“อดทนเวลาที่ฝนพรำ.
.อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางหาย ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ..”
Find your Heart, Find the Happiness.
.อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางหาย ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ..”
เรื่องราวของชายที่ปมในวัยเด็ก หลังเกิดเหตุฆาตกรรมฆ่าหมดบ้าน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาฆาตกร เรื่องราวถูกถ่ายทอดในรูปแบบของกลอนแปดสุภาพบ้าง ไม่สุภาพบ้าง ..เชิญติดตามได้ ณ บัดนั้น.
เข้าสู่วัย 10 ขวบแล้วสำหรับจิ๊กกี๋ ถ้าเป็นคนก็เริ่มเข้าสู่วัย 70 นิสัยเธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม ขี้อ้อน ขี้กลัว กลัวฝนกลัวฟ้าร้องกลัวฝนตก สายตาเริ่มพร่ามัว มองไกลๆไม่ค่อยเห็นตามประสาหมาสูงอายุ แต่ยังเป็นหมาที่กินยาก ฉี่ยาก อึยากเช่นเคย เอาภาพมาอัพเดตไว้เท่านี้แหละ
มีโอกาสที่ต้องไปบางแสนแบบปัจจุบันทันด่วน ก็เลยตั้งใจว่างานนี้น่าต้องตื่นเช้ามาวิ่งหาดบางแสนซะหน่อย. การเดินทางไปบางแสน ถ้าจะให้เร็วก็ต้องใช้ทางด่วนบูรพาวิถี แต่ถ้าจะให้ง่ายก็ใช้มอเตอร์เวย์ยิ่งตรงไปจนถึงถนนข้าวหลาม เห็นถนนข้าวหลามแล้วออกซ้ายเพื่อยูเทิร์นแล้วเลี้ยวซ้ายแรกไปยังหาดบางแสน เดินทางง่าย งานนี้ผมไม่พลาดที่จะหิ้วชุดและรองเท้าวิ่งไปด้วย กลางคืนวันเสาร์ฝนตกหนักมาก แต่ผมยังหวังว่าเช้าฝนจะหยุด จนกระทั่ง 6 โมงเช้านาฬิกาปลุก ผมแต่งตัวเตรียมออกไปวิ่ง …. แต่เมื่ออกจากตัวตึกกลับพบว่า ฝนยังคงโปรยปรายแม้ไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้ไม่สามารถออกไปวิ่งได้แน่นอน กลับเข้ามานอนต่อ จนกระทั่ง 9 โมง จึงหิ้วรองเท้าออกไปใหม่ ฝนหยุดแล้ว และแดดยังไม่มา วิ่งสิครับรออะไร ริมหาดบางแสนแม้จะมีร้านรวงค่อนข้างหนาตา แต่ตรงกลางเขาได้เว้นทางเอาไว้ และปูด้วยหินอ่อน วิ่งไปจนสุดหาดจะมีระยะทางถึง 5-6 กิโลเมตร แม้ทางหินอ่อนจะกว้าง แต่ข้างทางเต็มไปด้วยร้านและผู้คน วิ่งต้องคอยหลบคอยระวังตลอดเวลา หินอ่อนหลังฝนตกก็มีความลื่น ต้องเพิ่มความระวังเป็นพิเศษ งานนี้วิ่ง 10 กิโลเมตรครับ งานหน้าจะไปฝากรอยเท้าไว้ที่ไหน ค่อยว่ากันอีกที
