราะมีความสวยงามของหาดมาดึงดูดความประทับใจไปแทน ด้วยบรรยากาศสงบเงียบ ร่มรื่น ชวนเย็นตาและสบายอารมณ์ แถมชายหาดแห่งนี้ยังมีความพิเศษเนื่องจากทรายถูกพัดถมขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีทรายที่ละเอียดมากในส่วนของต้นหาด เหมาะแก่การถอดรองเท้าเดินทอดน่องย่ำทรายพร้อมเดินรับลมชมวิวเป็นที่สุด นอกจากนี้ด้วยธรรมชาติที่งดงามอันมีทิวสนน้อยใหญ่ตลอดแนวหาดจึงเหมาะแก่การมาปูเสื่อนั่งรับลมฟังเสียงคลื่นชิลล์ๆ หรือจะสั่งอาหารทะเลอร่อยๆ บริเวณหาดเจ้าสำราญก็มีร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงของกินเล่น…

Cafe’ Review คาเฟ่รีวิว

ความสุขใดเล่าจะเท่าความสุขจากการกิน

เรื่องสั้น

ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ

ผมมักหลบลี้หนีผู้คนและโลกที่แสนวุ่นวายเข้าสู่โรงหนังดินแดนที่เสกสรรค์จินตนาการมากมาย ที่นี่มันคือโลกใบใหม่ที่สนุก เศร้า ตื่นเต้น หรือเป็นอะไรก็ได้ตามเนื้อหนังที่ตีตั๋วเข้าไปดู แม้เป็นเวลาแค่ไม่เกิน 3 ชั่วโมงสำหรับภาพยนตร์ 1 เรื่อง แต่ถ้านำไปลบจาก 24 ชม.ที่วุ่นวาย ก็นับว่าคุ้มค่า 3 ชม.ที่ตัดขาดจากโลกความเป็นจริง เพราะเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดถูกปิดโดยไม่ต้องกลัวถูกใครตำหนิ เป็น 3 ชั่วโมงที่หัวไม่ต้องคิดถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต หัวใจเปี่ยมด้วยความถวิลหาในอรรถรสของหนัง หลังเลิกงานของเย็นวันศุกร์ที่แสนวุ่นวาย ผมปรากฏตัวหน้าโรงหนังอีกครั้ง คนจำหน่ายตั๋วยังคงถามคำถามเดิมทุกครั้งที่ผมมาซื้อตั๋ว “กี่ใบค่ะ?” ความจริงคนจำหน่ายตั๋วน่าจะจำหน้าผมได้แล้ว เพราะผมปรากฏตัวที่นี่คนเดียวเกือบทุกวันศุกร์ ศุกร์นี้ก็เช่นกัน ผมถือตั๋ว 1 นั่งจดจ่อรอเวลาหนังฉาย เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ผมถือตั๋วเข้าโรงหนังด้วยจิตใจเอิบสุข แม้เบื้องหลังจะฉาบทาด้วยความทุกข์ก็ตาม หนังที่ผมเลือกดูในวันนี้ ไม่ใช่หนังในกระแส เป็นหนังอินดี้ของผู้กำักับหน้าใหม่ ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่ในโรงหนังมีผมเพียงคนเดียว แอบลุ้นเล็กๆว่ากว่าหนังจะฉายอาจจะมีใครซื้อตั๋วเข้ามาดูก็ได้ แต่ถึงต้องดูคนเดียวก็ไม่แปลก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการดูคนเดียว หนังโฆษณาเกือบ 30 นาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีคนเข้ามาเพิ่ม ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีจบไป ก็ยังไม่มีใครมา.. ขณะหนังกำลังเริ่ม บนจอปรากฏเครดิตและทีมผู้สร้างอย่างช้าๆ ปรากฏร่างหนึ่งเดินอย่างเชื่องช้าเช่นกันและนั่งลงข้างๆผม สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าเป็นผู้หญิง ผมไม่กล้ามองเธอตรงๆ แต่เธอผมยาว และที่สำคัญเธอมาคนเดียว!! แม้จะรู้สึกอุ่นใจที่ในโรงหนังไม่ได้มีเพียงลำพัง แต่ที่นั่งตั้งมากมาย ทำไมจำเพาะเจาะจงมานั่งเบียดกันด้วย ช่างเถอะ เธออาจจะกลัวการนั่งคนเดียวตรงข้ามกับผมที่กลัวการนั่งแน่นๆ คนเยอะๆ เราสองคนในโรงที่กว้างขวาง นังเบียดกันตรงกลางโรงหนังในแถว C เมื่อหนังดำเนินไปถึงกลางเรื่อง ผมได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆจากเธอ เสียงกระซิกสะอึกน้ำตาดังมาเป็นระยะ ถ้าหนังที่ดูเป็นหนังเศร้า หนังชีวิตผมก็จะไม่แปลกใจ แต่นี่หนังรักผจญภัย เธอร้องไห้ทำไมกัน!! เสียงเธอร้องไห้ถี่ขึ้น จนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เธอรับผ้าเช็ดหน้าด้วยเสียงขอบคุณแหบแห้ง “คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ด้วยความที่ในโรงหนังไม่มีคนอื่นนอกจากเราสองคน ผมจึงกล้าที่จะเมิดข้อห้ามคุยกันและรับโทรศัพท์ในโรงหนังที่ผมเคร่งครัดมาตลอด เพียงคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถามไปด้วยมารยาทหรือด้วยความเป็นห่วงจริงๆ แต่สิ่งที่เธอถ่ายทอดให้ฟังหลังจากนั้นทำเอาผมต้องนั่งฟังนิ่ง ผมจบความบันเทิงจากภาพยนตร์เพียงแค่ครึ่งเดียว ครึ่งหลังผมนั่งรับฟังเธอจนจบ เธอเล่าว่า.. เธอรู้จักผู้ชายคนหนึ่งและคบหาดูใ่จกันมาได้ระยะหนึ่ง ทุกครั้งที่เธอและเขาว่างต่างนัดกันมาดูหนังที่นี่ ไม่ว่าหนังที่ฉายจะเป็นหนังรัก หนังเศร้า หนังตลก จะสนุกหรือไม่ก็ตาม เธอและเขาก็ ตีตั๋วเข้าดู เพราะทั้งคู่ช่อบดูหนังมาก วันนี้ก็เช่นกันเธอนัดเขามาดูหนังอีกเช่นเคย แต่เนื่องจากเขาติดธุระอาจจะมาช้าสักนิด จึงให้เธอซื้อตั๋วไว้เผื่อด้วย เธอรอแล้วรอเล่า ก็ไม่ปรากฏเขามา โทรหาก็ติดต่อไม่ได้ เธอกระวนใจยิ่ง แต่ก็จนใจที่จะออกไปตามหาที่ไหน…

