Skip to content

N E V I K U P

Find your Heart, Find the Happiness.

☰
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ
  • หน้าแรก
  • ท่องเที่ยว
  • คาเฟ่รีวิว
  • เรื่องสั้นสั้น
  • เรื่องยาว
  • สารบาญ

เพลงสั้น

หมวดนี้ไม่ใช่หมวดแต่งเพลง..แต่เอาชื่อเพลงมาเป็นชื่อเรื่อง

อ่านต่อ

ปราสาททราย

เพลงสั้น, เรื่องสั้นสั้น 5 July 201131 July 2015

ดินแดนหลังภูเขาที่สูงตระหง่าน 5 ลูกตั้งติดต่อกัน มีแม่น้ำที่ไหลจากภูเขาสูง ด้านล่างที่แม่น้ำไหลผ่าน มีเมืองเมืองหนึ่งตั้งอยู่

ปราสาททราย พระราชา เจ้าหญิง
อ่านต่อ

เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)

เพลงสั้น, เรื่องสั้นสั้น 4 July 20119 February 2016

ด้วยความที่เจ้าหญิงพึ่งอายุย่าง 16 ยังไม่เคยรู้จักความรักและความรู้สึกแบบนี้ก็พึ่งเกิดขึ้นกับเธอ

ความรัก นักพรต เจ้าหญิง
อ่านต่อ

ไม่ใช่เจ้าชาย

เพลงสั้น, เรื่องสั้นสั้น 3 July 201111 February 2017

ในที่จองจำเจ้าหญิงได้พบกับหญิงงามและหญิงเกือบงามอีก 4-5 นาง ทราบภายหลังว่าเธอทั้งสิ้นล้วนถูกจับขังเพราะแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหญิง แต่ละคนก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป

เจ้าชาย เจ้าหญิง
อ่านต่อ

เจ้าหญิงคนต่อไป

เพลงสั้น, เรื่องสั้นสั้น 2 July 201111 February 2017

เจ้าหญิงและสัตว์ผู้ภักดีที่สี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง

เจ้าหญิง
อ่านต่อ

เจ้าหญิง

เพลงสั้น, เรื่องสั้นสั้น 1 July 201114 June 2019

ณ กลางป่าดินแดนแสนไกล เจ้าหญิงในชุดสีขาวปรากฏกายบนท้องทุ่งสีเขียว
รอบๆรายล้อมด้วยสัตว์นานาชนิดที่จงรักภักดี
มีกวาง มีกระต่าย นำหน้าด้วยหมีและนกกระจอก

กวาง เจ้าหญิง
คนที่ถูกรัก อ่านต่อ

คนที่ถูกรัก

เพลงสั้น 17 June 20117 June 2019

ใกล้เวลา 4 โมงเย็นนั่นหมายถึงเวลางานผมใกล้จะหมด การทำจะล่วงเวลาย่อมมีค่าใช้จ่าย คือต้องเสียค่าเช่ารถเพิ่มอีกกะหนึ่ง แต่ต้องเสี่ยงกับสภาพร่างกายที่อาจจะหลับในได้ผมจึงบึ่งแท็กซี่หาปั้มเพื่อทำความสะอาดรถก่อนส่งอู่ เพื่อนแท็กซี่หลายคนไม่ยอมปิดไฟสัญญาณว่า “ว่าง” ขณะขับกลับอู่ เผื่อเจอผู้โดยสารที่ไปทางเดียวกับตน จะได้เงินเพิ่มไม่เสียเที่ยว แต่ส่วนใหญ่เจอผู้โดยสารที่ไปคนละทาง นั่นย่อมหมายถึงการต้องขัดใจผู้โดยสารเมื่อกล่าวคำปฏิเสธ ผมปิดไฟสัญญาณ ว่าง บึ่งรถกลับอู่ โทรศัพท์nokiaรุ่นเก่าที่นอนสงบนิ่งมาทั้งวันเป็นปกติ วันนี้มาร่ำร้องขึ้นปรากฏเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก!!“สวัสดีครับ..” ผมพูดเสียงเรียบ“อา นี่เราเองนะ” ปลายสายเป็นผู้หญิงเสียงกังวาล“โทษนะครับ ชื่ออะไรครับ”“เราเอง ปลาไง” ปลา ในชีวิตผม ผมรู้จักคนชื่อปลาเพียงคนเดียวเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไม่เพียงรู้จัก ผมและเธอถึงขั้นเป็นแฟน ตอนนั้นผมยังไม่ขับแท็กซี่ ยังครองชีวิตมนุษย์เงินเดือนเต็มขั้น ปลาทำบัญชีให้บริษัท ผมกับเธอสนิทกันได้ไม่นาน เราทั้งคู่ก็ยอมใช้สรรพนามเรียกกันว่า “แฟน” และเปลี่ยนสถานภาพในเฟสบุคว่า “มีแฟนแล้ว” ความรักของเราเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ทะเลสงบมักมีพายุใหญ่รออยู่ข้างหน้า ปลาขยับฐานะเป็นรองผู้จัดการในปีถัดมาที่เรารู้จักกันและจากวันนั้นเธอก็มีเวลาว่างสำหรับแฟนอย่างผมน้อยลง แต่เธอกลับมีเวลาให้ผู้จัดการหนุ่มมากขึ้น จากนั้นไม่นานผมแอบเห็นสถานภาพในเฟสบุคของเธอเปลี่ยนเป็น “โสด” ผมเอะใจ แต่ไม่เข้าใจ จนที่สุดข้อสงสัยทั้งหมดก็กระจ่าง คืนนั้นเป็นวันเกิดผม แต่เธอลืมโดยอ้างว่าต้องไปต่างจังหวัด เพื่อนที่สนิทและไว้ใจได้คนหนึ่งบอกว่า คืนนั้นเธอไปกับผู้จัดการหนุ่ม..ผมทนปวดใจอีก 2 เดือนจึงลาออก เธอไม่มาแม้เพื่อบอกลา “อ้อ ปลา..” การโทรศัพท์หาผมในครั้งนี้จึงทำให้ผมแปลกใจมาก เพื่อนสนิทหรือคนรู้จักที่ไม่ติดต่อเรามานานมากแล้ว แต่จู่ๆติดต่อกลับมา มีไม่กี่สาเหตุ 1.ยืมตังค์ 2.ขายตรง “อา สบายดีนะ ตั้งแต่อาไปครั้งนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยเนาะ” “สบายดีครับ ว่าแต่มีอะไร?” “เปล่า ไม่มีอะไร คิดถึงจึงโทรหานะ อยากเจออยากทานข้าวด้วย” “คงไม่สะดวกหรอกครับ” ผมกล่าวสวัสดีก่อนวางสายด้วยความมึนงง สงสัยเพราะภาวะโลกร้อน ถึงผมไม่มีแฟน แต่คงไม่อยากคืนดีกับคนอย่างเธอแน่นอน คนที่คบคนเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างเธอมันน่ารังเกียจ แต่ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ ปลาหวังผลประโยชน์อะไรในตัวผมเหรอ คนที่ไม่มีอนาคตขับแท็กซี่อย่างผมเนี่ยะนะ !?! ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ลง มันก็ส่งเสียร้องอีกครั้ง “สวัสดีครับพี่ยง ผมว่าจะเอาเงินไปคืน..พ” “ไม่เป็นไรอา ไม่ต้องรีบร้อน เย็นนี้ว่าจะชวนไปหาอะไรดีๆกินสักหน่อย” นี่ก็อีกรายที่ผมได้ยินคำพูดที่ไม่คาดว่าจะได้ยินจากปาก ยง หรือเฮียยง คนในอู่รู้จักดีว่าเป็นคนพูดเสียงดังโพงพาง เกือบทุกคนติดหนี้แก แม้จะปล่อยดอกที่สูงลิ่ว แต่หลายคนมีทางเลือกไม่มากนักทุกวันจะเจอแกทวงเงิน แต่วันนี้..แกไม่พูดถึงเงินแต่กลับชวนไปกินข้าว! ยังไม่ทันวางสายพี่ยง ก็มีสายซ้อนขึ้นมา ดังนั้น พอพี่ยงวางสายเสียงจากอีกสายก็แทรกเข้ามาในหูผมทันที“อา…