ชื่องานเต็มๆ คือ “วิ่งสามัคคี ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ทางพิเศษเชื่อมสุข กรุงเทพ-กรุงธน” นับเป็นงานวิ่งรายการที่ 3 ของผม แต่เป็นรายการแรกในระยะฮาล์ฟมาราธอน (21km) รายละเอียดและเหตุผลที่เลือกงานนี้ผมได้เล่าไว้แล้วในโพสต์ที่แล้ว (สนใจอ่านคลิก) ดังนั้น โพสต์นี้จะเล่าบรรยากาศของฮาล์ฟแรกของผม ความตื่นเต้นของฮาล์ฟแรกไม่ต่างจากตอนมินิแรก นอนไม่ค่อยหลับ หลับนิดหน่อยก็ฝันว่าออกไปวิ่ง! จนกระทั่งถึงเวลาต้องไปงาน เนื่องจากไม่ไกลมาก ผมไปถึงก่อนเวลาปล่อยตัวประมาณ 20 นาที แต่จุดปล่อยตัวไม่ได้อยู่ตรงด่านเก็บเงิน ต้องเดินขึ้นบนทางด่วนอีกประมาณ 1 กิโล งานนี้เลยถือโอกาสวิ่งวอร์มไปในตัว เวลาตี 5.33 เริ่มปล่อยตัวนักวิ่ง เนื่องจากเป็นทางด่วนที่สร้างเสร็จใหม่ ถนนดี กว้าง ผมรู้สึกสบายเท้าที่สัมผัสพื้นถนนมาก กิโลเมตรแรกผมตั้งใจจะไม่เพิ่มสปีด ออกจะวิ่งช้ากว่าตอนซ้อมเสียอีก และเป็นมาตรฐานของสนามวิ่ง คือ ทุก 2 กิโลเมตรจะมีจุดบริการน้ำดื่ม ปกติงานอื่นๆ น้ำจะไม่ค่อยทันนักวิ่ง แต่งานนี้ถือว่าดีมากๆ น้ำเย็นเจี้ยบ และเพียงพอสำหรับนักวิ่งทุกคน อาจเพราะจำนวนนักวิ่งฮาล์ฟแค่ 700 คนด้วย จุดพักแรกผมผ่าน ไม่แวะดื่มน้ำ ราวๆกิโลเมตรที่ 7 ผมแวะดื่มน้ำ พร้อมกับแวะฉี่ ผมผ่าน 10 กิโลเมตร ด้วยบรรยากาศสบาย ๆ เนื่องจากเป็นการวิ่งหันหลังให้พระอาทิตย์ ประกอบกับยังเช้ามาก แดดยังไม่ออก แต่พอถึงกิโลเมตรที่ 12 จังหวะยูเทิร์นกลับ ต้องหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ แดดเช้าแรงกว่าที่คาด ทั้งร้อน ทั้งแสบตา ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ โชคดีที่จุดให้น้ำมีแตงโมเพิ่มให้ด้วย แต่กระนั้นในกิโลเมตรที่ 18 – 19 หลายครั้งที่ขาผมเกือบเป็นตะคริว ต้องหยุดเดิน หน้าร้อนผ่าวด้วยไอแดดที่แผดเผา หลายๆคนก็มีอากาศไม่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดผมก็สามารถเข้าเส้นชัยได้ในเวลา 2 ชั่วโมง 18 นาที ในอันดับที่ 269 เวลาใกล้เคียงกับตอนซ้อม งานครั้งหน้าจะเป็นที่ไหนและผลงานเป็นอย่างไร คอยติดตามตอนต่อไป
ตอน Mini Marathon (10 กิโลแรกในชีวิต) ผมไม่เคยซ้อมวิ่งถึง 10.5 กิโล เลย เต็มที่ก็แค่ 9 กิโล ผ่าน Mini Marathon มา 2 ครั้ง ตั้งแต่นั้นมา 10 กิโลเป็นเรื่องธรรมดาละ ซ้อมวิ่ง 10 กิโลจนเป็นเรื่องปกติ และเป็นธรรมดาของนักวิ่ง เมื่อผ่านมินิมาราธอนแล้ว ก็ต้องเข้าสู้เส้นทางฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตรต่อไป