ที่เดิม

รถอัลติสติดแก๊สสีชมพู หลังคาติดป้ายโฆษณาและตัวหนังสือภาษาอังกฤษ “TAXI METER” วิ่งลัดเลาะเข้าซอย เลี้ยวผ่านมุมตึกตระหง่านผ่านอนุสาวรีย์ปรี่ยังเป้าหมายที่ไม่ซ้ำที่ในแต่ละรอบในแต่ละวัน อาชีพนี้น่าจะเป็นอาชีพที่ง่ายที่สุดในพอศอนี้ ใครก็ทำได้ ขอแค่ขับรถเป็นและมีใบขับขี่ ผู้ที่ยึดอาชีพนี้มีตั้งแต่ตาสีตาสาที่ล้มละลายจากการทำไร่ไถ่นาจนถึงนักธุรกิจ นายธนาคาร หรือผู้จัดการที่ล้มเหลวในหน้าที่การงาน ขออาศัยแท็กซี่เป็นที่พักใจ รายได้ไม่ค่อยแน่นอน ขยันหน่อยก็ได้มาก ขี้เกียจก็ได้น้อย เป็นอาชีพที่สะท้อนพุทธพจน์ที่่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ได้ชัดเจน “ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย” วันนี้ขับวนมาเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่เจอผู้โดยสารสักรายเดียว รถเมล์เยอะ ไหนจะรถตู้ และไหนจะรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินอีกละ นับวันคนที่หันมานั่งแท็กซี่น้อยลงทุกที คิดเรื่องนี้ทีไรอยากถอดใจทุกที ขณะขยับหาที่จอดนิ่งๆ รอผู้โดยสารไม่อยากขับรถผลาญแก๊ส ‘เธอ’ ผู้เป็นผู้โดยสารรายแรกก็ชูมือโบกอยู่ที่ริมฟุตบาทพอดี “ไปไหนครับ” ผมพยายามสุภาพที่สุด เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารรายแรกหลุดมือไป “เซ็นทรัลเวิร์ดค่ะ” ริมฝีปากน้อย เผยอออกแต่พองาม เสียงหวานดังบัญชาการจากสวรรค์ ทำให้ผมเคลิ้มชั่วขณะ “ไปไหมค่ะ” “ครับ” ผมรีบตอบสวนไปในทันที นาทีนี้ต่อให้เธอเรียกไปปัตตานี ผมก็ไป !! เสน่ห์ของเธอทำให้ผมลุ่มหลง พลันที่เธอเข้ามานั่งในรถความรู้สึกดังเธอเข้ามานั่งแล้ว ณ กลางใจผม กลิ่นน้ำหอมจางๆกระจายไปทั่วรถ เธอสยายผมที่ยาวประบ่าก่อนหยิบปลายผมมาดม แววตากลมโตสดใสรับกับริมฝีปากสีชมพูอ่อน แก้มทั้งสองข้างไร้เครื่องประทินโฉมแต่ยังงดงามราวแก้มเด็ก อากาศด้านนอกร้อนอบอ้าว แต่ข้างในใจผมร้อนรุ่ม ผมจะเริ่มประโยคสนทนากับเธออย่างไรดี ปล่อยไปแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ “ไปดูหนังหรอครับ?” “ไปเดินช้อปปิ้งที่เซ็นทรัลเวิร์ดบ่อยๆเหรอครับ?” “วันนี้อากาศดีนะครับ” “วันนี้รถเยอะจังนะครับ” “ฟังเพลงมั้ยครับ?” “พี่สีอะไร?” ขณะกำลังคิดหาประโยคสนทนา ดังฟ้ามีตาเธอเริ่มบทสนทนาก่อน แบบนี้ง่ายขึ้นเยอะ แต่เอ่ะ..คำถามของเธอ “น้องหมายถึงสีอะไรครับ?” “ก็สีแดงหรือสีเหลือง?” “อ้อ พี่ไม่มีสีหรอกครับ แต่พี่ชอบมหาจำลอง” “งั้นแสดงว่าพี่สีเหลือง” “เปล่า พี่ไม่มีสี” “ไม่มีสีได้ยังไง ก็จำลองนั่นนะสีเหลือง” “พี่ชอบมหาจำลอง แต่ไม่ชอบสนธิ ไม่ชอบการชุมนุมปิดสนามบิน จำลองเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสีเหลือง ไม่ได้หมายความว่าเป็นสีเหลือง พี่จึงบอกว่าพี่ไม่ใช่สีเหลือง” ท่าทางนางฟ้าของผมจะหัวการเมือง เริ่มประโยคสนทนามาทำเอาผมต้องอธิบายยาว เธอเงียบไป คงจะทึ่งกับคำพูดของคนขับแท็กซี่อย่างเรา “งั้น พี่ก็สีเหลืองอ่อน” เอะ น้องนี่ยังไง จะให้เราเป็นสีเหลืองซะให้ได้ หรือว่าน้องเขาเป็นสีเหลือง ? ถ้าน้องเขาเป็นสีเหลือง และเราก็เหลือง เราก็มีอุดมการณ์เดียวกันกับน้องเขา แบบนี้โอกาสผูกมิตรแลกเบอร์…