คนที่ถูกรัก
เขียนถึงคนบนฟ้า อ่านต่อ

เขียนถึงคนบนฟ้า

เพลงสั้น 18 March 201126 July 2016

ชายหนุ่มนั่งเหม่อบนดาดฟ้าตึก 20 ชั้น สายตาเบิ่งไปยังเบื้องหน้าไร้จุดหมาย บนท้องฟ้าปรากฏกลุ่มเมฆสีดำเป็นสัญญาณเตือนว่าไม่กี่นาทีนับจากนี้จะเกิดฝน หลายคนเริ่มโกลาหลเพื่อเข้าที่พัก กลับบ้าน หรือจัดการกับข้าวของที่คาดว่าจะโดนฝน รถบนท้องถนนเริ่มคลาคล่ำติดขัด แต่ชายหนุ่มบนดาดฟ้ายังคงนิ่งเฉยกับเหตุการณ์รอบข้าง เขายังคงนิ่งและเหม่อลอย จิตใจเขาล่องลอยไป ณ ที่แดนไกล  ด้วยความที่เป็นดาดฟ้าสูง บวกกับฟ้าที่มืดครื้ม จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นเขาผู้ซึ่งอยู่ใกลักับความตายระยะประชิด เขาขยับขาเข้าใกล้ริมดาดฟ้า ในขณะที่สายตาไม่ได้มองขาที่ก้าว ในห้วงความคิดของเขาขณะนี้ วนเวียนด้วยเรื่องราวในอดีตที่เขาและเธอรู้จักและรักกัน!! เธอคนนั้นช่าทำให้เขาเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ รอยยิ้ม คำพูด และอิริยาบถต่างๆข่องเธอผ่านเข้ามาาในหัวของเขาราวสไลด์โชว์ เขายิ้มเมื่อสไลด์โชว์แห่งอดีตนำเสนอเรื่องราวของเธอและเขาช่วงที่รักกัน แต่ฉับพลันเขากลับร้องไห้ เมื่อสไลด์มาถึงจุดสุดท้ายที่เธอจากไป.. เธอทิ้งเพียงเมสเสจสั้นๆบนมือถือของเขา “ฟ้าต้องไปแล้ว..” และหลังจากนั้นโลกของเธอกับเขาก็ขาดหายไป เขาติดต่อเธอไม่ได้ เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย “หรือเธอเป็นเพียงนางฟ้าที่มีเวลามาเล่นสนุกในโลกมนุษย์เพียง 30 วัน” เขาตั้งสมมติฐานอย่าคนบ้าที่ไม่เข้าใจความรัก แต่มันเป็นความจริงที่เขาและเธอรู้จักกันและรักกันในเวลา 30 วันเท่านั้น แล้วเธอก็โบยบินจากเขาไป.. ชายบนดาดฟ้ายังคงจินตนาการเธอเป็นนางฟ้า และตัวเขาเองกำลังจะบินไปหาเธอ เธอผู้ทำให้เขาเป็นบ้าไปแล้วในขณะนี้ บนท้องฟ้าเริ่มปรากฏเม็ดฝน และในที่สุดฝนก็ตกอย่างหนัก ท้องฟ้ามืดสนิท ชายหนุ่มสำนึกว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องโบยบิน เขารอสัญญาณฟ้าแล่บอีกครั้ง แล้วเขาจะบิน!! ในชั่วขณะความเป็นกับความตายใกล้กันถึงที่สุด สัญญาณจากฟ้าจะเป็นเครื่องชี้ชะตาชีวิตเขา และทันใดนั้นเอง ฟ้าแล่บปรากฏขึ้นพร้อมเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ชายหนุ่มก้าวขาขวาออกเบื้องหน้าทันที! เขาใกล้ไปพบกับนางฟ้าของเขาในบัดนี้แล้ว ไม่ทันที่เท้าข้างขวาจะทิ้งน้ำหนักลงไป โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น..ก่อนจะไป ขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายไว้กับโลกใบนี้ เขาชักขากลับยืนที่เดิม หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมาดู บนหน้าจอปรากฏเบอร์ของเธอคนนั้น .. นางฟ้าของเขา เขารีบกดรับทันที!! ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร เสียงปลายสายก็ดังขึ้นมาทันที “คุณอยู่ไหนค่ะ ได้รับเมสเสจของฟ้าไหม? ตอนนี้ฟ้าเสร็จธุระที่ตจว.แล้ว ฟ้า..ตู๊ด ..ตุ๊ด ตุด” แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป เขารีบโทรกลับ แต่ก็ไร้สัญญาตอบกลับ ชายหนุ่มเปิดอ่านเมสเสจเธออีกครั้ง เขาพึ่งพบว่าเมสเสจของเธอมีทั้งหมด 3 ข้อความ “ฟ้าต้องไปแล้ว..” เมสเสจที่ 2 “..ป่วยหนัก..รีบไป..” และเมสเสจสุดท้าย “ที่บ้าน..สัญญาณ..มี” เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวจนพอเข้าใจได้ รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่มันก็สายไปที่เขาจะกลับไปเสียแล้ว ฟ้าแล่บอีกครั้ง มาพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ร่างชายหนุ่มบนดาดฟ้าไหม้เกรียม และล่องลอยสู่เบื้องล่าง.. ร่างแหลกละเอียด และไหม้เกรียม แต่ที่มุมปากของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุข.. * ชื่อเรื่องจากชื่อเพลง เขียนถึงคนบนฟ้า ของพิง…