แต่การวิ่งจาก 10 กิโลไป 21 กิโลนั้นต้องซ้อมครับ กุศโลบายสำหรับบังคับตัวเองให้ขยันซ้อมสม่ำเสมอคือ ต้องลงรายการวิ่งสัก 1 รายการ ผมเลือกรายการวิ่งอยู่นาน โดยรายการวิ่งที่ผมสนใจนั้นต้องมีเงื่อนไขว่า 1. ไม่ไกลมากจนเกินไป (เพราะอาจมีปัญหาตอนตื่นไปวิ่งไม่ทัน) 2. เส้นทางวิ่งต้องไม่ธรรมดา จนในที่สุดผมก็ได้งานวิ่งที่ตรงสเป็คทั้ง 2 ข้อ นั่นคือ “งานวิ่งสามัคคี ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ทางพิเศษเชื่อมสุข” ไม่ไกลบ้าน เพราะจุดสตาร์ทอยู่ตรงสะพานพระราม 7 และเส้นทางไม่ธรรมดา วิ่งบนทางด่วน วิ่งครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่สามารถจัดซ้ำได้แน่นอนที่สำคัญ ราคาถูกมากสำหรับฮาล์ฟมาราธอน แค่ 400 บาท มีงานวิ่งแล้วที่เหลือคือการฝึกซ้อม ถ้าผมซ้อมแบบเดิมก็จะได้เท่าเดิม คือ ครั้งละ 11 กิโล แล้วแบบนี้ผมจะไป 21 กิโลได้เหรอ?? คิดได้ดังนั้น จึงเพิ่มระยะทางให้ตัวเองเป็นอาทิตย์ละ 2 กิโล อาทิตย์ก่อนนั้น 13 กิโล อาทิตย์ต่อมา 15 กิโล และอาทิตย์สุดท้ายก่อนงานจริง 22 กิโล!! ถือเป็นฮาล์ฟแรกในชีวิต ก่อนงานวิ่งจริงเสียอีก ไม่รู้ว่าพอถึงงานจริงจะวิ่งไหวและทำเวลาได้เท่านี้มั้ย เพราะตอนนี้ผลจากการวิ่ง 22 กิโลเมื่อวาน ปวดขามาก 😮 ถึงวันงานจริง ค่อยมาว่ากันอีกทีว่าสถิติจะดีหรือแย่กว่าเดิมมั้ย
(ต่อจากตอนที่แล้ว) ด้วยความที่ช่วงนี้ออกกำลังกายบ่อย วิ่งทุกอาทิตย์ ร่างกายจึงฟิตเป็นพิเศษ ขับรถเป็นร้อยกิโลก็ยังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยังคงมีความสุขกับการขับรถท่องเที่ยว ประมาณบ่ายสองโมงที่ออกจากมอหินขาว ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอเทพสถิตย์แหล่งที่ดารดาษด้วยดอกกระเจียวและบรรยกาศที่เย็นสบายเกือบทั้งปี เส้นทางส่วนใหญ่ลัดเลาะไปตามทุ่งนา หมู่บ้านน้อยใหญ่ ผมต้องการปั้มแก๊ส ตอนนี้หน้าปัดโชว์หน้าจอว่าแก๊สใกล้หมดแล้ว น้ำมันก็เหลือไม่ถึงขีด เส้นทางข้างหน้าอีกไกลแค่ไหน มีปั้มมั้ยยากคาดเดา ขับรถด้วยความกังวลเล็กๆเรื่องน้ำมัน ขณะที่คนข้างๆหลับไปนานแล้ว จนในที่สุดผมก็เจอปั้ม PT เติมเบนซินไป 500 บาทก่อนกันพลาด หลังจากนั้นขับรถต่อมาจนเข้าเขตอำเภอเทพสถิตย์ พอย่างเข้าเขตอำเภอผมรู้สึกได้ถึงความเย็น สดชื่น ตลอดทางเราจะพบรถอีแต่น รถไถ และรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคนแถวนี้ทำนาทำไร่เป็นหลัก บ่ายสี่โมงผมมาถึงที่พัก เส้นทาง@LOVE รีสอร์ท ตัวรีสอร์ทไม่ติดถนนใหญ่ แว่บแรกที่เห็นทางเข้าเป็นถนนลูกรัง ผมใจคอไม่สู้ดีเท่าไร จนกระทั่งวิ่งมาถึงตัวรีสอร์ท ..