อยากเอาเธอนั้นไปลอยทะเล

จักฤชนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่า สายตาแม้จะเพ่งพิศไปยังหน้าจอ ทว่าใจได้ทะลุจอล่องลอยไป ณ ที่ไกลแสนไกล เขาใฝ่ฝันถึงวันหยุดพักผ่อนยาวที่ได้ไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติที่เขาชื่นชอบ ทะเล ภูเขา ต้นไม้ น้ำตก และเธอคนนั้น

สยองขวัญ..แท็กซี่ผีสิง

หลังจากยืนรอรถโดยสารราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถสองแถว หรือรถตู้ ไม่มีวี่แววว่ารถที่จะผ่านเส้นทางที่ผมต้องการจะไปผ่านมาสักที ด้วยความเหนื่อยล้า กอปรกับเวลาที่ดึกขึ้นทุกที ผมจำเป็นจะต้องเลือกการเดินทางแบบอื่นที่ไม่ใช่รถเมล์ รถสองแถว หรือรถตู้ แท็กซี่..!! มือไวเท่าความคิด ผมรีบยืนมือไปข้างหน้าเป็นภาษากายสื่อให้รถแท็กซี่ที่วิ่งเตร่มาพอดีหยุดทันที เป็นรถแท็กซี่สีชมพูหวานแหวว ทะเบียน ทร xxxx กรุงเทพมหานคร นี่คือการขึ้นแท็กซี่อย่างถูกต้อง หลังจากขึ้นรถและบอกจุดหมายแก่โชเฟอร์แล้ว อันดับต่อไปต้องจำข้อมูลของรถแท็กซี่ให้หมดแล้วจึงโทรหาเพื่อน เพื่อบอกว่าเราได้ขึ้นแท็กซี่แล้ว ทะเบียนอะไร สีอะไร ส่วนหนึ่งเพื่อให้คนขับแท็กซี่กลัวที่จะทำมิดีมิร้ายกับเรา เพราะเราไม่ได้อยู่ลำพังแค่คนขับกับผู้โดยสารแล้ว มีบุคคลที่สามรับรู้ด้วย ผมจดจำทะเบียนรถและชื่อผู้ขับได้แล้ว แต่ไม่ได้โทรบอกใคร ดูลักษณะคนขับภายนอกไม่น่ามีพิษมีภัย แต่ผมหารู้ไม่ว่านั่นคือความคิดที่ผิด !!! ผมนั่งโดยสารที่เบาะหลังเยื้องกับคนขับ ไม่มีบทสนทนา ไม่มีการพูดคุยหรือบอกทางระหว่างผมกับคนขับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั่งรถวิ่งถึงทางเปลี่ยวแห่งหนึ่งระยะทางที่จะถึงที่หมายมาถึงครึ่งทางแล้ว จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น .. เป็นโทรศัพท์ของโชเฟอร์แท็กซี่ ด้วยความที่ภายในรถเงียบ เพราะไม่ได้เปิดเพลงหรือวิทยุสือสาร ทำให้เสียงโทรศัพท์และเสียงสนทนาดังชัดเจนจนผมขนลุก !! โชเฟอร์กดรับโทรศัพท์ และเริ่มสนทนา น้ำเสียงแผ่วเบา นิ่งเรียบจนขนลุก !! ผมสัมผัสถึงกลิ่นบางอย่าง มันพุ่งมาตามแรงของแอร์กระแทกเข้าโพรงจมูกอย่างจัง .. ผมกระพริบตาถี่ๆ ปฏิกิริยาโต้ตอบช้าลง มองข้างทางเห็นตึกราบ้านช่องลางเลือน