คนบนฟ้า อกหัก
เมื่อเขามา..ฉันจะไป อ่านต่อ

เมื่อเขามา..ฉันจะไป

เพลงสั้น 4 March 2011

บนถนนโค้งแสนเปลี่ยว ข้างถนนรกครึ้มด้วยต้นหญ้าและต้นไม้สูงใหญ่ไล่ระดับ กลางคืนถนนเส้นนี้มืดสนิท ชาวบ้านแถวนี้รู้ดีว่าถนนเส้นนี้ไม่เหมาะกับการคมนาคมในยามวิกาล ได้แต่หวังผู้แทนปากหวานที่เคยให้คำมั่นสัญญาจะดำเนินการทำถนนให้ปลอดภัยมีไฟ มีความสะดวกหากตนได้รับเลือกตั้ง นี่เขาก็ได้รับเลือกตั้งไปแล้ว .. ยังไม่เคยเห็นเงาผู้แทนคนนั้นเลย ก้าวเข้าสู่หน้าหนาวอันเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของคนในเมือง ถนนเส้นนี้เริ่มมีรถรามากขึ้นแม้เป็นยามค่ำคืนมืด นักท่องเที่ยวหลายคนพูดกันหนาหูว่าบนถนนหัวโค้งเปลี่ยวเส้นนั้น มักพบหญิงสาวผมยาวในชุดขาวเดินข้างถนนบ้าง เดินข้ามถนนบ้าง นั่งริมถนนบ้าง เธอเป็นใครมาจากไหน และมาทำอะไรในยามค่ำคืนไม่มีใครรู้ เพราะไม่มีใครกล้าจอดรถลงไปถามสักครั้ง จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง.. ชายหนุ่มจากเมืองหลวงบึ่งรถยามค่ำคืนเพื่อไปหาแฟนสาวที่อยู่ทางเหนือ อำนาจความรักทำให้เขาอดทนรอให้ถึงรุ่งสางไม่ได้ ขับรถมาท่ามกลางความมืดมิดด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงทางโค้งอันเปลี่ยวนั้น รถไม่ได้โค้งไปตามถนนที่ควรจะเป็น กลับตรงดิ่งแหกโค้งออกนอกทางพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ คนขับคอหักตาย ณ ที่ตรงนั้น ส่วนรถมีสภาพยับเยินเกินบรรยาย.. และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ยามค่ำคืนอันมืดมิด ไม่เคยมีใครพบหญิงสาวผมยาวชุดขาวอีกเลย คนเฒ่าคนแก่บอกว่า “เขาไปเกิดใหม่แล้ว” หลายคนเบาใจคลายกังวล แต่ไม่กี่วันต่อมา มีเสียงร่ำลือกล่าวถึงทางโค้งเปลี่ยวนั้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่หญิงสาวชุดขาวผมยาว แต่เป็นชายหนุ่มคอหักร่างโชกด้วยเลือดสีแดงนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง ณ ทางโค้งเปลี่ยวแห่งนั้นแทน!! คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า.. วิญญาณที่ตายด้วยอุบัติเหตุจะไม่ได้ไปผุดไปเกิดใหม่..จนกว่าจะมีวิญญาณใหม่มาแทนตัว เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นลอยๆมาตามสามลมของค่ำคืนอันเงียบและมืดมิดว่า “เมื่อเขามา..ฉันจะไป” ชื่อเรื่องจากชื่อเพลง “เมื่อเขามา..ฉันจะไป” ของ ดา Endorphine

ผี วิญญาณ เมื่อเขามา..ฉันจะไป
ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ อ่านต่อ

ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ

เพลงสั้น 2 March 2011

ผมมักหลบลี้หนีผู้คนและโลกที่แสนวุ่นวายเข้าสู่โรงหนังดินแดนที่เสกสรรค์จินตนาการมากมาย ที่นี่มันคือโลกใบใหม่ที่สนุก เศร้า ตื่นเต้น หรือเป็นอะไรก็ได้ตามเนื้อหนังที่ตีตั๋วเข้าไปดู แม้เป็นเวลาแค่ไม่เกิน 3 ชั่วโมงสำหรับภาพยนตร์ 1 เรื่อง แต่ถ้านำไปลบจาก 24 ชม.ที่วุ่นวาย ก็นับว่าคุ้มค่า 3 ชม.ที่ตัดขาดจากโลกความเป็นจริง เพราะเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดถูกปิดโดยไม่ต้องกลัวถูกใครตำหนิ เป็น 3 ชั่วโมงที่หัวไม่ต้องคิดถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต หัวใจเปี่ยมด้วยความถวิลหาในอรรถรสของหนัง หลังเลิกงานของเย็นวันศุกร์ที่แสนวุ่นวาย ผมปรากฏตัวหน้าโรงหนังอีกครั้ง คนจำหน่ายตั๋วยังคงถามคำถามเดิมทุกครั้งที่ผมมาซื้อตั๋ว “กี่ใบค่ะ?” ความจริงคนจำหน่ายตั๋วน่าจะจำหน้าผมได้แล้ว เพราะผมปรากฏตัวที่นี่คนเดียวเกือบทุกวันศุกร์ ศุกร์นี้ก็เช่นกัน ผมถือตั๋ว 1 นั่งจดจ่อรอเวลาหนังฉาย เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ผมถือตั๋วเข้าโรงหนังด้วยจิตใจเอิบสุข แม้เบื้องหลังจะฉาบทาด้วยความทุกข์ก็ตาม หนังที่ผมเลือกดูในวันนี้ ไม่ใช่หนังในกระแส เป็นหนังอินดี้ของผู้กำักับหน้าใหม่ ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่ในโรงหนังมีผมเพียงคนเดียว แอบลุ้นเล็กๆว่ากว่าหนังจะฉายอาจจะมีใครซื้อตั๋วเข้ามาดูก็ได้ แต่ถึงต้องดูคนเดียวก็ไม่แปลก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการดูคนเดียว หนังโฆษณาเกือบ 30 นาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีคนเข้ามาเพิ่ม ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีจบไป ก็ยังไม่มีใครมา.. ขณะหนังกำลังเริ่ม บนจอปรากฏเครดิตและทีมผู้สร้างอย่างช้าๆ ปรากฏร่างหนึ่งเดินอย่างเชื่องช้าเช่นกันและนั่งลงข้างๆผม สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าเป็นผู้หญิง ผมไม่กล้ามองเธอตรงๆ แต่เธอผมยาว และที่สำคัญเธอมาคนเดียว!! แม้จะรู้สึกอุ่นใจที่ในโรงหนังไม่ได้มีเพียงลำพัง แต่ที่นั่งตั้งมากมาย ทำไมจำเพาะเจาะจงมานั่งเบียดกันด้วย ช่างเถอะ เธออาจจะกลัวการนั่งคนเดียวตรงข้ามกับผมที่กลัวการนั่งแน่นๆ คนเยอะๆ เราสองคนในโรงที่กว้างขวาง นังเบียดกันตรงกลางโรงหนังในแถว C เมื่อหนังดำเนินไปถึงกลางเรื่อง ผมได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆจากเธอ เสียงกระซิกสะอึกน้ำตาดังมาเป็นระยะ ถ้าหนังที่ดูเป็นหนังเศร้า หนังชีวิตผมก็จะไม่แปลกใจ แต่นี่หนังรักผจญภัย เธอร้องไห้ทำไมกัน!! เสียงเธอร้องไห้ถี่ขึ้น จนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เธอรับผ้าเช็ดหน้าด้วยเสียงขอบคุณแหบแห้ง “คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ด้วยความที่ในโรงหนังไม่มีคนอื่นนอกจากเราสองคน ผมจึงกล้าที่จะเมิดข้อห้ามคุยกันและรับโทรศัพท์ในโรงหนังที่ผมเคร่งครัดมาตลอด เพียงคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถามไปด้วยมารยาทหรือด้วยความเป็นห่วงจริงๆ แต่สิ่งที่เธอถ่ายทอดให้ฟังหลังจากนั้นทำเอาผมต้องนั่งฟังนิ่ง ผมจบความบันเทิงจากภาพยนตร์เพียงแค่ครึ่งเดียว ครึ่งหลังผมนั่งรับฟังเธอจนจบ เธอเล่าว่า.. เธอรู้จักผู้ชายคนหนึ่งและคบหาดูใ่จกันมาได้ระยะหนึ่ง ทุกครั้งที่เธอและเขาว่างต่างนัดกันมาดูหนังที่นี่ ไม่ว่าหนังที่ฉายจะเป็นหนังรัก หนังเศร้า หนังตลก จะสนุกหรือไม่ก็ตาม เธอและเขาก็ ตีตั๋วเข้าดู เพราะทั้งคู่ช่อบดูหนังมาก วันนี้ก็เช่นกันเธอนัดเขามาดูหนังอีกเช่นเคย แต่เนื่องจากเขาติดธุระอาจจะมาช้าสักนิด จึงให้เธอซื้อตั๋วไว้เผื่อด้วย เธอรอแล้วรอเล่า ก็ไม่ปรากฏเขามา โทรหาก็ติดต่อไม่ได้ เธอกระวนใจยิ่ง แต่ก็จนใจที่จะออกไปตามหาที่ไหน…