ประทับใจครับ เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านติดกับไร่มันสำปะหลัง ถึงเป็นรีสอร์ทไม่ใหญ่มาก แต่การตกแต่งรวมถึงการออกแบบให้ความรู้สึกอบอุ่น น่ารัก เป็นครอบครัว ตัวที่พักจะอยู่รอบๆ เว้นสนามหญ้าตรงกลางไว้สำหรับวิ่งเล่น หรือปั่นจักรยานเล่นได้ ที่นี่มีจักรยานปั่นเที่ยวฟรี มี wifi มีอาหารอร่อย โดยเฉพาะผัดหมี่โคราชรสชาตแบบฉบับโคราชแท้ ห้องพักมีหลายแบบ ทั้งแบบบ้านเดี่ยวปูนเปลือย , บ้านแบบห้องแถวติดกัน หรือแบบเต๊นท์ก็มี แต่ละแบบก็มีความน่ารักและน่าพักแตกต่างกันไป ทั้งหลายทั้งปวงยังไม่เท่ากับความมีอัธยาศัยไมตรีอันดีของเจ้าของรีสอร์ท ยิ่งทำให้ที่นี่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเจ้าของรีสอร์ทตัวน้อยๆอีก 3 ตัว ที่คอยวิ่งป่วนต้อนรับแขกจนทั่วรีสอร์ท (หมายถึงน้องหมา) บรรยากาศรีสอร์ทดีขนาดนี้ มีหรือผมจะพลาด พอเช็คอินเข้าห้องพักเสร็จสรรพผมเลือกจักรยานที่ชอบ 1 คัน ปั่นออกไปซูดโอโซนในไร่มันสำปะหลัง ไร่มันที่มีภูเขาเป็นแบ็กกราวด์ไกลๆ ช่างงดงามนัก จนมืดค่ำผมกลับมาที่พัก คืนนี้คงได้นอนเต็มอิ่ม พรุ่งนี้ต้องตืนแต่เช้าเพื่อไปชมทุ่งดอกกระเจียว รุ่งเช้า ประมาณหกโมงครึ่ง ผมขับรถจากที่พักออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ต้องซื้อตั่วเพื่อเข้าชมและเมื่อเข้าไปแล้ว จะต้องซื้อตั๋วอีกครั้งสำหรับนั่งรถเข้าไปในอุทยานซึ่งมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เพราะเมื่อคืนมีฝนตก ทำให้เช้าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษกล่าวคือมีหมอกปกคลุมเต็มพื้นที่ไปหมด ผมซูดอากาศเข้าไปเต็มปอด นานแล้วที่ผมไม่ได้ซูดอากาศแบบไม่ต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจแบบนี้ ผมไม่สามารถจะบรรยาบรรยากาศได้ครบถ้วนทั้งหมด จะบอกว่ามันสวยงามมาก อากาศดีมาก หมอกที่ปกคลุมตามชายป่าสีเขียว บนพื้นก็มีต้นหญ้าสีเขียว มีดอกกระเจียวประปราย งดงามครับ งดงามอย่างยากจะบรรยาย คุ้มค่าที่ได้มา ผมใช้เวลาที่ทุ่งดอกเจียวนานพอสมควร…
ภาพวิวธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา น้ำตก ผ่านตาจากหน้าจอที่มีคนแชร์ผ่านเฟสบุคและทวิตเตอร์ แว่บหนึ่งผมหลับตาและจินตนาการถึงตัวเองอยู่ท่ามกลางที่เหล่านั้น แค่คิด ความสุขจากการเดินทางท่องเที่ยวก็ผุดขึ้นมา “วันเสาร์นี้เราไปเที่ยวกันเถอะ” ผมบอกแฟน “เอาสิ ไม่ติดอะไรอยู่แล้วนิ” พร้อมกับคำตอบจากแฟน ผมเสริชหาที่พักทันทีเป้าหมายคือ “ทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ” แต่ไปชัยภูมิทั้งที จะไปแค่ที่เดียวก็ดูจะขาดทุนไปซักหน่อย หลังจากกางแผนที่ในกูเกิ้ลแล้ว พบว่า ทุ่งดอกกระเจียวอยู่ในอำเภอเทพสถิตย์ซึ่งห่างจากกรุงเทพประมาณ 280 กิโลเมตร ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในจังหวัดชัยภูมิเช่น มอหินขาว หรือน้ำตกตาดโตน ตั้งอยู่ไกลออกไปอีก 130 กิโลเมตร ผมจึงเลือกที่พักที่ทุ่งดอกกระเจียว เพื่อตื่นไปดูดอกกระเจียวได้แต่เช้า ส่วนวันแรกเลือกไปเที่ยวในสถานที่อื่นๆ ที่ไกลออกไปก่อน และที่พักที่จองได้อยู่ไม่ไกลจากทุ่งดอกกระเจียว ฝั่งอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม คือ เส้นทาง@LOVE รีสอร์ท การเลือกที่พักในการท่องเที่ยว ก็เหมือนการซื้อหวย ดีกว่านิดหน่อยก็ตรงที่ว่า เราสามารถหาข้อมูลจากอินเทอร์เนตได้บ้างว่า ที่พักไหนมีข้อดีข้อด้อยอย่างไรบ้าง เราจึงมีโอกาสถูกหวยมากกว่าการสุ่มๆ เลือกเอา แต่หลายๆครั้ง ผมพบว่า ถึงเราจะหาข้อมูลอย่างดีเพียงใด เราก็อาจพบกับความผิดหวังได้เช่นกัน .. ครั้งนี้ผมจึงไม่ได้คาดหวังไว้มากนัก เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เช้าวันศุกร์ที่รถรายังคงติดตามปกติในกรุงเทพ แต่เส้นทางออกต่างจังหวัดสวนทาง คือ โล่งมาก นี่คือสวรรค์สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเราจะหาได้เฉพาะในวันธรรมดาเท่านั้น เป้าหมายแรกของวันนี้คือน้ำตกตาดโตน ในใจอยากเดินทางต่อไปอีกหน่อยเพื่อไปมอหินขาวด้วย แต่ดูข้อมูลในอินเทอร์เนตบอกว่า ถนนยังเป็นลูกรังอาจไม่เหมาะสำหรับมารชมพู จึงคิดว่าจะไปหาข้อมูลจากคนแถวนั้นก่อนค่อยตัดสินใจอีกที ผมเลือกเส้นทางสี่คิ้ว – ชัยภูมิ วิ่งตรงจากปากช่องผ่านลำตะคองมุ่งหน้าสี่คิ้ว จะมีทางแยกออกไปทางสี่คิ้ว ด่านขุนทด ระหว่างทางช่วงนี้ถนนสาหัสมาก เพราะกำลังปรับปรุงถนน ต้องวิ่งบนถนนที่ปุปะประมาณ 1 ชั่วโมง วิ่งจนพ้นสี่คิ้ว