ก่อนที่ผมจะตั้งตัวว่ากลิ่นมาจากไหนและเกิดอะไรขึ้น โชเฟอร์ก็เริ่มบทสนทนาอย่างออกรสออกชาติ บางประโยคสนทนาหวาดเสียวและน่าคลื่นไส้ เขาทำราวกับว่าไม่มีผมอยู่ตรงนั้นด้วย พอผมตั้งใจฟัง จึงพอปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างได้ว่าคู่สนทนาของโชเฟอร์คือกิ๊ก มีการป้อนคำหวานเป็นระยะๆ ต่อด้วยการนัดแนะเพื่อไปเที่ยวกัน กลิ่นภายในรถเพิ่มปริมาณมากขึ้นๆทุกที ผมจะเอ่ยปากถามพี่โชเฟอร์ว่าได้กลิ่นเหมือนผมไหม ก็ใช่ที่ เพราะพี่แกกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจีบกันอย่างออกรสออกชาติปานนั้น ผมพยายามไม่คิดเรื่องที่ไม่ดี เรื่องที่มองไม่เห็นและไม่ควรหลบลู่.. รายการเรื่องจริงผ่านจอ เคยทำสกู๊ปรถแท็กซี่ผีสิง รถแท็กซี่คันนั้นก็สีชมพู รายงานบอกว่า โชเฟอร์ได้ข่มขื่นและฆ่าผู้โดยสารหญิงสาวบนรถ ทำให้หลังจากนั้นวิญญาณหญิงสาวก็วนเวียนอยู่ภายในรถแท็กซี่คันนั้น บางวันมาเป็นกลิ่นเน่าเหม็น บางวันมาเป็นร่างที่โชกเลือดนั่งด้านหลัง หลอกหลอนจนโชเฟอร์ใจบาปคนนั้นต้องมามอบตัวกับตำรวจ..โชเฟอร์ถูกจับดำเนินคดี แต่รถแท็กซี่สีชมพูคันนั้นยังอยู่!! “มันคงไม่ใช่แท็กซี่คันนั้น..ใช่มั้ย?” ผมถามตัวเอง และตอบตัวเองว่า “ไม่ใช่” “แล้วกลิ่นละ.กลิ่นมาจากไหน และกลิ่นอะไร? มันเป็นกลิ่นเน่าเหม็นสาป ขยะเปียกก็ไม่ใช่ ลำไส้เน่าก็ไม่ปาน มันเหม็นกว่านั้น” ระหว่างที่ผมพยายามหาคำตอบและปลอบใจตัวเองอยู่นั้น โชเฟอร์ยุติการสนทนากับกิ๊กด้วยประโยคสุดคลาสิก “จุ๊บๆ” หรือว่าผมจะถามโชเฟอร์ดี ว่าได้กลิ่นเหมือนผมมั้ย แต่หากถามไปแล้ว เกรงว่าจะยิ่งทำให้โชเฟอร์ประสาทกินและหลอนขึ้นอีก เพราะแกต้องใช้รถคันนี้หากินอีกทั้งคืน ..และที่สำคัญตอนนี้กลิ่นมันหายไปแล้ว บรรยากาศบนรถเงียบอีกครั้ง มันอาจจะดูน่ากลัว…

ความเป็นพ่อ

เขายืนสงบนิ่งในซอกตึก ปล่อยให้ตำรวจเดินผ่านไป หัวใจที่เต้นตูมตามค่อยๆสงบนิ่ง และเป็นปกติในที่สุด

แม้จะผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน บางคนลงมือทำความชั่วเพราะโหยหาความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกตื่นเต้น หวาดกลัว มันช่วยให้เลือดสูบฉีดซ่านไปทั่วตัว แต่สำหรับเขาไม่ใช่ เขาทำเพราะจำเป็นจริงๆ