หนัง ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้ัจักเธอ
12

ดูบอล..แล้วย้อนมาดูตัว

เรื่องทั่วไป 19 June 2010

กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคนกทม.ในขณะนี้คือดูฟุตบอลโลก คนที่ดูก็มีเป้าหมายแตกต่างกันไป บางคน..ดูเพราะชอบกีฬาฟุตบอล บางคน..ดูเพราะชื่นชอบทีมใดทีมหนึ่งเป็นพิเศษ บางคน..ดูเพราะชื่นชอบนักเตะคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ บางคน..ดูเพราะมีได้มีเสียกับทุกคู่ที่เตะ!! ผมจัดอยู่ในจำพวกแรกและกึ่งๆจะเป็นจำพวกสองนิดหน่อย คือมีทีมที่เชียร์อยู่ในใจด้วย การมีทีมเชียร์อยู่ในใจทำให้การดูฟุตบอลสนุกขึ้นมาก เหมือนดูละคร ยิ่งอินในบทยิ่งสนุก มันต่างจากละครตรงที่ว่า ตอนจบละครมีบทสำเร็จรูป พระเอกกับนางเอกรักกัน.. ผู้ร้ายตาย.. แต่ฟุตบอลมีฉากจบที่หลากหลาย บางครั้งพระเอก(ทีมที่เราเชียร์)อาจจะตายก็ได้ บางครั้งก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง.. ดูฟุตบอลโลกครั้งนี้ทำให้เห็นอะไรหลายๆอย่างในเกมส์ฟุตบอล 1. ฟุตบอลไม่ใช่เกมส์สำหรับคนเก่ง แต่ต้องโกงเป็น ถึงจะชนะ!! หลายครั้งที่นักเตะแกล้งล้ม แกล้งเจ็บเกินจริง(มากๆ) เพียงเพื่อจะได้ฟาล์ว หรือทำให้คู่แข่งถูกใบเหลือหรือใบแดง ยิ่งดู ยิ่งคล้ายละครไปทุกที เพราะนักเตะ(บางคน)เล่นละครตบตากรรมการและคนทั้งโลกอย่างสมบทบาท ถ้าเป็นแบบนี้กันมากๆ ฟุตบอลไม่เท่และไม่แฟร์เลย 2. เป็นกันเกือบทุกทีมเหมือนมีการสอนเป็นคอร์สเลย สำหรับการถ่วงเวลาหลายๆรูปแบบของทีมที่ มีแต้มนำ ไม่ว่าจะเป็นผู้รักษาประตูที่โอบกอดลูกฟุตบอลนานเป็นพิเศษเมื่อได้ลูก นักเตะที่เดินราวหมดแรงเมื่อต้องไปทุ่มหรือเตะมุม ยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนตัวก็จะเดินราวกับว่าสนามฟุตบอลกว้างเป็นหลายร้อยไมล์ กว่าจะเดินมาถึงจุดเปลี่ยนตัวได้ 3. ตำหนิมาสองข้อ แต่ข้อสามขอชมว่านักฟุตบอลเกือบทุกคนมีคุณธรรมเรื่องความอดทนและความไม่ย่อท้อสูงมาก การปะทะกันมีตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการว่าขุ่นเขืองรุนแรง ในยามที่คนเหนื่อยมากๆ การปะทะกันนิดๆหน่อยก็ย่อมเกิดเรื่องได้ง่ายอยู่แล้ว แต่นี่เหนื่อยมาก และปะทะกันก็รุนแรงมาก แต่นักเตะก็แค่ก่นด่าคนเดียวหรือวิ่งไปบ่นไป เรื่องความไม่ย่อท้อก็ต้องยกให้ หลายครั้งที่นักเตะช่วยกันต่อบอลทำเกมส์อย่างสวยหรูไปจนถึงหน้าประตู แต่กลับถูกนักเตะบางคนทำลูกเสียเองไปง่ายๆ อย่างไม่น่าให้อภัย แต่ทุกคนก็ให้อภัยและไม่มัวมาบ่นเพ้อถึงลูกที่เสีย พวกเขารีบวิ่งลงมาช่วยกันป้องกันลูกที่เสียนั้นอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องความเจ็บปวดนั้นได้อย่างเฉียบพลัน และมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ได้ ..ตัวอย่างอันนี้น่ายกย่องและน่าเอาไปคิดนะครับ นอกเกมส์ฟุตบอลหลายคนล้มแค่ครั้งเดียวก็ลุกไม่ได้อีกเลย ถ้านักเะตะไม่ลุกอีกเลยหลังจากล้มทีมก็เสียหายได้ แต่พวกเขาล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก หลายๆครั้ง จนบางครั้งทีมที่เป็นต่อก็กลับมาชนะได้อย่างไม่น่าเชื่ออย่างในบอลโลกปีนี้ ทีมที่อ่อนกว่าชนะทีมใหญ่ๆได้ เพราะพวกเขาล้มแล้วลุก ลุกแล้วลืม ลืมแล้วนับหนึ่งใหม่ มันต้องได้ประตูจนได้สิน่า

บอล
อ่านต่อ

วอห่า

บ่น, ไดอารี่ 23 February 201228 June 2013

อันสืบเนื่องมาจากข่าวคึกโครมที่นายกหญิงคนแรกของไทยอ้างว่า ที่ไปตึกโฟสีสันนั้น ไปว.5

นายกหญิง ปู ว.5 วิทยุสื่อสาร

กาลามสูตรบอกว่าอย่าเชื่อ..เพราะ..!!??