ด่านขุนทดและเริ่มเข้าเขตชัยภูมิแล้วนั่นแหละถนนถึงเริ่มดี วิ่งสบาย ด้วยความที่วิ่งสบายนี่เอง ผมเผลอทำผิดกฏหมายจราจรจนต้องถูกให้หยุดรถ! ปกติถนน 2 เลน ต้องวิ่งซ้าย จะวิ่งขวาต่อเมื่อต้องแซงคันหน้าเท่านั้น และเมื่อแซงแล้วต้องกลับเข้าซ้ายเหมือนเดิม ผมวิ่งขวายาวๆ จนกระทั่งเจอด่านเรียกให้หยุด คุณตำรวจเดินมาหาผมหลังรถจอดนิ่ง “จะไปไหนกันครับ” ตำรวจเริ่มบทสนทนาก่อน “ไปชัยภูมิครับ” “บนทางหลวง วิ่งแบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่ปรับเงินหรอก แค่ตักเตือน จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้นะ แต่ถ้าโดนจับอีก ตำรวจท่านอื่นเขาเรียกเก็บเงินแน่นอน” “ขอบคุณครับ…
ดูตารางฝึกของคนอื่นมาหลายคน เอามาปรับซ้ายปรับขวาปั้นไปปั้นมา จนมาเป็นตารางในแบบของตัวเอง แบบนี้ :- จันทร์ พัก/เบา อังคาร วิ่งเร็ว พุธ ตีแบด พฤหัส วิ่งเร็ว ศุกร์ เวทเทรนนิ่ง เสาร์ วิ่งยาว อาทิตย์ Intervals จากตารางข้างต้นมีคำอธิบาย..ดั่งนี้ กำหนดให้มี 1 วัน/สัปดาห์ เป็นวันวิ่งยาวๆ (ยาวสุด) ไม่ต้องเร็วโดยเริ่มจาก 13 กม.ก่อน สัปดาห์ถัดไปเพิ่มเป็น 15 กม. ต่อไปก็เป็น 17 กม. ค่อยๆ เพิ่มไป สูงสุดเอาสัก 20 กม. หรือกำหนดด้วยเวลาก็ได้ ค่อยๆ เพิ่มไป สูงสุด 2 ชม. วันก่อนและหลังวันฝึกยาวนี้ อาจจะเป็นวันพัก กับวันที่ซ้อมเบาหรือหนักปานกลาง ในวันที่ซ้อมเบาถึงหนักปานกลาง ให้มีการฝึกวิ่งเร็ว 100 เมตร สัก 5-10 เที่ยว ก่อนคูลดาวน์ เริ่มต้นเน้นที่การจัดท่าทางการวิ่งให้ดีก่อน ตัวตั้งตรง อาจโน้มไปข้างหน้าได้เล็กน้อย แต่ไม่เกร็งแข็ง ใช้การแกว่งแขน (จุดหมุนอยู่ที่หัวไหล่) สร้างสมดุลย์ร่างกายแทนการโยกตัว ไหล่และส่วนอื่นๆ ผ่อนคลายไม่เกร็ง ประหยัดแรง ทำไปเรื่อยๆ พอคล่องแล้ว ก็เพิ่มความเร็วไปอีกนิด โดยยังคงเน้นท่าทางที่ดี มีประสิทธิภาพ กำหนดให้มีสัก 1-2 วัน วิ่งเร็วแบบผ่อนคลาย (ไม่ใช่เค้นความเร็วออกมา) และไปได้เรื่อยๆสม่ำเสมอต่อเนื่อง หายใจจะแรงขึ้นแต่ก็ยังพอวิ่งไปคุยไปได้ เริ่มจากวิ่งต่อเนื่อง 40 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มไปเป็น 1 ชม. วันนี้ต้องคูลดาวน์มากๆ นานๆ และถือเป็นวันหนักอีกวัน ต้อสลับวันหนักเบาให้ดี วิ่งลงคอร์ทอินเตอร์วาล (วันหนัก) วิ่งเร็ว โดยแบ่งระยะทางออกมา เช่น วิ่ง 400 เมตร 10 เที่ยว พักระหว่างเที่ยวด้วยการจ๊อกไม่เกินเวลาที่วิ่ง…