ทะเลาะ..ทำไม

สายน้ำไหลเลาะเซาะซอกเขาใหญ่น้อย รวมกันเป็นสายน้ำใหญ่ไหลลงมาล่อเลี้ยงชาวเมืองใหญ่ถึงสองเมือง แม่น้ำนี้จึงเปรียบดั่งชีวิตและจิตใจ คราใดที่ขาดน้ำผู้คนดุจจะสิ้นใจ คราวใดที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็เปรมปรีด์มีความสุข แม่น้ำสายนี้จึงเปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ล่อเลี้ยงสองเมือง คือ เมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะตลอดมา แม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่าแม่น้ำโรหิณี เมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งเป็นเมืองของบิดาของพระพุทธเจ้าของพวกเราตั้งอยูทางเหนือแม่น้ำ ส่วนเมืองเทวทหะซึ่งเป็นเมืองของมารดาของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำ  ทั้งสองเมืองเปรียบเหมือนเป็นเมืองพี่เมืองน้อง เป็นเมืองที่เป็นญาติถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และเป็นเช่นนี้มานานนับปี จนกระทั่งมาปีหนึ่งซึ่งน้ำในแม่น้ำน้อยลง แม่น้ำซึ่งทั้งสองเมืองยืดถือเป็นลมหายใจ ดุจจะลองใจคนทั้งสองเมืองให้สำนึกในบุญคุณ ว่ากันว่า ถ้าจะดูใจคนให้ดูในตอนที่เกิดเรื่อง เพราะในตอนนั้นธาตุแท้ของคนก็จะออกมาให้เราประจักษ์ ทั้งสองเมืองมีอาชีพทำนาเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อขาดน้ำก็เหมือนขาดข้าวไปด้วย เมืองที่อยู่ทางเหนือแม่น้ำ เริ่มแสดงความเป็นคนใจแคบโดยการกั้นน้ำไว้ ทดน้ำเข้านาของตน เมืองที่อยู่ทางใต้น้ำเกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติ จึงจำเป็นต้องมาเจรจากันระหว่างสองเมือง การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีทีท่าเหมือนมาเจรจากันเลย เพราะทั้งสองเมืองได้ยกทัพมาประจันหน้า ณ แม่น้ำโรหิณี ความเป็นเมืองที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปันกันในฐานะเมืองพี่เมืองน้อง เมืองญาติกันไม่เหลืออีกต่อไป   พระพุทธองค์ทรงเห็นถึงภัยร้ายแรงนี้ จึงเสด็จรุดไปในวันนั้น ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้งสองเมือง พระองค์ทรงประทับยืนกลางแดด จนพระญาติทูลถามว่า “ไยพระองค์ถึงเสด็จยืนท่ามกลางแดดที่ร้อน” พระองค์ตรัสว่า “ถึงแดดจะร้อน แต่ร่มเงาของพระญาตินั้นเย็นกว่าร่มเงาใต้ต้นไม้นัก” เมื่อเห็นพระญาติทั้งสองฝ่ายเงียบ จึงตรัสถามต่อไปว่า  “มหาบพิตรทั้งสอง ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร” “เรื่องน้ำพระพุทธเจ้าข้า” “ระหว่างน้ำกับชีวิตคนนี่อย่างไหนจะมีค่ามากกว่ากัน” พระองค์ตรัสถาม  “ชีวิตคนมากกว่า  พระพุทธเจ้าข้า”  “ควรแล้วหรือที่ทำอย่างนี้”   พระญาติดุษณีภาพทุกคน   ไม่มีใครกราบทูลเลย   พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า      “ถ้าเราตถาคตไม่มาที่นี่วันนี้  ทะเลเลือดจะไหลนองดุจสายน้ำ”     เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พระญาติทั้งสองเมืองได้สติ และไม่รบราฆ่าฟันกันในวันนั้น      วันนี้ยกพระพุทธประวัติบางส่วนมาเล่า เพราะเดี๋ยวนี้เกิดเรื่องทะเลาะ ขัดแย้งกันเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะทะเลาะกับเพื่อน แฟน ทะเลาะกับคนข้างบ้าน ทะเลาะกับคนที่ไม่รู้จักบนท้องถนนที่เราเห็นว่าเขาขับรถไร้มารยาท(แต่เราก็เคยทำแบบนั้นในวันที่รีบ) ทะเลาะกับแท็กซี่ ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ทะเลาะกับเจ้านาย ทะเลาะกับพี่น้อง ทะเลาะกับญาติ ทะเลาะกับคนข้างประเทศ ฯลฯ     การทะเลาะกันเกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างมองว่าอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง และฝ่ายเราถูกเอาเปรียบ   การทะเลาะยอดฮิต ก็คือ ทะเลาะด้วยเรื่องผลประโยชน์ ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้มักจบไม่สวยและลุกลามใหญ่โตกลายเป็นทะเลาะเรื่องอื่นๆ สาวไส้มาทะเลาะมาเกลียด จนลืมต้นเค้าว่าเดิมเราทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร    …