เรื่องทั่วไป 22 January 2010

ช่วงนี้มีข่าวแปลกๆ เกิดขึ้นทางภาคเหนือ และกำลังจะแพร่ระบาดไปในภาคอื่นๆ นั่นคือ ข่าวเรื่อง “โทรศัพท์มรณะ” เชื่อกันว่า หากมีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ เป็นเลขตองเรียงกันโทรเข้ามา หากรับสายจะตายทันที!! ฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหลและหาเหตุผลไม่ได้เลย แต่ทางภาคเหนือก็เชื่อกันอย่างเป็นตุเป็นตะ เป็นคุ้งเป็นแคว ขนาดมีการปิดป้ายเตือนกันตามที่ต่างๆ และมีการบอกต่อด้วยความหวังดีอย่างแพร่หลาย ผมไม่แน่ใจว่ามีคนตายจากการรับโทรศัพท์บ้างรึยัง ชาวบ้านถึงกลัวกันขนาดนี้ หรือตาย ก็อาจจะตายด้วยสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่เพราะรับโทรศัพท์แน่ๆ แต่อาจจะบังเอิญ พอเหมาะพอเจาะกับก่อนหน้านั้นคนตายได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกๆอีกด้วย เรื่องราวก็เลย เลยเถิดกันไปใหญ่.. เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ ถ้าใช้หลักของพระพุทธศาสนา ก็จะสามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนควรเชื่อ และสิ่งไหนไม่ควรเชื่อ ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องราวทำนองนี้ เรื่องมีอยู่ว่า คนกลุ่มหนึ่งได้ทูลถาม สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงข้อที่เขากำลังงงไปหมด โดยไม่อาจจะทราบได้ว่า ข้อปฏิบัติอย่างไร จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์โดยตรง ครูบาอาจารย์ หรือศาสดาพวกนี้มาก็สอนได้อย่างหนึ่ง พวกโน้นมาก็สอนอีกอย่างหนึ่ง จนมากมายหลายพวกด้วยกันจนงง จนไม่รู้ว่าอันไหนจะเป็นที่เชื่อถือได้ ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัส ตอบคนเหล่านั้นว่า อย่าได้เชื่อถือด้วยเหตุผลต่างๆดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บอกต่อๆกันมา อย่าได้เชื่อ ถือ โดยเหตุที่สักแต่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตามๆกันมา อย่า ได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมด แล้วมันต้องเป็นความจริง อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า มันมีอ้างไว้ หรือเขียนไว้ในตำรับตำรา อย่าได้เชื่อถือ ด้วยการเดาของตัวเอง อย่าได้เชื่อถือ ด้วยการตรึกเอาตามเหตุผลส่วนตัวของตัวเอง อย่าได้เชื่อถือ ด้วยความคาดคะเนของตัวเอง อย่าได้เชื่อถือว่า นี่มันเข้ากันได้กับลัทธิ ที่เรากำลังปฏิบัติอยู่เป็นประจำ อย่า ได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า ผู้พูด ผู้กล่าว ผู้สอนนั้น อยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อถือได้ อย่าได้เชื่อถือ โดยเหตุสักว่า ท่านผู้กล่าว ผู้สอนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ทั้ง  10 ข้อนี้เรียกว่า กาลามสูตร ถ้ามีสติปัญญา พิจารณาด้วยเหตุและผล ก็จะเห็นได้ว่า สิ่งไหนควรเชื่อ และสิ่งไหนเป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในปัจจุบันสิ่งลวงตามีมากกว่าก่อนเยอะ หลายเรื่องเราไม่สามารถแยกแยะได้จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องที่คุณนักการเมืองที่เคารพทั้งหลาย ออกมาพูดกันก่อนเลือกตั้งให้เราเคลิ้มเนี่ยะ แยกไม่ออกจริงๆ ว่าอันไหนจริง อันไหนโกหก อันไหนทำได้…