สืบนัก..รักซะเลย : ตอนที่ 1 ปริศนาการตาย

นิดตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน เวลาเช้าของเธอนั้นต้องบอกว่าเช้าจริงๆ เพราะเธอออกจากบ้านในเวลาตี 5 เธอต้องตื่นไปจ่ายตลาด เพื่อทำข้าวแกงให้ทันขายในเวลาเที่ยง  เช้าวันนี้หน้าคอนโดเงียบกว่าที่เคย หรือเธอรู้สึกไปเอง อาจเพราะยามลาไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงทำให้ไม่มีใครทักทายในเวลาเช้าเช่นทุกวัน เธอค่อยๆถอยรถกระบะคู่ใจอย่างช้าๆ แม้จะรู้สึกสลึมสลืออยู่บ้าง แต่ความเคยชินบวกกับความที่ขับรถมานาน เธอจึงขับรถได้อย่างกระฉับกระเฉง เนื่องจากรถจอดอยู่บนที่ชัน แค่ปลดเบรกมือ มันก็ค่อยๆไหลลง ขณะที่รถค่อยๆไหลลงมาได้ครึ่งทาง มันกลับติดแง็กอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมไหลถอยมาให้ถึงถนนใหญ่ นิดรู้สึกแปลกใจ เพราะทุกครั้ง เธอไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งเพื่อถอยรถเลย แตะเบรกอย่างเดียวเพื่อกันไม่ให้รถไหลลง เธอแตะคันเร่งนิดนึง เพื่อให้รถถอยไปได้ เมื่อรถค่อยๆขยับ เธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ใต้ท้องรถ!! รถของเธอกำลังเหยียบสิ่งที่มีลักษณะนุ่มเหมือนสิ่งมีชีวิต!!! แต่ไม่น่าจะใช่สิ่งมีชีวิต เพราะไม่มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดใดๆเล็ดลอดออกมา ถึงกระนั้นนิดก็ใจคอไม่ค่อยดี เธอจึงรีบลงจากรถมาดู ภาพที่ปรากฏต่อหน้า แทบทำให้เธอล้มทั้งยืน มันช่างน่าสยดสยอง ลมในท้องปั่นป่วน เหมือนอวัยวะภายในได้รับความวุ่นวายอย่างหนัก เธอถึงกับหน้ามืด แต่ยังประคองตัวได้ไม่ให้เป็นลม ก่อนจะไปเรียกใครต่อใครมาให้ช่วยดูสิ่งที่เกิดขึ้น สุนัขท้องแก่ นอนอยู่ในสภาพไร้ลมหายใจ ท้องไส้กระจัดกระจายไปรอบๆ กลิ่นเลือดคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณ ลูกน้อยๆในท้องประมาณ 5-6 ตัว ขาดใจตายเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าสุนัขท้องแก่นี้ตายเพราะอะไร ถึงนิดจะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ได้ตายเพราะน้ำมือของเธอ แต่สภาพศพที่เละเลือดนองพื้น เกิดขึ้นเพราะฝีมือเธอแน่ๆ สีนวลเป็นสุนัขท้องแก่ ที่ลุงเกิดรับมาอุปการะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สีนวลเป็นสุนัขหลังอานไทยแท้สีน้ำตาลอ่อน ลิ้นมีสีดำแต้ม แสดงถึงลักษณะของสุนัขฉลาด แสนรู้ และซื่อสัตย์  ลุงเกิดพบมันขณะขับแท็กซี่ไปส่งผู้โดยสารในทางเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมันมีอายุเพียงขวบกว่า ถูกรถเฉี่ยวนอนรวยรินอยู่ข้างทาง ลุงเกิดนึกสงสารจึงรับกลับมาปฐมพยาบาล และให้ป้าเนียร ภรรยาของแกที่มีอาชีพขายของในร้านโชว์ห่วยใต้คอนโดช่วยดูแล หลังจากรักษาจนหาย ก็ไม่ได้ขังหรือหน่วงเหนี่ยวมันไว้แต่อย่างใด แต่เจ้าสีนวลก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ทุกคนในคอนโดต่างให้ความเอ็นดูสีนวล เพราะมันเป็นสุนัขที่น่ารัก เล่นได้กับทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆ และจะเห่าอย่างดุร้ายเมื่อพบว่ามีคนแปลกหน้า ทำท่าทางพิรุธผ่านมา “ไม่มีเหตุผล ที่สีนวลจะถูกฆ่า นอกจากอุบัติเหตุ” หมวดสรวัฒน์ ผู้อาศัยในคอนโดชั้น 11 ตั้งข้อสันนิษฐาน “หมวดจะบอกว่า สีนวลถูกรถทับตายงั้นเหรอ? แล้วทำไมขณะถูกรถทับมันไม่ร้องสักเอ๋ง มันชัดเจนอยู่แล้วว่ามันตายก่อนหน้านั้น ทำไม..” “ฟังผมให้จบก่อนสิพี่พัน. ผมไม่ได้จะบอกอย่างนั้น อุบัติเหตุที่ว่า ผมหมายถึง งู หรือตะขาบกัดตาย” “แถวนี้มันเคยมีสัตว์แบบนั้นด้วยหรือหมวด ตั้งสมมติฐานให้สมกับเป็นตำรวจหน่อยสิคร้าบ” พันเริ่มเรียงดัง เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนซึ่งเป็นธรรมดาสำหรับอาชีพของเขา พันขับรถเมล์ร่วมบริการ…

หาย?