ธรรมะคือคุณากร

เรื่องทั่วไป 15 January 2010

ว่ากันว่าถ้าหมกมุ่นในเรื่องอะไรมากๆ เวลาพูด แสดงออก หรือคิดก็จะอยู่แต่ในเรื่องนั้นๆ ส่วนตัว นอกจากเรื่องงานแล้ว ก็ไม่ค่อยคิดเรื่องอื่นเท่าไรนัก(ยกเว้นเรื่องเที่ยวที่นานๆคิดที) ดังนั้น จึงพยายามอยากจะหมกมุ่นในเรื่องอะไรดี ในที่สุดจึงคิดได้ว่า ควรหมกมุ่นในเรื่องของธรรมะ เพราะธรรมะคือคุณากร บ่อเกิดแห่งความดี วันนี้ขอนำเสนอธรรมขั้นพื้นฐานปุถุชนเช่นพวกเราๆ ก่อน ถ้าได้เรียนในระดับศึกษาธรรมชั้นตรี ธรรมะข้อนี้ก็จะอยู่ในหมวดต้นๆเลย นั่นคือ “ธรรมอันทำให้งาม ๒ อย่าง อันได้แก่ ขันติ ๑ โสรัจจะ ๑ ขันติ แปลว่า     ความอดทน เป็นลักษณะของผู้มีน้ำใจเข้มแข็ง หนักแน่น เป็นคุณสมบัติของผู้ปกครอง และเป็นมงคลเหตุแห่งความเจริญ ความอดทนยังแบ่งย่อยไปอีก  ๓ ประเภท คือ ๑. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ เช่น ทนหนาว ร้อน เป็นต้น ๒. อดทนต่อทุกขเวทนา เช่น เวลาเจ็บไข้ ป่วย เป็นต้น ๓. อดทนต่อความเจ็บใจ มี ๓ ประเภท (๑) ตีติกขาขันติ    อดทนด้วยการกลั้นไว้ได้ (๒) ตปขันติ    อดทนจนเป็นตบะเดชะ (๓) อธิวาสนขันติ อดทนจนยังคำพูดหยาบคาย ของผู้อื่นให้กลับอยู่เป็นเพื่อน เป็นมิตรกันได้ โสรัจจะ แปลว่า ความเสงี่ยม ได้แก่การรู้จักทำจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน มีกายวาจา  สงบเสงี่ยมเรียบร้อย คือมีอาการปกติเยือกเย็น ภายใน ไม่แสดงอาการขึ้นลง เป็นต้น จากธรรมะสองข้อนี้ ก็พอจะเห็นแล้วว่า ทำไมถึงได้ชื่อว่า เป็นธรรมะอันทำให้งาม ความงามในที่นี้มิได้หมายว่างามด้วยทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณผุดผุ่ง หรือหน้าตาสวยใส หากแต่หมายถึงความงามแห่งกิริยาท่าทางการแสดงออกในสังคมอย่างเหมาะสมตามกาละเทศะ ผู้ที่มีหน้าตาสวยใส หากแสดงกิริยากราดเกรี้ยวโมโหร้าย เพราะไม่อดทนต่อความพูดไม่ถูกหู ก็กลายเป็นคนขี้เหร่ขึ้นมาได้เช่นกัน อดทนเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีความสงบเสงี่ยม ทำจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน มิเพียงแต่แสดงออกภายนอกเท่านั้น แต่ต้องมีความแช่มชื่นที่ออกมาจากข้างใน สกัดกั้นอารมณ์ไม่พอใจเสียได้ แล้วดำรงสภาวะด้วยอาการอันปกติ นโปเลียนนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ข้าศึกขนาบเมืองทั้งหน้าหลัง ทหารรีบเข้าไปแจ้งข่าวด้วยความตื่นตะหนกตกใจสุดขีด จนแทบจะพูดออกมาไม่ถูก แต่พอนโปเลียนรับทราบว่า กลับกล่าวด้วยอาการปกติและบอกแก่นายทหารคนนั้นว่า…

ธรรม

ไอ้แมลงสาป

ไดอารี่ 4 April 2011

ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหามากมายรุมเร้า (คงไม่ต้องบอกว่าปัญหาอะไรบ้าง) เรื่องของดินฟ้าอากาศอันเป็นภัยธรรมชาตินะไม่เท่าไร คนไทยเราช่วยกันได้ แต่ปัญหาหนักอกหนักใจ และไม่รู้เมื่อไรมันจะจบซักที นั่นคือปัญหา “ความสามัคคี” ของคนในชาติ มันเป็นปัญหาเก่าที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อสมัยกรุงศรี ครั้งนั้นทำให้เราต้องเสียบ้านเสียเมืองกันเลยทีเดียว แต่เราก็ไม่เข็ด!! เราเรียนประวัติศาตร์ แต่ไม่รู้ประวัติศาตร์ เรียนเพราะมันมีในตำราเรียน แต่ไม่รู้ที่จะนำมาเป็นบทเรียน เรามักภูมิใจในแผ่นดินของเรา ในความเป็นไทยของเราว่าอุดมสมบูรณ์ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส บ้านเมืองเต็มไปด้วยวัดวาอารามผู้คนใจดี ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พูดนั้นหมายถึงไทยเมื่อกี่ร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่เกิดมาและอ่านหนังสือพิมพ์เป็น ก็มีแต่ข่าวฆ่ากันตาย แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ก็ไม่ได้หมายถึงคนในแผ่นดินนั้นจะเป็นคนดี ญี่ปุ่นประเทศเขาเป็นเกาะ เคยประสบทั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และประวัติศาตร์อันขมขื่นเรื่องการแพ้สงคราม ประเทศเขาเทียบกับเราไม่ได้เลยเรื่องความอุดมสมบูรณ์ แต่ดูเขาสิ เขามีวินัย เขารักชาติ ประเทศเขาเจริญไปไกลกว่าเราแค่ไหน!! ไม่มีความรู้ขนาดจะวิเคราะห์ได้ว่า ทำไมและเพราะอะไรชาติไทยถึงเป็นอย่างนี้ แต่ที่พูดคือพูดเท่าที่เห็นที่รู้จากความรู้แค่ห่างอึ่ง ผมว่าปัญหาใหญ่และไม่หมดไปจากบ้านเมืองเราซักที นั่นคือ ปัญหาเรื่องโกงกิน และ เห็นแก่ตัว ไอ้สองตัวนี้ยิ่งมีมากประเทศชาติยิ่งแย่ และนับวันมันจะยิ่งซับซ้อนจนยากจับได้เหมือนแมลงสาป ยาฆ่าแมลงสาปตัวเก่าๆ ไม่สามารถฆ่าแมลงสาปตัวใหม่ๆได้แล้ว เพราะมันมีภูมิต้านฐานเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มันเจอยาฆ่าแมลงขนานใหม่ ไอ้พวกโกงกินก็เหมือนกัน มันคิดค้นวิธีโกงใหม่ๆอยู่เสมอจนยากจะจับได้ ถึงไม่มียาขนานดีที่พอจะกำจัดแมลงสาปร้ายได้ แต่ผมว่าจะดีไม่น้อยถ้าทุกคนพร้อมใจที่จะไม่เลี้ยงแมลงสาปไว้ เลือกตั้งครั้งหน้า อย่าเลือกแมลงสาปมานะครับ เพราะเราจะกำจัดมันยากกว่าเดิมเยอะเลย

นักการเมือง แมลงสาป โกงกิน
อ่านต่อ

แม่ฮ่องสอน..ตะลอนเที่ยว: ปาย-หยุนไหล

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 18 December 20206 March 2021