“คุณตำรวจค่ะ จิ๊กกี๋หายตัวไปจากบ้าน 3 วันแล้วค่ะ” หญิงสาวแจ้งความทันทีที่เข้าไปในสถานีตำรวจ ดูท่าทางเธอตกใจไม่น้อย ขณะที่ตำรวจพึ่งปิดแฟ้มคดีเรื่องอื่นไปเมื่อก่อนหน้า อย่างเหนื่อยหน่าย “ใจเย็นๆก่อนนะครับ ค่อยๆเล่า คุณบอกว่าจิ๊กกี๋หายตัวไปจากบ้าน 3 วันแล้ว?” “ค่ะ คุณตำรวจ” คำตอบไวแทบจะเท่ากับคำถาม “ก่อนหน้านี้ เขาเคยมีปัญหาอะไรกับใคร หรือมีปัญหากับทางบ้านมั้ยครับ” “ไม่ค่ะ แต่..เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เขาเคยทะเลาะกับเพื่อน ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร” “ครั้งสุดท้าย คุณเจอเขาเมื่อไร?” ตำรวจถาม พร้อมหยิบปากเตรียมเก็บรายละเอียด “เมื่อตอนบ่าย 2  วันก่อน ตอนดิชั้นเข้าบ้าน เขาก็ยังออกมาต้อนรับ” “แล้วคุณจิ๊กกี๋นี่ เป็นหญิงหรือชาย อายุประมาณเท่าไร วันสุดท้ายที่พบเขา เขาใส่เสื้อผ้าสีอะไร”? “จิ๊กกี๋ เป็นผู้หญิง อายุประมาณ 4   ปี สีดำ พันธ์ุ…” “เดี๋ยวนะครับ..จิ๊กกี๋ที่คุณพูดถึงนี่ เป็นคนหรือสัตว์?”  ตำรวจหนุ่มหยุดการบันทึก หันมาจ้องหน้าเธออย่างซีเรียส “เป็นสุนัขค่ะ พันธุ์ไทยแท้ สีดำคาดแดง นิสัย..” “พอเลยคุณ แค่คดีที่เกี่ยวกับคนที่มีอยู่ ผมก็แทบไม่มีเวลาดูละครหลังข่าวอยู่แล้ว หมาที่หายไปก็เป็นหมาไทยบ้านๆ ถ้าเป็นหมาฝรั่ง ตัวแพงๆก็ว่าไปอย่าง หมาบ้านๆแบบนี้ ถ้าอยากได้ใหม่ ไปขอใครมาเลี้ยงก็ได้” ตำรวจทิ้งปากกาลงบนโต๊ะ พูดพลางเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ได้รับคำตอบอย่างไม่ใยดีจากตำรวจไทย หญิงสาวแทบกรี๊ดเป็นภาษาเวียดนามให้โรงพักแตก แต่เธอสะกดอารมณ์โกรธไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่จะพูดไปว่า “หมาไทย มันไม่ดียังไง แล้วมันสู้หมาฝรั่งไม่ได้ตรงไหน แล้วคุณตำรวจเอาอะไรไปวัดว่าหมาฝรั่งที่ตัวแพงๆ มันดีกว่าหมาไทย หมาไทยก็ใช่ว่าจะรักเจ้าของน้อยกว่าหมาฝรั่ง ถ้าคุณค่าของหมาวัดกันด้วยความซื่อสัตย์ ดิชั้นกล้ายืนยันได้เลยว่า จิ๊กกี่หมาไทยของดิชั้น มูลค่าแพงกว่าหมาฝรั่งเป็นหลายเท่าแน่” “เอาเถอะ ๆ ..คุณจะพูดยังไงก็ตามเถอะ แต่ผมจะไม่รับแจ้งความเรื่องหมาหายของคุณ เดี๋ยวมันก็กลับบ้านแล้ว หมาบ้านๆนะ” ตำรวจตัดบทอย่างรวบรัด ตาชำเหลืองดูนาฬิกาอีกครั้ง เขากำลังคิดถึงตอนจบของละครหลังข่าวสุดโปรดอยู่ “หมามันออกจากบ้านไป จะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ รถราก็เยอะ ตึกราบ้านช่องก็มากมาย มันอาจหลงทาง หรือถูกรถชน..” พูดถึงตรงนี้ แววตาเธอเริ่มประกาย คลอด้วยน้ำตา “โอเค…

ตัวตาย ตัวแทน

ในค่ำคืนเดือนมืด ผมยังคงจับพวงมาลัย มองไปข้างหน้าท่ามกลางทางที่มืดสนิท ข้างทางมีป่าไม้ สลับกับทุ่งนาร้าง เวิ้งว้างในหน้าแล้ง กว่า 10 ปีที่ผมไม่ได้เจอกับเพื่อนๆสมัยเรียนประถม เป็นครั้งแรกหลังจากที่เราแยกย้ายกันมาที่จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ต้องขอบคุณไอ้กิ่ง และไอ้ยศที่มันเป็นคนริเริ่มจัดงานเลี้ยงรุ่น ทั้งยังอุตส่าหติดต่อเพื่อนๆเราในรุ่นจนครบ พรุ่งนี้ตอนเย็นงานเลี้ยงอันอบอุ่นจะเริ่มขึ้น ผมรีบเคลียร์งานที่ค้างทั้งหมด แล้วบึ่งรถตามเพื่อนๆที่ล่วงหน้าไปก่อนกันแล้ว เส้นทางนี้ เมื่อก่อนเป็นทางที่ใช้วิ่งเป็นประจำ ดังนั้น แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม แม้จะไม่ได้ใช้เส้นทางนี้แล้วกว่า 10 ปี แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม มีเพียงต้นไม้ และทุ่งนาอันเวิ้งว้างที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามฤดูกาล ขณะนาฬิกาบนหน้าปัด บอกเวลาตีหนึ่ง ผมรู้สึกง่วงเล็กน้อย อยากจะหาปั้มงีบสักแห่ง แต่ทางข้างหน้ายังเป็นทุ่งร้างสลับป่าเช่นเดิม เส้นทางนี้หากไม่ชินทาง ให้เกิดความน่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะเวลาขณะนี้ ยากที่จะหารถวิ่งบนท้องถนนเป็นเพียง ราวกับว่ามีเราเพียงคันเดียวที่กำลังเดินทางในค่ำคืนนี้ ความรู้สึกปล่าวเปลี่ยวเริ่มทวีขึ้นทุกที ผมเริ่มเหยียบคันเร่งขึ้น เพื่อให้เจอเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนบ้าง หรืออย่างน้อยเจอหมู่บ้านบ้างก็ดี เพราะขณะนี้มีเพียงความมืดและป่า ขณะที่ผมพยายามเร่งความเร็วอยู่นั่นเอง ผมเหลือบดูกระจกหลัง ปรากฏมีรถคันหนึ่งวิ่งจากระยะไกล  และด้วยความเร็ว รถคันนั้นค่อยๆใกล้ผมมากขึ้น มากขึ้น จนแซงหน้าผมไป ขนาดผมวิ่งที่ความเร็ว 120/ชม รถคันนั้นยังแซงผมไปได้  ผมไม่คิดจะขับตาม คงขับไปเรื่อยๆ จนรถคันดังกล่าวลับตาไป ไม่ทันที่คันหน้าลับตา คันหลังก็ปรากฏขึ้น ผมรู้สึกดี ไม่เปล่าเปลี่ยว อย่างน้อยบนถนนนี้ก็ยังมีผู้ขับขี่ร่วมเส้นทาง ผมเริ่มสนุกกับการนับจำนวนรถที่แซงขึ้นหน้าไป จากคันแรกที่ปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้มีรถแซงผมไปแล้ว 5 คัน!! แต่เมื่อคันที่ 6 ปรากฏตัวขึ้น ผมรู้สึกถึงความผิดปกติ!! ทุกคันที่ปรากฏตัว มักจะเวลาเดียวกันกับที่คันหน้าลับตาไป เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง และที่น่าแปลกใจ ทุกคันเป็นรถเก๋งสีขาวเหมือนกัน!! ผมเริ่มสังเกตป้ายทะเบียน อยากจะรู้ว่าเป็นอันเดียวกันหรือไม่? “xxxx กรุงเทพมหานคร” ผมพึมพำป้ายทะเบียนในลำคอ เมื่อคันที่ 6 ผ่านหน้าไป ผมจำป้ายทะเบียนได้อย่างแม่นยำ.. ขณะที่รถคันที่ 6 ลับตา ไฟจากรถคันหลังก็ปรากฏขึ้นทันที!! เป็นไปตามที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้ไม่มีผิด แต่เมื่อรถคันนั้นแซงไป ผมโล่งใจ  ไม่ใช่รถเก๋ง มันเป็นรถกระบะยอดนิยมที่มีสมรรถนะดีเยี่ยม โฉบเฉี่ยว และทรงตัวดี เหมาะกับการขับในต่างจังหวัด VIGO ผมคงคิดมากไป กับข้อสังเกต 2 ข้อนั่น คงเป็นความบังเอิญ…

BLOG I FOUND

เรื่องราวที่พบที่เจอมาระหว่างทาง