หลังจากออกจากห้วยน้ำดัง จุดหมายที่ตั้งใจไว้คืออำเภอปาย เราไม่ได้จองที่พัก หลังรถเรามีเต๊นท์และอุปกรณ์ปิ้งย่าง ดังนั้นจุดที่เรากำลังมองหาคือจุด กางเต๊นท์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งที่มาเที่ยวปายครั้งแรก ผมประทับใจจุดกางเต๊นท์ตรงโป่งน้ำร้อนท่าปายมาก มีความเป็นธรรมชาติสูง และน่าจะมีเพื่อนกางเต๊นท์เยอะไม่เหงาไม่น่ากลัว คิดได้ดังนั้นก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที ระหว่างทางมีป้ายเล็กๆข้างถนนก่อนถึงโป่งน้ำร้อนท่าปาย “ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา” แวะไปห้อยขาซะหน่อย.. หลังจากอิ่มท้องก็ออกจากร้านและมุ่งหน้าโป่งน้ำร้อนท่าปาย..รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย (จริงๆก็ผิดหวังมากเลยละ) ความเป็นธรรมชาติแบบเมื่อก่อนหายไปหมดละ โป่งน้ำร้อนได้รับการทำให้เป็นกิจจะลักษณะด้วยการก่อปูนทุกบ่อ ดูเหมือนจะเจริญขึ้น แต่ทำไมผมไม่รู้สึกประทับใจ บรรยากาศโดยรวมดูเงียบเหงา อาจจะเพราะโควิดด้วยส่วนหนึ่ง พื้นที่ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ถ้าจะกางเต๊นท์นอนที่นี่คืนนี้คงมีแต่เต๊นท์เราหลังเดียวให้เปล่าเปลี่ยวหัวใจ เมื่อภาพในหัวไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ จึงต้องรีบหาที่พักใหม่ก่อนจะมืดค่ำ เราต้องการที่พักแบบกางเต๊นท์ จนในที่สุดก็มาสะดุดกับคำว่า “หยุนไหลทะเลหมอก” คำว่า “หยุนไหล” ไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับภาพประกอบ ภาพที่มีจุดกางเต๊นท์อยู่บนพื้นที่สูงวิวแบบ 360 องศา มองลงมาเห็นอำเภอปายทั้งอำเภอ ไม่รอช้า..มุ่งหน้าไปทันที ขับออกจากอำเภอปายมาทางหมู่บ้านสันติชลประมาณ 30 นาที ทะลุผ่านหมู่บ้านสันติชลเข้าไปอีกครับ จะมีทางเข้าที่ต้องขับผ่านหมู่บ้านเป็นถนนเล็กๆ และเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายจะเห็นป้ายคำว่า “หยุนไหล” อยู่บนเนินเขาเล็กๆ หยุนไหล..จุดชมวิวทะเลหมอก และจุดกางเต๊นท์ ที่นี่มีบริการทั้งเต๊นท์ให้เช่าและเต๊นท์นำมากางเองครับ ถ้านำเต๊นท์มาเองอย่างผมค่าบริการอยู่ที่คนละ 100 บาทเท่านั้น มีห้องน้ำ จุดล้างภาชนะ รวมถึงปลั้กไฟให้ใช้ ส่วนวิวรับรองว่าคุ้มค่ามาก.. เช้าวันรุ่งขึ้นผมตั้งใจจะวิ่งซิตี้รัน เพื่อชมวิถีชาวบ้านแถวนี้สักหน่อย ประมาณ 6 โมงเช้าฟ้าเริ่มสาง ผมก็เริ่มวิ่งจากเขาลงมา และภาพต่อไปนี้คือภาพที่ได้จากการวิ่งซิตี้รันประมาณ 6 กิโลเมตร กลับจากวิ่งประมาณ 9 โมงแล้ว แดดเริ่มมาต้องรีบเก็บเต๊นท์ ทานข้าวเช้าจุดมุ่งหมายของเราต่อไป นั่นคือ “ปางอุ๋ง” ออกจากหยุนไหลละครับ ใครชอบกางเต๊นท์ที่นี่คืออีกทางเลือกหนึ่ง ช่วงนี้ไปยังไม่หนาวมากนักตกกลางคืนแค่ 15 องศา ชาวบ้านบอกว่าช่วงหนาวมากๆ มีต่ำกว่า 10 องศาแนะ โพสต์หน้าเจอกันที่ “ปางอุ๋ง”

ปาย หยุนไหล แม่ฮ่องสอน

โบราณว่า

ไดอารี่ 9 February 2011

โบราณว่า ‘ไม้ล้ม..อย่าข้าม’ แต่วันนี้ผมเจอคนชอบฉวยโอกาส รายแรกที่เคยเจอคือ คนขับรถตู้ ถ้าผู้โดยสารโนเนมคือไม่รู้อัตราค่าโดยสารมาก่อน จะแอบบวกเข้าไปอีก 5 – 10 บาท เิงินเท่านั้นจะทำให้รวยขึ้นเท่าไรกัน มันคุ้มมั้ยกับคำว่า “โกง” ที่ปรากฏบนหน้าผาก “มึง” รายที่สองมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ถ้าวันไหนรถติดเยอะๆ คนกลัวไปทำงานไม่ทันก็ต้องทิ้งรถเมล์ สละแท็กซี่ เพื่อปรี่ไปหามอ’ไซต์รับจ้าง มันเริ่มเล่นตัวทันที จากเคยคิด 20 บวกไปอีก 10 – 20 บาท หรือมากกว่านั้น พวกแบบนี้ยังมีอยู่เยอะ ไม่ได้เสียดายเงินที่ต้องเพิ่มให้ แต่เสียความรู้สึกที่ถูกโกง ขึ้นรถเมล์จะขึ้นเวลาไหนวันไหนก็ยังราคาเดียวตลอด เข้าเซ่เว่น ไม่ว่าจะเข้าเช้า สาย บ่าย เย็น ดึกๆดื่นๆ ของก็ยังราคาเดิม ไม่เคยเห็นพนักงานขายบอกว่า ดึกแล้วขอค่าล่วงเวลาอีก 5 บาท เศษเงินไม่เท่ากับความรู้สึกที่ต้องเสียไปหรอก โบราณว่าไว้ว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

มอไซต์รับจ้าง รถตู้ เหี้ย โกง

น้องพฤกษ์

say, สุขกะภาพ 31 May 201520 March 2020

น้องพฤกษ์เป็นลูกชายขององอาจ เพื่อนข้างๆบ้านนี่เอง ถ้าผมมีลูก ก็จะไล่เลี่ยกันกับน้องพฤกษ์นี่แหละครับ กำลังน่ารักน่าชังน่าตี และซุกซนตามประสาเด็ก เรื่องที่เคยกังวลว่า จิ๊กกี๋จะเป็นปัญหาหรือจะรังแกน้องหรือไม่นั้น ดูจากภาพนี้คงหายกังวลครับ ปกติกี๋จะหวงบ้านมาก แต่วันนี้น้องพฤกษ์เดินต๊อกแต๊กๆ เข้าบ้าน นอกจากกี๋จะไม่เห่าแล้ว ยังเดินตามมาส่งกระดิกหางดุกดิกหมามันฉลาดครับ, มันรู้ใครมาดี ใครมาร้าย “จิตใจแม้จะซ่อนไว้ข้างใน แต่หมามันรู้ครับ“

รำลึกถึงครู..วันครูแห่งชาติ..๒๕๕๓

เรื่องทั่วไป 16 January 2010

วันนี้เป็นครูแห่งชาติ (เสาร์ที่ 3 ของเดือนมกรา) ผมประเภทบล็อกกึ่งไดอารี่ ต้องไหลไปตามวันสำคัญของปฏิทิน ดังนั้น จะละเลยไม่กล่าวถึงความสำคัญของครูไม่ได้ ในอดีตกาล พระเถระที่ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูจนได้รับการกล่าวขวัญคงไม่เกินพระติสสะเถระ หรือที่เรารู้จักกันในนามพระสารีบุตรนั่นเอง ครูที่สอนศิลปวิทยาคนแรกของท่านคือท่านสญชัย แต่ครูคนแรกที่สอนทางธรรมของท่านคือพระอัสสชิเถระ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ขณะนั้นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเที่ยวแสวงหาโมกขธรรมอยู่ จนที่สุดก็ได้พบกับพระอัสสชิเถระกำลังเดินบิณฑบาต ท่านก็มิได้แสดงปาฏิหาริย์หรือความอัศจรรย์ใดๆ หากแต่กิริยาที่ก้าวย่างอย่างสำรวมของท่าน ทำให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเกิดศรัทธา จนต้องเดินตาม และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนา ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้บรรลุธรรมชั้นสูงในที่สุด ตั้งแต่วันนั้นท่านก็นับถือพระอัสสชิตลอดมา แม้เดินทางไปในที่ไหน หาทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศไหน ก็จะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น สำหรับครูคนแรกของผมนั้น มีหลายท่านเหลือเกินครับ แต่ที่จำแม่นๆ คือ ครูศิริพร ครูสักการินทร์ ครูระเบียบ และครูบำเพ็ญ นาดี (ครูคนหลังนี่จำนามสกุลได้ เพราะพึ่งไปพบท่านเมื่อ 2 ปีที่แล้วนี่เอง) ทั้ง 3 ท่าน น่าจะเกษียรแล้วในปีนี้นี่เอง ครูศิริพร เป็นครูคนเก่ง เก่งเชียร์กีฬา เก่งพละ เก่งเล่านิทาน  เรื่องเก่งเล่านิทานนี่เป็นที่ยอมรับของนักเรียนและครูด้วยกัน ผมจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่นักเรียนมาสายบ่อยๆ ครูใหญ่จึงมีนโยบายให้ครูศิริพรมาเล่านิทานใส่ไมโครโฟนให้ดังไปทั่วโรงเรียนแต่เช้า เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนรีบมาโรงเรียนเพื่อมาฟังนิทานของแก ก็ได้ผลอยู่นะครับ แต่โครงการนี้มีได้ไม่นานก็ยุติ ไม่ใช่ล้มเหลวหรือนักเรียนมาสายกว่าเดิม แต่ครูศิริพรแกไม่ไหวเอง เพราะต้องมาเช้ามาก โตขึ้นมาหน่อย(ป.1-ป.3)  ผมก็มารู้จักกับคุณครูระเบียบ และคุณครูบำเพ็ญ ทั้งสองท่าน เป็นครูที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของครูที่ดุร้าย น่ากลัว ให้เป็นครูใจดีที่นักเรียนสามารถจับต้อง พูดคุย และปรึกษาได้ ครูระเบียบนับว่าใจดีที่สุด ไม่เคยตีนักเรียน ทำผิดให้วิ่งรอบสนามฟุตบอลอย่างเดียว ส่วนครูบำเพ็ญ แกสามารถใจดีและใจร้ายอย่างมีเหตุมีผล ถ้านักเรียนทำตัวน่าัรักแกจะใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะเดียวกันหากนักเรียนทำตัวไม่น่ารัก แกพร้อมจะเป็นนางยักษ์ใจร้า้ยได้ทันที .. ในชีวิตของคนๆหนึ่งต้องพึ่งครูมากมายครับ ในศาสตร์แต่ละวิชาแต่ละแขนงล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยครูเป็นคนช่วยชี้แนะก่อน หากใครจะบอกว่าเก่งหรือเรียนด้วยตนเอง อย่างน้อยที่สุดก่อนจะเก่งหรือเรียนนั้น ย่อมต้องได้รับการชี้แนะหรือแรงบันดาลใจจากใครสักคน วันสำคัญเช่นนี้เหล่าศิษย์ควรมีจิตคารวะรำลึกถึงบุญคุณของท่าน ท่านมิใช่แค่เรือจ้าง หากแต่เป็นผู้เสกสรรค์ปลุกปั้นสร้างแรงบันดาลใจ ชี้ทางศิษย์ไปสู่ความสำเร็จ รำลึกถึงบุญคุณของคุณครูทุกท่านเสมอครับ

ครู
อ่านต่อ

แม่ฮ่องสอน..ตะลอนเที่ยว: ปางมะผ้า

ท่องเที่ยว, สุขกะภาพ 19 December 202013 March 2021

วันที่ 3 ของการมาเที่ยวแม่ฮ่องสอน หลังจากเก็บเต๊นท์และสัมภาระที่หยุนไหลใช้เวลาเกือบ 10 โมงกว่า เรามุ่งหน้าไปปางอุ๋งโดยปักหมุดพักกินข้าวเท่ียวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวยอดนิยมอย่าง “ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาจ่าโบ่” ระหว่างทางก็แวะเที่ยวแวะชิมกาแฟไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายนั่นคือ ชุมชนบ้านจ่าโบ่ เวลาเที่ยงกว่าๆ จึงทำให้ร้านก๋วยเตี๋ยวจ่าโบ่คึกคัก มีลูกค้าหนาตา ชุมชนบ้านจ่าโบ่ ชุมชนบ้านจ่าโบ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปายมากนัก ใช้เวลาเดินทางจากปายประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ขับรถจากปายตรงไปอีก 12 กิโลเมตร เจอแยกบ้านแม่ระนาเข้าไปยังหมู่บ้านขับรถตรงไปอีก 4 กิโลเมตร เส้นทางทำใหม่ราดยางตลอดทาง เมื่อมาถึงหมู่บ้านเราก็จะได้เจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่ เพราะนอกจากจะมีก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยในราคาหลักสิบให้ได้ทานแล้ว มองไปรอบๆ จะเห็นว่าตั้งอยู่ในมุมที่เหมาะเจาะมองเห็นภูเขาที่สวยงามสลับซับซ้อน หลังจากอิ่มหน่ำสำราญทั้งก๋วยเตี๋ยว ข้าวและกาแฟแล้ว ก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ หนทางต่อจากนี้ไปปางอุ๋ง รับรองว่าใครธาตุอ่อนมีอ๊วกออกมาแน่นอน.. มันช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลดจนเคลื่นไส้..

ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาจ่าโบ่ จ่าโบ่ ปางมะผ้า แม่ฮ่องสอน

แบ่งตามหมวด

  • say (9)
  • กลอน (1)
  • คุยกับคอม (9)
  • ช่วยชิม (10)
  • ท่องเที่ยว (54)
  • บ่น (36)
  • บ้านบ้าน (17)
  • พูดจาภาษาฝรั่ง (9)
  • วิ่ง (26)
  • สุขกะภาพ (66)
  • เพลงสั้น (11)
  • เรื่องทั่วไป (88)
  • เรื่องยาว (9)
  • เรื่องสั้นสั้น (47)
  • แมคบุค (4)
  • ไดอารี่ (65)

Copyright © 2020. All rights reserved.

Contact me : nevikup@gmail.com
Facebook.com/aroundmeTH